ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END - บทที่ 478: แก่นแห่งความเชื่อ
ณ หุบเขาทาร์ก ไบรอันเดินผ่านโครงกระดูกยักษ์ มุ่งหน้าไปยังผู้
อัญเชิญที่อยู่ถัดจากมัน ขณะเดียวกันภายในห้องมืด ร่างในชุดคลุมเอง
ก็เตรียมที่จะจากไปเช่นกัน
เขาไม่จําเป็นต้องอยู่เฝ้าดูอะไรอีก เพราะเป้าหมายของฝ่ายตนนั้น
ลุล่วงแล้ว
ตอนนี้โรเอล แอสคาร์ดไม่มีตัวตนอีกต่อไป
การหยุดลงอย่างกะทันหันของพลังทางสายเลือดตระกูลแอสคาร์ด
และคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดได้ช่วงชิงการป้องกันของโรเอลไป ทํา
ให้หมอกสีเทาเจาะทะลุร่างของเด็กหนุ่ม โดยที่อีกฝ่ายไม่อาจหลบเลี่ยง
ได้ เห็นได้ชัดจากร่างกายที่แน่นิ่งอยู่กับที่
ทว่าสิ่งที่ไบรอันและชายในชุดคลุมไม่รู้ก็คือโรเอลนั้นยังมี
สติสัมปชัญญะอยู่
เด็กหนุ่มได้กลับไปยังพื้นอันมืดมิดที่เขาเคยเห็นในตอนที่เขากําลัง
จะสูญเสียการควบคุมพลังทางสายเลือดไป ความเย็นยะเยือกเข้า
ครอบงําการดํารงอยู่ของเขา มือที่ยื่นออกมาจากเงายังคงค่อยๆ กลบ
แสงเทียนไปโดยที่โรเอลไม่สามารถขยับไปไหนได้เลยเด็กหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตของตนจะต้องจบลงแน่ๆ ในทันทีที่เปลวเทียน
นั้นดับลง
ฉันต้องทําอะไรสักอย่างแล้ว
โรเอลเข้าใจได้โดยสัญชาตญาณว่าเปลวเทียนตรงหน้าแสดงถึง
อะไร มันเป็นที่มาของพลังสําหรับผู้ปลุกพลังสายเลือดตระกูลแอส
คาร์ด มือจากเงานี้น่าจะเป็นการแทรกแซงจากภายนอกของศัตรูเพื่อ
ขัดขวางแหล่งพลังของเขา ส่งผลให้พลังสายเลือดแห่งผู้แสวงหาราชา
และคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกําเนิดมงกุฎหยุดทํางาน
ซึ่งก็ไม่ใช่ใครนอกเสียจากชายในชุดคลุมที่ไบรอันเรียกมาผ่านสื่อ
เวทและม่านหมอกสีเทา
คําถามก็คือชายในชุดคลุมทําแบบนั้นได้ยังไง คนภายนอกสามารถ
เข้าไปแทรกแซงพลังสายเลือดแห่งผู้แสวงหาราชาและคุณสมบัติแก่น
แท้ต้นกําเนิดมงกุฎได้ยังไง?
ความสงสัยมากมายผุดขึ้นในใจของโรเอล ถึงกระนั้นเขาก็ไม่
สามารถคิดถึงคําตอบของมันได้ แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสิ่ง
ที่กําลังเกิดขึ้นกับตัวเองคืออะไร แต่เขาก็เข้าใจได้โดยสัญชาตญาณว่า
ชีวิตของตนจะต้องถึงจุดจบแน่ๆ หากเปลวเทียนดับลงความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่สิ่งที่ทําให้โรเอลกลัวมากยิ่งกว่าก็คือ
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น หากปราศจากการคุ้มครองของเขา พวก
ลัทธินอกรีตและอัครสาวกก็คงไม่มีทางเอาชนะไบรอันและพวกลัทธิชั่ว
ร้ายได้ อีกทั้งนอร่าเองก็คงจะต้องถูกกําจัดด้วยเช่นกัน
แค่ความคิดเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้เขาเป็นบ้า
โรเอลพยายามดิ้นรนสุดกําลัง รวบรวมพลังใจที่จะเดินออกไป ฉีก
มือที่กําลังดับเปลวเทียน ความพยายามของเขาดูเหมือนจะเห็นผล แต่
แล้วมันก็จะสลายไปทันทีหลังจากนั้น ราวกับว่าโชคชะตากําลังเล่นตลก
กับเขา โรเอลรู้สึกเหมือนกับร่างกายของตนขาดสิ่งสําคัญบางอย่างที่จะ
ยึดส่วนต่างๆ ไว้ด้วยกัน
ทันใดนั้นคําพูดของแฮงค์ก็ผุดเข้ามาในหัว
‘สิ่งที่คุณขาดคือแก่นแห่งความเชื่อ’
ในที่สุดโรเอลก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง
พื้นที่มืดนี้เป็นมิติที่สร้างขึ้นมาจากพลังของเขา มันคือมิติที่ดํารง
อยู่ระหว่างความเป็นจริงและภาพลวงตา ถ้าโรเอลต้องการจะ
แทรกแซงดินแดนนี้ เขาก็จะต้องควบคุมพลังของตัวเองให้ได้อย่าง
เต็มที่เสียก่อน ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าหากเขายังขาดแก่นแห่งความ
เชื่อฉะนั้นแล้ว โอกาสเดียวที่โรเอลจะรอดออกไปจากที่นี่ได้ก็คือต้อง
หาแก่นแห่งความเชื่อของตัวเองให้เจอ และใช้มันชิงการควบคุมพลัง
กลับมาอีกครั้ง
ปัญหาก็คือแก่นแห่งความเชื่อของเขาคืออะไรกัน?
