ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 449: อยู่ร่วมกันภายใต้แสงจันทร์(1)
หนึ่งเดือนต่อมาที่ชายแดนตะวันออกของจักรวรรดิเซนต์เมซิท
กองทัพที่มีระเบียบวินัยได้เดินทัพออกไปอย่างมั่
นคงบนถนนที่ปกคลุม
ไปด้วยหิมะบางๆ พวกเขากําลังปกป้องรถม้าซึ่งมีเด็กหนุ่มผมดํากําลัง
ใช้เวลาอ่านหนังสืออย่างเต็มที่โดยบนที่นั่
งตรงข้ามกับเขามีชายผม
แดงกําลังจับตามองอยู่
ปกติแล้วในแวดวงขุนนางของจักรวรรดิเซนต์เมซิท การที่ชายสอง
คนร่วมรถม้าคันเดียวถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยาก แต่โรเอลก็ชินกับมัน
ไปแล้วตลอดช่วงเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา เพราะมีหลายครั
้
งที่เขาต้องค้าง
คืนในรถม้านี่
แม้ภายในรถม้าคันนี้จะกว้าง แต่มันก็ไม่ได้สะดวกสบายแบบรถม้า
ของตระกูลแอสคาร์ด หรือสายธารแห่งอัญมณีของตระกูลโซโรฟยา ยิ่
ง
ไปกว่านั้
นยังมีการขึ
้
นลงเข้าออกจากรถม้าอยู่บ่อยครั
้
ง ทําให้รถสั่
นราว
กับว่ากําลังมีคนกําลังเล่นโยคะอยู่
แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะรถม้าคันนี้นั้
นถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการ
กองทัพ
โรเอลและแฮงค์ได้ตกลงกันว่าพวกเขาควรมีสายการบังคับบัญชา
เพียงสายเดียว ดังนั
้
นทั
้
งคู่จึงเตรียมรถม้าคันนี้เป็นพิเศษเพื่อใช้เป็นศูนย์
บัญชาการ โดยที่ไม่รู้เลยว่ามันจะกลายเป็นเรื่องยุ่งวุ่นวายขนาดนี้
พูดง่ายๆ ก็คือนี่ไม่ใช่การเดินทางที่สงบสุขเลย
เมื่อเดือนที่แล้ว กลุ่มของพวกเขาได้เริมออกเดินทาง ่ โรเอลและ
แฮงค์จึงเลือกที่จะให้ความสําคัญกับความเร็วเหนือสิงอื่นใด ่ เนื่องจากนี่
เป็นภารกิจเร่งด่วน ทีแรกการเดินทางก็เป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่
ง
ปัญหาที่ไม่คาดคิดก็ได้เริ่
มเกิดขึ
้
นทีละน้อย
เริ่
มต้นจากปัญหาทั่
วไปที่คาร์เตอร์เคยบอกเขา นั่
นก็คือการหลง
ทาง
เป็นเวลากว่าห้าปีแล้วที่คาร์เตอร์เข้ารับตําแหน่งผู้บัญชาการ
หน่วยขนส่งเสบียง ซึ่งงานหลักของเขาก็คือการปูพื้นถนนเพื่ออํานวย
ความสะดวกในการเดินทาง และเขาก็ทําสําเร็จตามหน้าที่ แค่ถนนที่
เขาปูนั
้
นยังเป็นเพียงถนนลูกรัง ไม่ใช่ทางเท้าปูกระเบื้อง
แล้วทําไมถึงไม่สร้างสิ่
งที่ทนทานและมีประสิทธิภาพมากกว่า
อย่างเช่นการพื้นปูกระเบื้องล่ะ ?
