ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 371: นักชิมผู้กรำศึก
บทที่ 371: นักชิมผู้กรำศึก
การเฉลิมฉลองในคืนนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่โรเอล แอสคาร์ด พอล แอคเคอร์มันน์ และเกอรัล สตีเฟนสัน พวกเขาคือดาวเด่นในค่ำคืนนี้
ไม่มีที่นั่งว่างเหลือเลยแม้แต่ที่เดียวในห้องประชุม
บนเวทีมีลิเลียน แอคเคอร์มันน์ในเครื่องแบบยืนอยู่ และสมาชิกหลายสิบคนจากฝ่ายกุหลาบม่วง และฝ่ายกุหลาบน้ำเงินที่เข้าร่วมในการโจมตีลัทธิสังเวยโลหิต พวกเขาต่างยืนยืดอกด้วยความภาคภูมิใจโดยมีพวงมาลัยคล้องอยู่ที่คอ
จากนั้นอาจารย์ใหญ่แอนโตนิโอที่แต่งกายในชุดคลุมสีขาวขอบทองสำหรับงานสำคัญบนเวทีก็กล่าวปราศรัยกับนักเรียนที่มารวมตัวกันอย่างล้นหลาม
“หนึ่งเดือนก่อน ขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในสถาบันการศึกษาอย่างสงบสุข ซองจดหมายสีเลือดได้ถูกส่งมายังชมรมรับจ้างสารพัดที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นานของสถาบันเรา เพื่อแจ้งให้ทราบถึงเหตุการณ์อันเลวร้าย ทว่าเนื่องจากความอันตรายในเรื่องนี้ ผู้ส่งจึงเลือกที่จะไม่ลงนามใด ๆ ในจดหมาย”
“มันเป็นจดหมายรายงานนิรนามที่ขาดความน่าเชื่อถือ แต่ชมรมรับจ้างสารพัดที่นำโดยโรเอล แอสคาร์ด พอล แอคเคอร์มันน์ และเกอรัล สตีเฟนสัน ไม่ได้เลือกที่จะมองข้ามไป ด้วยเบาะแสที่จำกัด พวกเขาท้าทายโอกาสและค้นหาความจริง ขอความช่วยเหลือจากหน่วยรักษาความปลอดภัย แม้ว่าจะต้องอดทนรอเป็นเวลาหลายวัน ความพยายามของพวกเขาก็สัมฤทธิผล พวกเขาได้กำจัดลัทธิชั่วร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของสถาบันได้สำเร็จ”
“ความรับผิดชอบ ความกล้าหาญ สติปัญญา และความยุติธรรมเป็นคุณลักษณะที่พวกเราควรเรียนรู้และรักษาไว้ ในนามของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ข้าขอมอบเหรียญระดับหนึ่งให้แก่พวกเขาทั้งสามคน ขอให้ทุกคนปรบมือให้แก่เหล่านักรบผู้กล้าหาญของเราในวันนี้ด้วย!”
เสียงปรบมือดังก้องไปทั่วทั้งห้องประชุมตามคำพูดของแอนโตนิโอ โรเอล พอล และเกอรัลจ้องเขม็งด้วยความเคร่งขรึมก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวที
การปรากฏตัวของโรเอลทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในหมู่สมาชิกของฝ่ายกุหลาบน้ำเงิน ในกลุ่มผู้ชมเสียงเชียร์และหวีดดังขึ้นไม่หยุด นอร่ากับชาร์ล็อตเป็นผู้นำในการลุกขึ้นยืนและปรบมือ ขณะที่ลิเลียนเองก็มองมาทางเขาและเผยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ออกมา
“น...นั่นมัน… รุ่นพี่ลิเลียนกำลังยิ้มอยู่งั้นเหรอ?!”