แฮงค์เป็นผู้ที่ศรัทธาในเทพธิดาเซีย ดังนั้นแก่นแห่งความเชื่อของ
เขาจึงมีศูนย์กลางอยู่ที่คําสอนของโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้าง เขาจึงนําคํา
สอนเหล่านี้ไปปฏิบัติในชีวิตประจําวัน เพื่อให้พวกมันกลายเป็นส่วน
สําคัญในตัวเขา
มันจะมีอะไรที่กระตุ้นฉันได้เหมือนกันไหมนะ?
โรเอลพยายามจดจ่อกับความคิดอันคลุมเครือของตน เพื่อค้นหา
คําตอบสําหรับคําถามนั้น แต่สิ่งต่างๆ ก็ไม่เป็นไปด้วยดีสักเท่าไหร่
ความคิดของเขาช้าลงไปเรื่อยๆ ตามแสงเทียนที่เริ่มริบหรี่ลง จนกระทั่ง
ทุกอย่างหยุดนิ่ง
ในช่วงเวลาที่ยังคิดไม่ตกนั้นเอง ช่วงเวลาต่างๆ ที่โรเอลได้ใช้ชีวิต
มาก็เริ่มฉายซ�าในหัว จนกระทั่งฉากหนึ่งโผล่ขึ้นมาให้เห็น
ภายในห้องอันมืดมิด โรเอลพบว่าตนกําลังเผชิญหน้ากับชายผู้สง่า
งามในเงามืด คนคนนั้นมีผมสีทองและตาสีฟ้า ใบหน้างดงามราวกับงานศิลปะอันละเอียดอ่อน แต่ท่าทางบรรยากาศนั้นกลับแสดงให้เห็น
บุคลิกอันจองหองของอีกฝ่าย
เมฆ ฝน พายุ ส่งเสียงดังก้องอยู่บนท้องฟ้า จากนั้นสายฟ้าก็ผ่า
แล่บส่องแสงสว่างมาที่ใบหน้าของชายผู้สง่างามคนนั้น
เวต เซไซต์
โรเอลรู้สึกประหลาดใจมาก เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะนึกถึงเวตใน
ขณะที่กําลังจะตาย
เขาโผล่ขึ้นมาในความคิดของฉัน เพราะฉันเพิ่งสู้กับเฟลเดอร์งั้น
เหรอ? หรือเป็นเพราะฉันต่อสู้เพื่อปกป้องนอร่าเหมือนในสถานะผู้เฝ้า
มองอีกครั้งกัน?
ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นในจิตใจของโรเอล แต่แล้วเขาก็ปฏิเสธมัน
อย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่วินาทีที่เวตปรากฏตัวขึ้น โรเอลก็รู้สึกได้ถึงประกายไฟที่
กําลังลุกโชนขึ้นภายในร่างกายของตัวเอง ทําให้โรเอลมีพละกําลังมาก
พอจะต่อสู้กับแรงที่พยายามลากเขาไปสู่ขุมนรก ราวกับว่าตัวเองกําลัง
ใกล้จะไขว่คว้าสิ่งที่สําคัญมาได้แล้วแฮงค์กล่าวไว้ว่าคนๆ หนึ่งอาจได้คําตอบของตัวเองเมื่อประสบกับ
สถานการณ์เฉียดตาย แล้วทําไมเราถึงเจอเวตในช่วงที่กําลังจะตายได้
ล่ะ?