คําตอบนั
้
นง่ายมาก… มันเป็นงานหนักเกินไป ราคาแพงเกินไป
และไม่มีเวลา
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสร้างทางเท้าปูกระเบื้อง เพราะคงไม่มี
พ่อค้าคนไหนคิดจะเดินทางไปทําธุรกิจที่สนามรบของมนุษยชาติอย่าง
ชายแดนตะวันออก อีกทั
้
งพวกเขายังต้องจ่ายเงินจํานวนมหาศาลเพื่อ
ทํานุบํารุงถนนอีก
ยิ่
งไปกว่านั้
น มันยังเป็นดาบสองคม เพราะหากพวกกลายพันธุ์บุก
ทะลวงพรมแดนด้านตะวันออกมาได้ละก็ทางเท้าที่ปูด้วยกระเบื้อง
เหล่านั
้
นจะนําพวกมันไปสู่ศูนย์กลางของกองกําลังมนุษยชาติได้
โดยตรง
หากพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้แล้ว การสร้างถนนลูกรังพื้นฐานจึง
น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า
ทว่าปัญหาพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับถนนลูกรังก็คือ ถนนเหล่านี้
อ่อนไหวต่อการกัดเซาะจากสภาพอากาศอันเลวร้าย ไม่ว่าจะเป็นฝนที่
ตกหนักหรือหิมะในฤดูหนาว สิงเหล่านี้สามารถลบเส้นทางของพวกเขา ่
ได้อย่าง่ายดาย
โชคดีที่โรเอลไม่ปล่อยให้ข้อมูลที่เขาได้มาจากคาร์เตอร์สูญเปล่า
เขาค้นหาผ่านระบบของตนอย่างละเอียดถี่ถ้วน และก็ได้พบอุปกรณ์
เวทดีๆ ที่สามารถช่วยเขาจากสถานการณ์นี้ได้
【ผู้ค้นหาเส้นทาง
อุปกรณ์เวทที่สร้างขึ้นโดยผู้มีพลังเหนือธรรมชาติของอาณาจักรไอ
ร่า เพื่อเดินทางผ่านป่าแห่งฝันร้าย ด้วยสิ่
งนี้จะทําให้เหล่าต้นไม้ที่ร่าเริง
ในป่าต้องสาปแห่งนั้
นไม่สามารถทําให้พวกเขาสับสนในเส้นทางได้อีก
ต่อไป
ราคา: 50,000 แต้มความสนใจ】
เมื่อโรเอลเห็นอุปกรณ์เวทชิ้
นนี้เขาก็ซื้อมันมาโดยไม่ลังเล และเพื่อ
เพิ่
มความปลอดภัย เขาก็ยืมแผนที่ที่คาร์เตอร์วาดเอาไว้ในขณะกําลังปู
ถนนลูกรังมาด้วย ด้วยสิงของสองอย่างนี้ ่ โรเอลและเหล่าผู้ติดตามจึง
สามารถเดินทางไปได้อย่างราบรื่น
แฮงค์และเหล่าอัครสาวกจากโถงแห่งอัครสาวกต่างรู้สึกอับอายที่
พวกเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ทว่านี่เป็นเพียงปัญหาแรกจากปัญหา
มากมายที่กําลังจะเกิดขึ้
น
ขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังชายแดนทิศตะวันออกผ่านเมืองและ
หมู่บ้านประปรายเป็นระยะๆ และพวกสัตว์อสูรเองก็เริ่
มมีมากขึ
้
น
เรื่อยๆ จนในที่สุดเมื่อพวกเขาไปถึงอาณาเขตที่ไม่มีมนุษย์สัตว์อสูรใน
ป่าก็เริ่
มแสดงสัญญาณของการรวมกลุ่ม
สัตว์อสูรในภาคตะวันออกไม่มีความกลัวต่อมนุษย์และเป็นที่รู้จัก
ในเรื่องของความดุร้าย เมื่อพวกมันเล็งเห็นเหยื่อ พวกมันก็สะกดรอย
ตามไปและหาโอกาสลอบจู่โจม
ฤดูหนาวไม่ได้เป็นเพียงช่วงเวลาที่ยากลําบากสําหรับมนุษย์เพียง
อย่างเดียวเท่านั
้
น เหล่าสัตว์อสูรเองก็ต้องลําบากและพยายามรวบรวม
อาหารเพื่อความอยู่รอดเช่นกัน แม้ว่ากลุ่มของโรเอลจะเป็นชนชั้
นสูง
