ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 474: สิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างไร (2)
ไบรอันท่องความทรงจําเพื่อหาความรู้สึกอันคุ้นเคยนั้น และใน
ที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพลังเวทที่มาจากวู้ดและคน
อื่นๆ ดวงตาสีทองของเขาเบิกกว้างเมื่อความทรงจําของเขานําตัวเอง
กลับไปสู่เหตุการณ์การเดินขบวนแห่งความวุ่นวายเมื่อสองร้อยปีก่อน
ในอดีตอันไกลโพ้น เด็กหนุ่มที่รู้จักกันในชื่อเฟลเดอร์ ครั้งหนึ่งเคย
ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่เปล่งพลังเวทแบบดิบๆ แต่ทรงพลังอย่าง
เข้มข้นเหล่านี้ พวกเขาเป็นทหารชั้นยอดที่ภักดีที่สุดที่เคยยืนเคียงข้าง
เขา แต่โชคชะตากลับพลิกผันอย่างน่าขัน ตอนนี้พวกเขากลับมาอยู่คน
ละฝั่ งเสียได้
ความคิดที่ว่าตนเองจะต้องต่อสู้กับสหายเก่าทําให้ไบรอันรู้สึกหนัก
อึ้งอยู่ภายในใจ แต่เขาก็ไม่มีที่ว่างให้ถอยอีกต่อไป เพราะเขาเข้าใจดีว่า
ยุคสมัยนั้นเปลี่ยนไปแล้ว
สหายเก่ากลายมาเป็นศัตรู ตอนนี้ดาบที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นความ
ภาคภูมิใจของเฟลเดอร์ เอลริกไม่มีอีกต่อไปแล้ว
มันคือสงครามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”อย่าตื่นตกใจ! ดูชัดๆ สิ พวกเราเหนือกว่าในแง่ของจํานวนและ
ความแข็งแกร่ง ไม่จําเป็นจะต้องอดใจรอ พวกเราอยู่ในดินแดนที่ไม่มี
มนุษย์ ชัยชนะจะเป็นของเรา!”
หลังจากหันหลังให้กับดวงอาทิตย์ที่กําลังตกดิน ไบรอันก็ยกดาบ
ของเขาขึ้นและกล่าวคําปลุกใจแก่ผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย กลับกันแล้วโร
เอลนั้นเลือกที่จะเงียบ เขามาที่นี่เพื่อตัดสินคนบาป คนที่เป็นเพชฌฆาต
ย่อมพูดผ่านดาบของตน ฉะนั้นยามอยู่ที่นี่คําพูดผ่านปากจึงไม่ใช่สิ่งที่
จําเป็น
“บุก!”
กองทัพทั้งสองเริ่มรุกเข้าหากัน เริ่มศึกการต่อสู้ที่จะกําหนดวิถีแห่ง
โชคชะตา
…
มันเป็นเพียงวันธรรมดาและไร้ความหมายสําหรับคนส่วนใหญ่บน
โลก
คนส่วนใหญ่ยังคงไม่ทราบถึงการหายตัวไปของป้อมปราการทาร์ก
ในชายแดนตะวันออกอย่างลึกลับ และพวกกลายพันธุ์ก็ยังไม่ได้เริ่มการ
บุกรุกขนาดใหญ่ ครอบครัวต่างๆ ล้วนให้ความสนใจกับการเตรียมตัว
สําหรับฤดูหนาวคนเหล่านั้นรู้เพียงนิดหน่อยว่าการต่อสู้ที่จะตัดสินชะตากรรมของ
พวกเขากําลังเกิดขึ้นในถิ่นทุรกันดารนอกอาณาเขตของมนุษยชาติ
ที่หุบเขาทาร์กกองทัพสองกองทัพได้พุ่งเข้าใส่กันด้วยความโกรธ
เกรี้ยว เหวี่ยงดาบและยิงคาถาเวทด้วยความตั้งใจที่จะกําจัดอีกฝ่าย
ออกจากโลก การต่อสู้ครั้งนี้จะตัดสินชะตากรรมสุดท้ายของมนุษยชาติ
ในระดับหนึ่ง แต่สิ่งต่างๆ ยังดูไม่ดีเท่าไหร่ในตอนนี้
ตั้งแต่วินาทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น โรเอลก็ตกอยู่ในตําแหน่งที่
เสียเปรียบเสียแล้ว
เวลา คน และโอกาส สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสําคัญสามประการที่มัก
ตัดสินผลของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในสงครามหรือเรื่องประจําวัน พวก
มันเป็นตัวแทนของปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับโลกรอบตัวพวกเขา
ซึ่งสร้างความเป็นจริงขึ้นมา
เมื่อพิจารณาในแง่นั้นแล้ว กองทัพของโรเอลไม่ได้อยู่ในตําแหน่งที่
ดีอย่างแน่นอน
ผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายมักเป็นที่รู้จักในด้านความนอกรีตและวิธีการ
อันชั่วร้าย เพื่อความปลอดภัย อัครสาวกจึงมักจะนํากําลังที่เหนือกว่า
อย่างมหาศาลมาโดยตลอด เมื่อต่อสู้กับพวกลัทธิชั่วร้าย เพื่อที่จะบดขยี้
พวกเขาอย่างทั่วถึงในแง่ของกําลังทหารน่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถทําได้ในครั้งนี้เนื่องจากข้อจํากัด
ด้านพื้นที่และเวลา
กลางคืนเองก็กําลังใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วเช่นกัน ถึงเวลาแล้วที่
หนูจะหนีออกจากคูน�าและเดินเตร่ไปตามถนนอย่างภาคภูมิใจ และ
พื้นที่ราบกว้างใหญ่รอบๆ นี้ก็มีพื้นที่เพียงพอสําหรับลัทธิชั่วร้ายที่จะ
ปลดปล่อยความสามารถในการทําลายล้างของฝั่ งตัวเอง
โรเอลและกองทัพของเขาดูไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่เขาก็ยังมั่นใจใน
สหายของตัวเอง เด็กหนุ่มรู้ดีว่าพวกเขามีข้อได้เปรียบที่สําคัญที่สุด
เหนือพวกลัทธิชั่วร้าย นั่นก็คือเจตจํานงอันเป็นหนึ่งเดียว
ด้านหนึ่งมีอัครสาวกที่เต็มไปด้วยความยุติธรรมและพวกนอกรีต
ซึ่งได้รับมอบหมายจากเทพเจ้าโบราณของพวกตนให้ปกป้องโรเอล อีก
ด้านหนึ่งเป็นกลุ่มของลัทธิชั่วร้ายที่ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
การแก้ปัญหาของพวกเขามีความแตกต่างกันตั้งแต่เริ่มต้น และแสดงให้
เห็นจากการประสานงานร่วมกัน ซึ่งนี่จะเป็นกุญแจสําคัญในการคว้าชัย
ชนะ
กองทัพทั้งสองยังไม่ได้ปะทะกันในหุบเขา แต่คาถาเวทมากมาย
หลากสีเปล่งประกายขึ้นแล้ว การโจมตีระยะไกลเป็นการโจมตีครั้งแรก
ที่เชื่อมต่อกัน ทําให้เกิดการระเบิดอันน่าสยดสยองตูม!
ก่อนที่แนวหน้าของทั้งสองกองทัพจะปะทะกัน อัครสาวกอายุสิบ
หกผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ยกไม้เท้าขึ้นสูง พลังเวทที่พวกเขาใช้มาจนถึง
ตอนนี้เริ่มสะท้อนร่วมกันเพื่อปลดปล่อยคาถาเวททําลายล้าง มัน
เริ่มต้นด้วยคลื่นของเมฆสีแดงบนท้องฟ้า แล้วทันใดนั้น แสงสีทองก็
สาดส่องลงมา
ราวกับเป็นการลงทัณฑ์ของพระเจ้า แสงสีทองได้ถล่มลงมาที่คน
บาป
แสงอันเข้มข้นได้สร้างความหวาดกลัวให้กับลัทธิชั่วร้ายที่ไม่เคย
ประสานงานกัน ผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายป้องกันแค่ตัวเองมาโดยตลอด มัน
จึงเป็นเรื่องยากสําหรับฝ่ายนั้นที่จะจัดการกับการโจมตีขนาดนี้ น�าสี
ทองทําลายรูปขบวนของพวกเขา ทําให้พวกเขาต้องดิ้นรนเพียงเพื่อ
ปกป้องตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ไบรอันได้เตรียมการพร้อมสําหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
เขายกมือขึ้นชี้ไปทางด้านหลัง ทําให้ผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายที่ยืนอยู่
ด้านหลังแถวนั้นรีบเอื้อมมือเข้าไปในกระสอบและเอาหัวใจที่เปื้ อน
เลือดสดๆ ออกมา มันยังคงเต้นราวกับเพิ่งถูกฉีกออกจากร่างคน ผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายต่างเริ่มใส่พลังเวทเข้าไปในหัวใจเหล่านั้น ทําให้หัวใจ
ขยายออกไปอย่างไม่รู้จบโดยมีพลังเวทอยู่ข้างใน
ไม่นานนักที่หัวใจที่เปื้ อนเลือดก็เติบโตจนมีขนาดมหึมา พาดเงา
ทับทุกคนราวกับว่ามันเป็นหลังคาเนื้ออันบิดเบี้ยว ด้วยขนาดที่ใหญ่โต
ของมัน มันสามารถบดบังแสงสีทองที่สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าได้
ตูม!
แผละ!