“ตลอดช่วงหลายปีที่ฉันเรียนที่นี่ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เห็นรอยยิ้มของเธอ”
คำพูดดังกล่าวดังขึ้นมาในหมู่นักเรียนชาวออสทีนด้านล่าง บางคนนึกถึงข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วสถาบันเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้พวกเขาต่างสงสัยในความสัมพันธ์ของลิเลียนกับโรเอล
บนเวทีเด็กสาวที่มีผมสีดำและตาสีฟ้ารอคอยโรเอลอย่างอดทนพร้อมกล่องที่ถืออย่างระมัดระวัง เธอคือเมลตี้ ซานินั่นเอง
เมลตี้คือผู้ที่แจ้งเบาะแสในเหตุการณ์ซองจดหมายสีเลือด เช่นเดียวกับบุคคลที่โรเอลใช้เวลาอดหลับอดนอนเฝ้าอยู่หลายวัน เธอได้รับเหรียญรางวัลจากการอุทิศตนของเธอแล้ว แต่เธอก็เลือกที่จะยืนอยู่บนเวทีต่อ เพื่อแสดงความขอบคุณอย่างเป็นทางการต่อผู้ที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้
โรเอลพร้อมด้วยพอลและเกอรัลเดินขึ้นไปบนเวทีเป็นแถว สองคนหลังได้รับเหรียญรางวัลจากอาจารย์ใหญ่แอนโตนิโอเอง ในขณะที่โรเอลได้รับเหรียญรางวัลจากเมลตี้
“คุณโรเอล ขอบคุณที่อยู่เคียงข้างและปกป้องฉันในช่วงสองสามวันนั้น”
“มันเป็นเรื่องปกติของฉันอยู่แล้ว ในฐานะผู้ถือแหวน ฉันมีหน้าที่ต้องปกป้องนักเรียนและรักษาความสงบเรียบร้อยในสถาบันการศึกษา โดยเฉพาะคนที่มีจิตใจดีและความชอบธรรมอย่างเธอ”
เมื่อได้ยินคำพูดอันอ่อนโยนเหล่านั้น เมลตี้ก็มองเข้าไปในดวงตาอันอบอุ่นและสดใสของโรเอล ใบหน้าของเธอแดงขึ้นทันใด ดวงตากะพริบถี่ด้วยความรู้สึกลึก ๆ ขณะที่เธอถามเบา ๆ
“คุณโรเอล ฉันรู้ว่าฉันเป็นชาวออสทีน แต่คุณพอจะรับฉันเข้าฝ่ายกุหลาบน้ำเงินของคุณได้รึเปล่า?”
“แน่นอน ฝ่ายของฉันไม่ได้คัดเลือกจากภูมิหลังของบุคคล เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้คนที่ซื่อตรงอย่างเธอเข้ามาร่วมกับพวกเรา”
เมลตี้ประทับใจกับคำตอบด้วยรอยยิ้มของโรเอล
“ขอบคุณมากนะ คุณโรเอล”
ขณะที่พูดคำนั้นเธอก็เขย่งเท้าขึ้น ก่อนจะหอมแก้มของโรเอลต่อหน้าสาธารณชน
“!”