แต่สําหรับเหล่าสัตว์อสูรผู้หิวโหยที่แทบไม่เคยพบมนุษย์มาก่อน พวก
เขาก็ดูไม่ต่างอะไรไปจากฝูงลิงที่กําลังอพยพย้ายถิ่
น
นี่เป็นผลให้กลุ่มของโรเอลต้องเผชิญกับการโจมตีจากเหล่าสัตว์
อสูรอยู่บ่อยครั
้
ง
ตลอดทั
้
งสัปดาห์พวกเขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลย
ทันทีที่เวลากลางคืนมาถึง การโจมตีต่างๆ ก็จะเริ่
มขึ
้
น ไม่ว่าจะเป็น
กวางยักษ์กระหายเลือดหกขาหรือไฮยีน่าสองหน้า มันเกิดขึ
้นถี่จนน่า
วิตก
ตอนนั
้
นเองที่สายการบังคับบัญชาแบบครบวงจรของโรเอลและ
แฮงค์ทํางานได้อย่างมหัศจรรย์เหล่าผู้นับถือลัทธินอกรีตและอัครสาวก
ที่ปกติแล้วแทบจะไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อนได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียง
ไหล่กัน สิ่
งต่างๆ นั
้
นน่าอึดอัดในช่วงเริ่
มต้น แต่ด้วยแรงกดดันจาก
มหาศาลที่ถาโถมเข้ามา พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกร่วมมือกัน ซึ่ง
ช่วยแก้ไขความสามารถในการต่อสู้โดยรวมของกลุ่มได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ และบรรเทาความตึงเครียดในบรรยากาศลง
ลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดความแน่วแน่ต้องใช้ชีวิตเป็น
ทหารรับจ้างเดินทางเร่ร่อนไปมา ในขณะที่ลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้น
กําเนิดความแข็งแกร่งเคยถูกบังคับไล่ให้ไปใช้ชีวิตเหมือนคนป่าเถื่อน
ในหุบเขา ทั
้
งสองกลุ่มต่างมีฝีมือในการทําสงครามในถิ่
นทุรกันดาร และ
รู้วิธีรับมือสัตว์อสูรเป็นอย่างดี
พวกเขาต่างจากอัครสาวก ซึ่งอีกฝ่ายนั
้
นมีประสบการณ์ช�าชองใน
การจัดการกับศัตรูที่เป็นมนุษย์
ด้านหนึ่งเชี่ยวชาญในการต่อสู้กับสัตว์อสูร และอีกด้านหนึ่งใน
เชี่ยวชาญในการรับมือลัทธิชั่
วร้าย ด้วยที่พวกเขาสามารถเสริม
ข้อบกพร่องของกันและกันได้การประสานงานของสองกลุ่มนี้จึง
พัฒนาขึ
้
นมาก พวกเขาสามารถจัดสรรกําลังพลเพื่อจัดการกับสัตว์อสูร
ได้ดีขึ้
น ทําให้ท้ายที่สุดทั้
งกลุ่มก็สามารถเพลิดเพลินกับความสงบสุขได้
ระยะหนึ่ง
อย่างไรก็ตามนั่
นไม่ใช่จุดจบของปัญหา เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ป้อม
ปราการทาร์ก ภัยคุกคามอีกอย่างก็คืบคลานเข้ามาอย่างเงียบๆ
อีกหนึ่งคืนที่ผู้นับถือลัทธินอกรีตและอัครสาวกได้ร่วมมือกันปราบ
เหล่าสัตว์อสูรก็ได้ผ่านไป และการมาถึงของรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่ก็ทํา
ให้ทุกคนโล่งใจ
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงหุบเขาแคบๆ ที่เป็นอุปสรรคในการ
เดินทาง
หน่วยสอดแนมได้ถูกส่งออกไปสํารวจหุบเขา ซึ่งผลลัพธ์ก็ไม่ค่อย
จะดีเท่าไหร่นัก เพราะที่นี่มีศัตรูดักรอพวกเขาอยู่
ลูกธนูตกลงมาจากหน้าผาสูงชันของหุบเขา จู่โจมหน่วยสอดแนม
ทีเผลอ จากนั
้