แสงแห่งการพิพากษาอันศักดิ์สิทธิ์ได้ปลดปล่อยการระเบิด
หลังจากกระทบกับสัตว์ประหลาดหัวใจที่ที่กล้ายืนหยัดขวางเส้นทาง
ของมัน ทําให้เลือดและเนื้อกระจายไปทั่วทิศทาง แม้จะดูราวกับว่ามัน
จะพังทลายได้ทุกเมื่อ แต่หัวใจที่เปื้ อนเลือดก็ยังคงสามารถทนต่อความ
รุนแรงของแสงสีทองผ่านการขยายตัวอันไม่รู้จบได้
พวกลัทธิชั่วร้ายคํารามด้วยความตื่นเต้น พวกเขากางมือออกกว้าง
เพื่อรับสายฝนโลหิต ก่อนที่จะดําเนินการต่อไป โดยไม่ได้รู้เลยว่าแสงสี
ทองซึ่งสาดสว่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงอาหารเรียกน�าย่อยเท่านั้น
จานหลักยังไม่ได้เสิร์ฟในขณะที่อัครสาวกกําลังร่ายเวทลําแสงสีทอง กองทัพนอกรีตก็
กําลังใช้เวลานั้นเพื่อปลดปล่อยการโจมตีจากระยะไกลของพวกเขาเอง
หญิงร่างสูงผู้ได้รับพรจากเทพธิดาแห่งผืนปฐพียืนอยู่แถวหน้าของ
กลุ่ม กางโล่ที่สูงตระหง่านของตนไว้บนพื้นด้านหน้าซึ่งเปล่งประกาย
ด้วยชั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพลังเวทไหลและบีบอัดเข้าไปในเกราะอย่าง
ต่อเนื่อง มันก็เริ่มปล่อยไอน�าและคลื่นความร้อน จนถึงระดับที่สามารถ
สร้างหมอกสีรุ้งได้
จากนั้นทุกอย่างก็ถูกปลดปล่อยออกมาในการระเบิดครั้งเดียว
การระเบิดของลาวาอันเข้มข้นนั้นแทบจะเป็นลําแสงมรณะที่
สามารถกําจัดทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้ เช่นเดียวกับที่กระแสน�าเข้มข้นที่
สามารถเทียบได้กับมีดที่คมที่สุดในโลก สิ่งที่เหลืออยู่ในแนวการโจมตี
ของลัทธิคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดความแน่วแน่ มีเพียงร่างที่
กลายเป็นไอและเสียงร้องเจ็บปวดอย่างน่าเศร้า
เหล่าผู้คลั่งลัทธิชั่วร้ายถูกที่ตัดขาดออกเป็นสองส่วนจากเอวต่าง
ส่งเสียงร้อง พวกเขาไม่มีเวลาที่จะทําความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้
อย่างเต็มที่ ทว่าทันใดนั้นร่างกายทั้งสองส่วนของพวกเขาก็ลุกเป็นไฟ
จากความร้อนจัด จนเหลือเพียงเถ้าถ่านอย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งของอัครสาวกและกองทัพนอกรีตนั้น
ยิ่งใหญ่มากจนแม้แต่ผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายก็ยังถูกบังคับให้แยกย้ายกันไป
รอบๆ
การโจมตีแบบปิดล้อมที่ประสบความสําเร็จทําให้ฝ่ายของโรเอล
ได้เปรียบ แต่ทันทีที่การต่อสู้เข้าใกล้ระยะประชิด พวกลัทธิชั่วร้ายก็เริ่ม
แสดงความแข็งแกร่งของตัวเอง
เมื่อใดก็ตามที่การจู่โจมนั้นโจมตีผู้คลั่งลัทธิชั่วร้าย เลือดที่สาด
กระเซ็นจะกลายเป็นพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูง และเนื้อที่ถูกตัดก็จะ
กลายเป็นสัตว์ประหลาดอันแข็งแกร่ง มันไม่ง่ายเลยที่จะจัดการกับ
วิธีการคุกคามของผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย แต่อัครสาวกและกองทัพนอกรีต
เองก็ไม่ใช่มือสมัครเล่นในสนามรบเช่นกัน พวกเขาจึงสามารถปรับตัว
และจะจัดทําแผนตอบโต้ได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษก็คือความเฉยเมยของโรเอล
เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ถูกผนึกไว้กับเขา และเจ้าของของมันอย่างนอ
ร่าก็กําลังวิ่งมาหาเขา
เบื้องหลังของเปลวเพลิงอันลุกโชนและเสียงร้องอันน่าสลดใจ ใน
ที่สุดชายผมสีทองและเด็กหนุ่มผมดําก็เผชิญหน้ากันในที่สุดด้วยพลัง
เวทของพวกเขาที่เริ่มเดือดพล่านอย่างเงียบงัน