“เอ๋!”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มแข็งทื่อทันตา เมื่อเผชิญกับท่าทีที่ไม่คาดคิดของเมลตี้ แต่เมื่อมองดูฝูงชนที่มีชีวิตชีวาด้านล่าง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และขอบคุณอีกฝ่ายอย่างสุภาพ
แม้ตามหลักแล้วจะมีการอนุญาตให้ผู้หญิงจูบผู้ที่ช่วยชีวิตของตนในสถานการณ์เช่นนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากสำหรับชาวออสทีน ผู้มีแนวคิดที่อนุรักษนิยม เมื่อคำนึงถึงความรู้สึกของเธอแล้วโรเอลจึงไม่เลี่ยงการจูบนี้ แม้ว่าเขาจะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วก็ตาม ไม่อย่างนั้นมันจะทำให้เธอต้องเสียหน้า
นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวยังช่วยเพิ่มชื่อเสียงให้กับฝ่ายกุหลาบน้ำเงินอีกด้วย
เหล่านักเรียนต่างส่งเสียงเชียร์ดังก้องห้องประชุม พร้อมมองไปทางโรเอลด้วยความชื่นชมปีติยินดี ปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าสักวันหนึ่ง พวกเขาจะได้เป็นวีรบุรุษช่วยหญิงสาวที่ตกทุกข์ได้ยากเฉกเช่นเขา
นี่เป็นเป้าหมายของอาจารย์ใหญ่แอนโตนิโอที่ทำให้เขาจัดพิธีมอบรางวัลอันยิ่งใหญ่นี้ขึ้นมา เขาต้องการสนับสนุนค่านิยมที่ถูกต้องและแนะนำนักเรียนให้เดินไปตามหนทางอันดีงาม โดยที่โรเอลและคนอื่น ๆ ก็ได้รับเหรียญรางวัลที่ควรค่าแก่วีรกรรมเช่นกัน
และแล้วพิธีมอบรางวัลก็จบลงในที่สุด อย่างไรก็ตามเหล่านักเรียนก็ยังคงกู่ร้องโหมกระหน่ำด้วยความกระตือรือร้น เพราะพวกเขารู้ว่าจะมีงานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นโดยสถาบันการศึกษาตามมาหลังจากนั้น
หรือจะพูดให้ถูกกว่าก็คือ พวกเขามาที่นี่เพื่องานเลี้ยงฉลอง มากกว่าที่จะมาฟังพิธีมอบรางวัล
งานเลี้ยงฉลองนี้ถูกจัดโดยสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า และพันธมิตรถนนย่านการค้าทั้งหมด ซึ่งประกอบไปด้วยร้านอาหารระดับ 3 ดาวจำนวน 6 ใน 10 แห่งของเมืองเลนสเตอร์ และร้านอาหารระดับ 2 ดาวที่มีชื่อเสียงอีกมากมาย ด้วยจำนวนร้านอาหารหรูหราคุณภาพมากมายขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่างานเลี้ยงฉลองนี้จะเต็มไปด้วยอาหารอันโอชะมากมาย
มันเป็นสวรรค์ของนักชิม โดยเฉพาะสำหรับโรเอล
อดทนไว้ อดทนไว้! ต้องรักษาหน้าให้สง่างามเอาไว้สิ!
โรเอลบอกตัวเองในขณะเดินไปตามทางเดินสู่ห้องจัดเลี้ยงอย่างสง่างาม… มันยากสำหรับเขาจริง ๆ ที่จะต้องควบคุมตนเองต่อหน้านักเรียนคนอื่น ๆ ระหว่างทางไปสู่โต๊ะบุฟเฟต์
การผสมผสานระหว่างความยับยั้งชั่งใจและความคับข้องใจบนใบหน้าของโรเอล ทำให้นอร่าหัวเราะออกมา ส่วนชาร์ล็อตเองก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่ขำ
ตรงกันข้ามกับโรเอลที่กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย พอลผู้สูงศักดิ์คนใหม่ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับมารยาทเลยสักนิด หลังจากอดอาหารมาทั้งคืน เขาก็พุ่งไปที่โต๊ะบุฟเฟต์พร้อมกับฝูงชนที่เหลือและคว้าน่องไก่ย่างมาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าบ้า แกเป็นถึงองค์ชายเลยนะ! หยุดทำกิริยาน่าอายแบบนั้นทีเถอะ!”
เกอรัลวิพากษ์วิจารณ์พอลพลางขมวดคิ้วดูถูก
ท่าทีที่จองหองนั้นคงอยู่ได้เพียงเสี้ยววินาที ทันทีที่มองเห็นเนื้อเรืองแสงที่อยู่ใต้หนังไก่ ดวงตาของเกอรัลก็เบิกกว้าง เขารีบดึงเก้าอี้ออกไป และคว้าน่องไก่มาให้ตัวเอง
“น...นี่มัน… ไก่ย่างทรัฟเฟิลเจ็ดสี!”