นพื้นดินที่อยู่ข้างใต้เท้าพวกเขาก็กลายเป็นบึงด้วยคาถา
เวท ทําให้พวกเขาไม่สามารถหนีไปได้จังหวะนั
้
นเองสัตว์ประหลาด
รูปร่างเหมือนมนุษย์หลายสิบตัวที่มีหน้าซีดเซียวและมีเขี้ยวแหลมคมก็
พุ่งลงมาจากหน้าผา
พวกกลายพันธุ์
ร่างกายของพวกมันดูคล้ายมนุษย์แตกต่างเพียงแค่ผิวสีขาวอม
เทา และเขี้ยวเล็บที่ยื่นออกมา โดยรวมแล้วความแข็งแกร่งของพวกมัน
จะอยู่ที่ระดับแก่นแท้5
หน่วยสอดแนมติดอยู่ในตําแหน่งที่เสียเปรียบอย่างมาก แต่ด้วย
ความแข็งแกร่งและอุปกรณ์ที่เหนือกว่า พวกเขาจึงสามารถยึดพื้นที่คืน
และถอนกําลังกลับอย่างช้าๆ ได้เมื่อพวกเขากลับมารวมกลุ่มกับคน
อื่นๆ อีกครั
้
ง ทุกคนก็เปิดศึกกับพวกกลายพันธุ์และกําจัดพวกมันทุกตัว
นี่เป็นชัยชนะสําหรับกลุ่มของโรเอล ทว่าความตื่นตกใจจากการถูก
ซุ่มโจมตีอย่างกะทันหันก็ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของทุกคน เมื่อประกอบ
กับสภาพแวดล้อมภายนอกแล้ว ความกลัวก็เริมก่อตัวขึ ่ ้
นในใจพวกเขา
แม้แต่แฮงค์ผู้เงียบขรึมก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อได้เห็นซากศพของ
พวกกลายพันธุ์
กลับกันแล้ว โรเอลนั้
นสงบเสงี่ยมกว่ามาก เนื่องจากเขาได้เจอ
เหตุการณ์ที่เลวร้ายยิ่
งกว่านี้มามากแล้วในสถานะผู้เฝ้ามอง
กองทัพอสูรของภราดรภาพแห่งการกอบกู้ที่โรเอลเคยพบใน
สถานะผู้เฝ้ามองเองก็ไม่ได้ดูแตกต่างจากมนุษย์มากนัก นอกจากนี้ด้วย
เสียงบทสวดกรีดร้องของพวกมัน ทําให้น่ากลัวกว่าพวกกลายพันธุ์ที่มี
เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเป็นข้อแตกต่าง
“ตื่นตระหนกไปทําไมกัน ? ถ้าเราฆ่าเจ้าพวกนี้ตายได้ก็ไม่มีอะไร
ต้องกลัว”
โรเอลกล่าว
ท่าทางที่สงบและมั่
นใจของเขาทําให้สมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่มได้รับ
ความสงบในใจกลับคืนมา
หน่วยสอดแนมเริ่
มรายงานเหตุการณ์ส่วนโรเอลก็เดินเข้าไปหา
หนึ่งในพวกกลายพันธุ์เพื่อตรวจสอบศัตรูที่เก่าแก่ของมนุษยชาติอย่าง
ใกล้ชิด
พวกมันน่าเกลียดจริงๆ
ในทางกายภาพ พวกกลายพันธุ์เหล่านี้ดูคล้ายคลึงกับมนุษย์พวก
มันสามารถใช้อาวุธและซุ่มโจมตีผู้อื่นได้ซึ่งเป็นข้อบ่งบอกว่าพวกมันมี
สติปัญญา อย่างไรก็ตามความจริงที่ว่าพวกมันถูกหลอกล่ออย่าง
ง่ายดายและไม่ยอมล่าถอยทั้
งๆ ที่มีจํานวนน้อยกว่า สะท้อนให้เห็นว่า
พวกมันไม่สามารถรับมือต่อกลยุทธ์ที่ซับซ้อนได้
ถึงกระนั
้
นโรเอลก็สังเกตเห็นพวกกลายพันธุ์ร้องหากันระหว่างการ
ต่อสู้ซึ่งน่าจะบ่งบอกว่าพวกมันสามารถสื่อสารกันได้
พวกกลายพันธุ์ที่เขาพบนั้
นสอดคล้องกับคําอธิบายของคาร์เตอร์
จริงๆ
บทที่ 450: อยู่ร่วมกันภายใต้แสงจันทร์(2)
มีแนวโน้มว่าพวกกลายพันธุ์เหล่านี้จะมาถึงที่นี่ได้โดยการไต่หน้า
ผาภูเขาสูงชันที่ไม่มีการป้องกัน เห็นได้ชัดจากเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่