“พอเข้าใจแล้ว…ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีความคล้ายคลึงกัน
ค่อนข้างมากสินะ”
โรเอลพึมพําด้วยความเข้าใจ
โรเอลและเวตเป็นคนสองคนที่แตกต่างกันมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่
ของบุคลิกภาพหรืออุดมคติ แต่ถึงกระนั้น ทั้งสองก็ยังมีความคล้ายคลึง
กันอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือการท้าทายต่อชะตากรรมของพวกเขา
เมื่อสองศตวรรษก่อน องค์ชายคนนี้ได้ยกธงแห่งการกบฏขึ้น ชี้นํา
พวกลัทธินอกรีตในการต่อสู้กับโบสถ์แห่งเทพีผู้สร้างที่ปฏิบัติต่อพวก
เขาอย่างไม่ยุติธรรม สายฟ้าสีแดงเข้มที่เขาใช้เป็นดั่งสัญลักษณ์แห่ง
ความโกรธแค้น โดยไม่คํานึงถึงว่าตนถูกหรือผิด เขาต่อสู้อย่างกล้าหาญ
เพื่ออุดมคติของตัวเองจนสิ้นลมหายใจ
ตอนนี้ในทางใดทางหนึ่ง โรเอลเองก็ตกอยู่ในตําแหน่งเดียวกัน
เพียงแต่สิ่งที่เขาพยายามจะโค่นล้มนั้นยิ่งใหญ่กว่าองค์กรหรือสถาบัน
ทางสังคมใดๆ
‘โชคชะตา’ นั่นเองเขาต่อสู้กับโชคชะตามาตั้งแต่จําเรื่องราวในอดีตชาติได้ เมื่อใดก็
ตามที่ความตายมาเยือน เขาก็จะต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดกําลัง ไม่ยอม
จํานนแม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์อันเลวร้าย
นี่คือสาเหตุที่เขารอดมาจนถึงตรงนี้ได้
อันตรายมักจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาโรเอลเสมอ ไม่ว่าจะเป็นที่เมือง
หลวงศักดิ์สิทธิ์ที่กลายเป็นสนามรบ ทะเลแห่งการทรยศ หรือ
สถาบันการศึกษาที่สิ้นหวัง ตั้งแต่ตัวตนภัยพิบัติที่ทําลายอารยธรรมใน
อดีต ไปจนถึงผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 1 ราชาแห่ง
เผ่าพันธุ์ โรเอลได้พบกับภัยคุกคามมากมายที่ส่วนใหญ่ไม่มีทางเกิดขึ้น
ในช่วงชีวิตของเขา
นอกจากนี้ เมื่อมารดาแห่งเทพธิดากําลังจับตามองเขาอยู่ สิ่งต่างๆ
ก็มีแต่จะแย่ลงไปอีกในอนาคต
ผู้ปลุกพลังสายเลือดตระกูลแอสคาร์ดได้ถูกกําหนดให้เดินเคียง
ข้างความตาย แต่โรเอลไม่คิดที่จะยอมให้อุปสรรคปัญหาเหล่านี้ลาก
เขาลงไปด้วย เขาจึงวางแผนที่จะยืดอกก้าวเดินต่อไป
จังหวะนั้นเองความสงบก็เข้าครอบงําโรเอล ทําให้ในที่สุดเขาก็
เข้าใจถึงบทสรุปของความคิดเหล่านี้
และได้พบกับคําตอบที่ต้องการ“ต่อต้านและเปลี่ยนวิถีแห่งโชคชะตาไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม นั่น
คือแก่นแห่งความเชื่อของฉัน”
โรเอลพูดขึ้น
ทันใดนั้นความร้อนระอุพลันพุ่งทะลักผ่านเส้นเลือด โรเอลเห็นเงา
ของโร พอนเต้ และคนอื่นๆ แล่นผ่านดวงตาของเขาไป ราชินีไฮเอลฟ์
แห่งกองเรือทองคํายิ้มให้เขา ส่วนบรรพบุรุษที่อุทิศชีวิตเพื่อปกป้อง
มนุษยชาติในมิติห้วงความฝันเองก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขา
พลังอันไร้ขอบเขตเริ่มสะสมในตัวโรเอล
ภายในห้องมืด เปลวเทียนที่ใกล้จะดับ จู่ๆ ก็ลุกโชนขึ้นมาด้วยพลัง
ที่เพิ่งค้นพบใหม่ ในตอนแรกมันเป็นเพียงแค่แสงวูบวาบจางๆ แต่แล้ว
มันก็ค่อยๆ ทวีความสว่างไสวขึ้นเสียจนทําให้ตาพร่ามัว
โรเอลก้าวไปข้างหน้าและจับมือที่ยื่นออกมาจากเงามืด ประหนึ่ง
ว่าเขากําลังจับชะตากรรมของตัวเอง
“นี่ไม่ใช่ที่ที่แกควรอยู่… ผู้ร่วงหล่น”
ดวงตาอันวาวโรจน์ของโรเอลจ้องไปยังภาพเงาในเงามืด
“ได้เวลาทวงคืนสิ่งที่แกเอาไปจากฉันแล้ว”