“อะไรนะ? ไก่ย่างทรัฟเฟิลเจ็ดสี? ”
“มันเป็นอาหารพิเศษของ ภัตตาคารวีโอวีว เป็นไก่หมักที่ใช้เวลาทำหลายชั่วโมง ด้วยซอสที่ทำจากทรัฟเฟิลเจ็ดสีเพื่อให้รสชาติเข้าไปในเนื้อ หลังจากนั้นก็ย่างด้วยไฟอ่อนในเตาอบพิเศษเป็นเวลาครึ่งวัน ผลผลิตที่ได้คือไก่ที่เข้มข้นและชุ่มฉ่ำและรสชาติที่กลมกลืนกันในปาก!”
หลังจากอธิบายเกอรัลก็เคี้ยวน่องไก่อย่างรวดเร็ว ตั้งเป้าว่าจะกินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่คนอื่น ๆ จะสังเกตเห็น
ส่วนพอล เขาเพ่งดูน่องไก่ในมือด้วยความสงสัยก่อนจะกัดเข้าไป
ขณะที่ฟันของเขาจมลงไปในเนื้อของไก่ รสชาติที่กรอบอร่อย พร้อมกับซอสทรัฟเฟิลเจ็ดสีและน้ำมันเข้มข้นก็ไหลเข้ามาในปาก เนื้อสัมผัสอันสมบูรณ์แบบและรสชาติที่กลมกล่อมประกอบกับความเผ็ด นี่เป็นอาหารที่อร่อยล้ำเลิศโดยแท้!
“อร่อยจริง ๆ!”
เมื่อต้องเผชิญกับอาหารอันโอชะชั้นยอด พอลและเกอรัลได้กลายเป็นทาสอันไร้พลังที่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยัดอาหารเข้าปากอย่างต่อเนื่อง
จังหวะนั้นเองโรเอลก็ได้มาถึงห้องจัดเลี้ยง เขาชำเลืองมองไปทั่วห้อง ก่อนจะเห็นว่าทุกคนไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือพลเรือน ล้วนเลิกเสแสร้งและหมกมุ่นอยู่กับอาหารอันโอชะ
ในฐานะผู้มีประสบการณ์ในห้องจัดเลี้ยงมามากมาย โรเอลนั้นเชี่ยวชาญศิลปะการเคี้ยวอาหารอย่างสง่างามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าเขาจะกลืนอาหารลงไปมากแค่ไหน เขาก็ยังสามารถคงท่าทางอันสง่างามเอาไว้ได้อย่างลึกลับ
ขณะเดียวกันอาจารย์ใหญ่แอนโตนิโอและอาจารย์ผู้สอนคนอื่น ๆ ก็กำลังสนทนากันพลางจิบแอลกอฮอล์สีฟ้าอันเปล่งประกาย เขายกไม้เท้าขึ้นเล็กน้อย ส่งเครื่องดนตรีที่อยู่ด้านข้างให้หลุดออกจากผนังห้องจัดเลี้ยง เริ่มเล่นเพลงอันสดใสร่าเริง
เพลงอันไพเราะในห้อง และอาหารอันเลิศรสทำให้บรรยากาศดียิ่งขึ้นไปอีก
“โรเอล แอสคาร์ด พอล แอคเคอร์มันน์ และเกอรัล สตีเฟนสัน โปรดก้าวไปข้างหน้า”
ระหว่างที่งานเลี้ยงกำลังไปถึงจุดไคลแมกซ์ เสียงสะท้อนก็ดังขึ้นทั่วห้องจัดเลี้ยง หลังจากนั้นพนักงานหลายคนในชุดพ่อครัวก็เข็นรถเข็นที่มีเค้กก้อนโตออกมา
ภาพนี้ทำให้นักเรียนหญิงหลายคนตื่นเต้น