งของ
พวกมัน
การซุ่มโจมตีจากเหล่าพวกกลายพันธุ์ส่งเสียงกริ่
งเตือนขึ
้
นในใจ
ของทุกคน ทําให้พวกเขามองเห็นการเดินทางข้างหน้าในมุมมองที่
แตกต่างไปจากเดิม พวกเขาได้ตระหนักว่าตนเองไม่ได้อยู่อย่าง
ปลอดภัยเบื้องหลังกองกําลังหลักของมนุษยชาติอีกต่อไป ตอนนี้ทุกคน
กําลังอยู่ในสนามรบ และความรู้สึกของอันตรายที่ใกล้เข้ามานี้ก็ได้ทํา
ให้กลุ่มต้องร่วมมือกันมากขึ
้
น
หลังจากการซุ่มโจมตีนี้การเผชิญหน้ากับพวกกลายพันธุ์ก็บ่อยขึ้
น
เรื่อยๆ และจํานวนของพวกกลายพันธุ์ในแต่ละกลุ่มที่เข้ามาโจมตีก็
เพิ่
มขึ
้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยที่ว่ากลุ่มของโรเอลเป็นกองทัพขนาดเล็กที่
มีสมาชิกไม่มาก ทําให้พวกเขาเป็นเป้าหมายในอุดมคติของพวกมัน
ส่วนใหญ่ในตอนกลางวันการเดินทางจะยังคงดําเนินไปได้อย่าง
สงบ แต่ทันทีที่ถึงเวลากลางคืน พวกกลายพันธุ์ก็จะใช้ประโยชน์จาก
ความโกลาหลของสัตว์อสูรเพื่อตีกระหนาบ ทําให้การจู่โจมในตอน
กลางคืนอันตรายกว่าเมื่อก่อนมาก ทําให้ผู้บัญชาการต้องกระตือรือร้น
ในการควบคุมสถานการณ์มากขึ
้
น
ท่ามกลางแสงที่สั่
นไหวของรถม้า โรเอลก็เปิดดูหนังสืออย่าง
รวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงชั่
วโมงก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อ
แสงแดดเริ่
มจากหายไปเป็นสัญญาณบ่งบอกเวลาพลบค�า ทุกคนต่างก็
ตื่นตัวระมัดระวังภัย กระจายไปทุกทิศทุกทางเพื่อเฝ้าระวัง
“คืนนี้ใครจะทําหน้าที่ดูแลรถม้า”
คําถามอย่างกะทันหันนี้ได้ดึงความสนใจของโรเอลกลับมา เด็ก
หนุ่มวางหนังสือลงพลางมองไปที่แฮงค์และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เขาก็ตัดสินใจแสดงความรับผิดชอบ
“คุณเป็นคนต่อสู้เมื่อคืนนี้คราวนี้เป็นตาของผม”
“… คุณใกล้จะผ่านกําแพงระดับแก่นแท้แล้วสินะ ผมสัมผัสได้ว่า
พลังเวทของคุณใกล้เคียงกับ ระดับแก่นแท้3 แล้ว”
“นั่
นมันก็ใช่ แต่การปฏิบัติตามคําสัญญามันสําคัญกว่าสําหรับผม
ในฐานะผู้นําคนหนึ่งของกลุ่มนี้ผมเองก็ควรจะออกไปนําการรบด้วย
เช่นกัน”
“…”
แฮงค์มองดูโรเอลเงียบๆ หลังจากได้ยินคําพูดเหล่านั้
น การ
แสดงออกของเขาแทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย มีเพียงแสงสีเขียวที่พุ่ง
ออกมาเหนือศีรษะ สะท้อนให้เห็นถึงคําชมที่มีต่อคําพูดของโรเอล
(แต้มความสนใจ +100)
เช่นเดียวกับที่แฮงค์ไม่แสดงท่าทีใดๆ โรเอลเองก็เก็บความยินดีนี้
ไว้กับตัวเอง
โรเอลเชื่อว่าตนเองค่อนข้างมีทักษะในการเรียกร้องแต้มความ
สนใจ ตลอดในช่วงที่ผ่านมา หากเป็นคนอื่นเขาคงจะปลูกทุ่งหญ้าแต้ม
ความสนใจได้อย่างน้อยๆ หนึ่งหรือสองแห่ง แต่แฮงค์นั้
นเป็นคนที่
เอาชนะใจได้ยากอย่างเหลือเชื่อ ทั
้
งๆ ที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาถึงหนึ่ง
เดือนแล้ว แต่โรเอลแทบจะไม่สามารถดึงแต้มความสนใจสามหลักมา
จากอีกฝ่ายได้เลย
สาเหตุหนึ่งที่โรเอลพยายามจะเอาชนะใจแฮงค์ก็เพราะเขาคิดว่า
ตนเองต้องการคําแนะนําจากแฮงค์ในการก้าวไปสู่ความสําเร็จในการ
เลื่อนระดับแก่นแท้
อย่างที่ใครๆ คาดหวังจากผู้บัญชาการของโถงแห่งอัครสาวก
แฮงค์เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้2 ด้วยอายุที่น้อยกว่า
คาร์เตอร์เขาคือหนึ่งในอัจฉริยะ ดังนั
้
นจึงมีแนวโน้มที่ว่าเขาอาจจะมี
ข้อมูลเชิงลึกบางอย่างเฉพาะตัวเกี่ยวกับการก้าวขึ้
นสู่ระดับแก่นแท้3
ฉะนั
้
นแล้ว โรเอลจึงต้องการประสบการณ์ของแฮงค์
ในเดินทางมาสู่ชายแดนตะวันออกอันรกร้างนี้ผู้มีพลังเหนือ
ธรรมชาติระดับสูงเพียงคนเดียวที่โรเอลมีเคียงข้างก็คือแฮงค์
ปัญหาก็คือแฮงค์ไม่จําเป็นต้องให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่โรเอลใน
เรื่องนี้เนื่องจากพวกเขาไม่มีทั้
งความสัมพันธ์ทางเครือญาติหรือ
มิตรภาพ วิธีเดียวที่เด็กหนุ่มจะได้รับโอกาสจากแฮงค์ก็คือการเอาชนะ
ใจอีกฝ่ายให้ได้
ซึ่งหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ในที่สุดโรเอลก็คิดว่ามันถึงเวลาแล้ว
“ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว ผมไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องความก้าวหน้า
เท่าไหร่ จะว่ายังไงดี… ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองจะทํามันได้เร็วๆ นี้เลย”
โรเอลมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างครุ่นคิด มองคนอื่นๆ ที่กําลัง
ตั
้
งค่ายพลางถอนหายใจเบาๆ บ่นพึมพํากับตัวเอง
“ผมรู้สึกได้ว่ามันใกล้แล้ว แต่พอพยายามผลักดันไป ทุกอย่างก็
กลายเป็นความว่างเปล่าไปในทันทีราวกับว่าผมเป็นเพียงเปลือกหอย
กลวงๆ”
“…”
โรเอลค่อยๆ ขมวดคิ
้
ว พยายามไตร่ตรองว่าตัวเองผิดพลาด
ตรงไหน อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเขาพุ่งไปที่แฮงค์เป็นนัยๆ ซึ่งเด็ก
หนุ่มก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในท่าทางของอีกฝ่าย
พอมีโอกาสอยู่!
โรเอลดีใจที่เห็นว่าเคานต์แฮงค์ตอบสนองต่อปัญหาของเขา แต่
เด็กหนุ่มก็ยังคงแสดงสีหน้าสับสนและกังวล ทําตามบทบาทของรุ่นน้อง
ที่กําลังสับสนและรอคําแนะนําจากผู้อาวุโสเฒ่า ก่อนจะถอนหายใจอีก
ครั
้
งและคร�าครวญต่อ
“ทั
้
งโลกคาดหวังในตัวผมหลังจากที่ผลได้รับชัยชนะในการแข่งขัน
ศึกชิงถ้วย พวกเขาบอกว่าผมเป็นตัวแทนของจักรวรรดิเซนต์เมซิท เป็น
ผู้ได้รับพรจากเทพีเซีย พวกเขาคงคาดหวังว่าผมจะก้าวหน้าผ่านมันไป
ได้ในช่วงนี้โดยอ้างว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งอนาคตอันสดใสของ
จักรวรรดิเซนต์เมซิท แต่ดูเหมือนว่าผมจะทําให้ทุกคนต้องผิดหวังซะ
แล้ว หวังว่าความล้มเหลวของผมจะไม่ทําให้ชื่อเสียงของจักรวรรดิ