‘ร้านบ้านขนมหวาน’ เป็นร้านอาหารที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในหมู่นักเรียนหญิงของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ของหวานที่ร้านนี้ทำขายหมดเร็วที่สุดตลอดทั้งปี ซึ่งโดยปกติแล้วจะสงวนไว้สำหรับโอกาสพิเศษเช่นงานเลี้ยงฉลองในปัจจุบัน
เค้กเฉลิมฉลองของร้านบ้านขนมหวาน มักจะสอดคล้องกับธีมของงาน หัวหน้าคนทำขนมปังคือจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่และอาจารย์สอนทำขนมหวาน ‘มิลิน’ ดังนั้นเค้กชิ้นนี้จึงเทียบได้กับอุปกรณ์เวทที่กินได้
โรเอลและคนอื่น ๆ ต่างเดินไปที่เค้กก้อนใหญ่ที่มีซองสีแดงที่ลาดเอียงวางอยู่ด้านบน พร้อมเสียงโห่ร้องเชียร์จากทั่วทุกมุมห้อง ข้างบนนั้นมีรูปแกะสลักเล็ก ๆ สามร่างยืนอยู่รอบซอง
“พูดชื่อออกมา แล้วเปิดใช้งานเค้กสิ!”
มิลินกล่าว
เปิดใช้งาน? เค้กนี่เป็นอุปกรณ์เวทงั้นเหรอ?
โรเอลและคนอื่น ๆ ต่างกล่าวชื่อของพวกเขาออกมาทีละคน
“เกอรัล สตีเฟนสัน”
รูปแกะสลักตัวแรกสว่างขึ้น
“พอล แอคเคอร์มันน์”
รูปแกะสลักตัวที่สองสว่างขึ้น
“…โรเอล แอสคาร์ด”
รูปแกะสลักตัวที่สามสว่างขึ้น
เมื่อรูปแกะสลักทั้งสามสว่างขึ้นหมด ตัวอักษรสีแดงเข้มบนซองจดหมายตรงกลางก็เริ่มเปล่งแสงจาง ๆ ออกมา ทันใดนั้น เค้กก็ระเบิดเป็นซองสีแดงเข้มหลายร้อยซองบินไปทุกทิศทุกทาง
“หา?!”
ทั้งโรเอล พอล และเกอรัล ต่างก็รู้สึกตกตะลึงกับการอันตรธานหายไปแบบกะทันหันของเค้กก้อนใหญ่… ทว่าทันใดนั้นเองมิลินก็ตะโกนขึ้น
“ผู้ที่ต้องการเค้ก ให้วางซองลงบนจานของตัวเอง!”
โรเอลทำตามที่ได้รับคำสั่ง มือวางซองลงบนจาน
ซองสีแดงเข้มลุกไหม้เป็นเถ้าถ่านทันทีที่สัมผัสถูกจาน พร้อมกันนั้นก็บังเกิดเค้กก้อนใหม่ขึ้นมา โดยที่บนเค้กเป็นรูปแกะสลักที่คล้าย ๆ กับตัวเขาเอง
“โอ้วววววว!”
เสียงอุทานสะท้อนออกมาจากเหล่านักเรียน แม้แต่โรเอลก็อดไม่ได้ที่จะกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ ด้วยการแสดงนี้บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงจึงไปถึงจุดไคลแมกซ์ เหล่านักเรียนล้วนพากันยกจานขึ้นอย่างตื่นเต้นเพื่อจับซองสีแดงสดที่ตกลงมาและรับของหวาน
ท่ามกลางความพลุกพล่านนี้ องค์หญิงผมสีดำพยายามหาโอกาสที่จะแอบเข้าไปอยู่เคียงข้างโรเอล เธอหั่นเค้กขนาดพอดีคำด้วยส้อม พลางมองไปที่โรเอลด้วยดวงตาสีอเมทิสต์ที่ส่องประกายแวววาวของเธอและพูดอย่างเย้ายวน
“นี่ อ้าปากสิ”