เซนต์เมซิทเสื่อมเสียนะ…”
คําพูดเหล่านั
้
น โดยเฉพาะอย่างยิ่
งคําว่า ‘ตัวแทนของจักรวรรดิ
เซนต์เมซิท’ และ ‘ผู้ได้รับพรจากเทพีเซีย’ ถูกส่งต่อไปยังแฮงค์อย่าง
ชัดเจน
ชายที่มีคติชาตินิยมต่ออาณาจักร ย่อมไม่อยากเห็นอาณาจักรของ
ตนต้องอับอายขายหน้า และผู้ที่บูชายึดมั่
นแน่วแน่ในศรัทธาเองก็จะไม่
ยอมให้เทพเจ้าของตนเสื่อมเสีย ทุกสิ่
งที่โรเอลพูดมาก่อนหน้านี้อาจจะ
เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา แต่ในอีกมุมมองหนึ่ง เขาก็สามารถเปลี่ยนมัน
ให้เป็นอะไรที่ใหญ่กว่านั้
นได้ไม่ยาก
แฮงค์ดูขัดแย้งอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่แน่ใจว่าตนเองควรให้ความ
ช่วยเหลือขุนนางชั
้
นสูง ซึ่งมีลัทธินอกรีตในสายการบังคับบัญชาหรือไม่
ซึ่งโรเอลก็หรี่ตาลงอย่างรวดเร็วและตัดสินใจผลักประเด็นเป็นครั้
ง
สุดท้าย
“เอาล่ะ หยุดคุยเรื่องน่าสลดกันแค่นี้ดีกว่า ดูเหมือนตัวแปร
ภายนอกจะไม่รอให้ผมบ่นจนจบ ท่านเคานต์แฮงค์ผมจะเป็นคน
ออกไปเองในคืนนี้กรุณาพักผ่อนให้เพียงพอด้วย ขอให้แสงของ
เทพีเซียนําทางมาสู่เรา พวกเราไม่สามารถพ่ายแพ้ต่อสัตว์ประหลาด
พวกนั
้
นที่นี่ได้”
“…”
โรเอลปิดหนังสือด้วยรอยยิ้
ม ก่อนจะจัดเสื้อผ้าของตนและเตรียม
ลงจากรถ การเคลื่อนไหวที่เด็ดขาดนี้ยิ่
งทําให้แฮงค์วิตกกังวลมากขึ
้
น
เรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็ต้องทําการเคลื่อนไหว
“… เดี๋ยวก่อน”
“หืม? มีอะไรให้ผมช่วยงั้
นเหรอครับ ท่านเคานต์แฮงค์?”
“มาคุยกันสักหน่อยเถอะ”
แฮงค์แสดงท่าทางต่อโรเอลด้วยใบหน้าที่สุขุมตามปกติซึ่งโรเอลก็
เดินกลับมาด้วยท่าทางสับสน แต่ในใจของเด็กหนุ่มแท้จริงแล้วพองโต
ด้วยความปีติยินดี
สําเร็จ!
…
ครึ่งชั่
วโมงต่อมา โรเอลก็ลงจากรถม้าและเดินไปที่ป้อมยาม
ชั่
วคราวแห่งหนึ่ง คําพูดของแฮงค์ยังคงก้องอยู่ในหัวของเขา
“สิ่
งที่คุณขาดคือแก่นแห่งความเชื่อ”
“แก่นแห่งความเชื่อ?”
“การสะสมพลังเวทเพียงอย่างเดียวมันยังไม่เพียงพอสําหรับการ
ไปถึงระดับแก่นแท้3 คุณต้องยืนยันความเชื่อของตัวเองให้ได้หรือพูด
ให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือ คุณต้องเพิ่
มระดับการซึมซับพลังเวทในเชิงรุก”
“ผมต้องเพิ่
มระดับการซึมซับพลังเวทในเชิงรุกงั้
นเหรอ?…”
คําแนะนําของแฮงค์กระตุ้นความรู้สึกคลุมเครือในใจของโรเอล
ตามที่แฮงค์กล่าว ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทุกคนมีวิธีการที่แตกต่าง
กันในการก้าวไปสู่ระดับแก่นแท้3 แต่สิ่
งที่เหมือนกันในหมู่พวกเขาก็คือ
ความเร่งรีบในกระบวนการวิวัฒนาการ
มันไม่ใช่แค่การซึมซับพลังเวทไปเรื่อยๆ เพื่อเพิ่
มระดับซึมซับพลัง
เวทให้ลึกขึ
้นอีกต่อไป ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติต้องเพิ่
มระดับการซึมซับ
พลังเวทด้วยตนเอง พวกเขาต้องการบางสิ่
งที่พิเศษกว่านั้
น นั่
นก็คือ
แก่นแห่งความเชื่อ
แก่นแห่งความเชื่อไม่ได้เกี่ยวกับความมุ่งมั่
นแต่อย่างใด มันเป็นสิ่
ง
ที่พื้นฐานกว่านั้
นมาก มันคือสิ่
งที่หยั่
งรากอยู่ในจิตวิญญาณของคนๆ
หนึ่ง ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องไม่ได้มันเป็นดั่
งกุญแจสําคัญที่
กําหนดว่าคนผู้นั
้
นจะสามารถกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูง
ได้หรือไม่
นั่
นเป็นเหตุผลว่าทําไมผู้มีพลังเหนือธรรมชาติบางคนสามารถ
เข้าถึงระดับแก่นแท้3 ได้อย่างง่ายดายโดยไม่รู้ตัว คนเหล่านั
้
นได้รับ
กุญแจนี้มาแล้ว และต้องการเพียงการสะสมพลังเวทให้เพียงพอเท่านั้
น
ในทางกลับกัน ยังมีคนอีกมากมายที่ต้องดิ้
นรนทั
้
งชีวิต แต่ก็ไม่สามารถ
เอาชนะอุปสรรคนี้เพราะพวกเขาไม่สามารถคว้ากุญแจดังกล่าวมาได้
“ท่านเคานต์แฮงค์ผมขอถามหน่อยได้ไหมว่าแก่นแห่งความเชื่อ
ของคุณคืออะไร?”
“ความศรัทธาและความยุติธรรม”
แฮงค์ตอบอย่างเด็ดเดี่ยว
โรเอลไม่แปลกใจกับคําตอบนี้เท่าไรนัก เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่
สามารถเดินไปตามทางเดียวกันกับแฮงค์ได้ในฐานะที่เป็นคนที่ทํา
สัญญากับเทพเจ้าโบราณหลายองค์เขาไม่สามารถอุทิศตนเพื่อศรัทธา
ในเทพเจ้าคนใดคนหนึ่งได้อย่างแท้จริง
เขาต้องหาทางอื่น และแฮงค์เองก็มีข้อเสนอแนะสําหรับเรื่องนั้
น
เช่นกัน
“มีผู้คนมากมายเคยฝากลูกหลานของตัวเองไว้กับผม โดยหวังว่า
ประสบการณ์ชีวิตและความตายจะสร้างแก่นแท้ของความเชื่อของพวก
เขาขึ
้นมาได้”
“แล้วผลเป็นอย่างไรบ้างเหรอครับ?”
“บางคนก็สําเร็จ บางคนก็ล้มเหลว”
“…”
สีหน้าเคร่งขรึมบนใบหน้าของแฮงค์ทําให้เด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะไม่
สํารวจลึกลงไปมากกว่านั้
น เห็นได้ชัดว่าความตายคือผลลัพธ์ของผู้
ล้มเหลว
โรเอลใช้เวลาทั้
งคืนครุ่นคิดเกี่ยวกับแก่นแห่งความเชื่อของตน เขา
มีประสบการณ์เสี่ยงตายมามากมายตั้
งแต่อายุยังน้อย ซึ่งเป็นสาเหตุที่
ทําให้เขารู้สึกคลุมเครือ เมื่อได้ยินคําแนะนําของแฮงค์เพียงแค่เขายัง
ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนในเรื่องนี้ราวกับว่ามันถูกซ่อนเอาไว้อยู่
หลังชั
้
นหมอก
“แก่นแห่งความเชื่อของเราคืออะไรกันแน่นะ?”
โรเอลยื่นมือไปทางดวงจันทร์สีเงินขณะไตร่ตรองคําถาม
อีกด้านหนึ่งในเวลาเดียวกัน เด็กสาวผมทองในป้อมปราการที่
สําคัญที่สุดแห่งหนึ่งของมนุษยชาติก็ได้เอื้อมมือไปยังดวงจันทร์เช่นกัน
นอร่ากําลังแช่ตัวอยู่ในทะเลสาบอันเย็นยะเยือก ดวงตาสีไพลิน
ของเธอเปล่งประกายด้วยแสงสีทองที่ริบหรี่ในมือของเธอมีจดหมาย
ฉบับหนึ่งที่มาจากแดนไกล และชื่อที่ลงนามในจดหมายนั
้
นก็เป็นสิ่
งที่
ยึดมั่
นหัวใจของเธอเอาไว้
“โรเอล…”