ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 413 จบแล้วรึ
ปู้ฟางเชื่อมพลังปราณของก๋วยเตี๋ยวอาละวาดทั้งเก้าชามได้สำเร็จ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นตัวเขาเองที่อ่อนแรงลงมาก เนื่องจากการเชื่อมพลังปราณทั้งเก้าเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับคนที่มีระดับปราณเท่าเขา พลังกดทับที่ถาโถมลงมานั้ น ทำให้ดวงตาของเขาถึงกับขึ้นสีเลือดเลยทีเดียว
สุดท้ายเขาก็สามารถสร้างวงแหวนปราณได้สำเร็จ โดยการเค้นพลังจนถึงขีดสุดเท่าที่จะทานทนไหว
วงแหวนปราณอาหารเลิศรสก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในที่สุด
แม้วงแหวนปราณจะสร้างเสร็จแล้ว แต่ปู้ฟางในตอนนี้กลับเรียกได้ว่าหมดแรงจนแทบไม่เหลือ เขารู้สึกว่าศีรษะของตนเองหนักมากจนเริ่มง่วงขึ้นมา
นี่คือผลกระทบจากการที่พลังปราณลดลงฮวบฮาบนั่นเอง
พลังจิตของปู้ฟางแข็งแกร่งมากเนื่องจากเขาต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำอาหารอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้พลังจิตของเขาจึงแซงหน้าพลังปราณไปหลายขุม ตอนนี้เขามีปราณอยู่ที่ระดับแปด ขั้นเทพแห่งสงคราม แต่พลังจิตของเขานั้นอีกครึ่งหนึ่งก็จะบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ทว่า…การสร้างวงแหวนปราณอาหารเลิศรสจากพลังจิตที่ใกล้บรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเรียกได้ว่าลำบากยิ่ง
แต่โชคดีที่ปู้ฟางสามารถสร้างวงแหวนปราณได้สำเร็จ
วงแหวนปราณอาหารเลิศรสขยายอาณาเขตปกคลุมไปทั่วนครหลวง วงแหวนปราณเชื่อมอยู่กับจิตของปู้ฟาง ซึ่งแปลว่าเขาคือผู้ควบคุมเพียงหนึ่งเดียวของมันนั่นเอง
ปู้ฟางรู้สึกได้ว่าร่างกายของตนแข็งแกร่งขึ้นมากเมื่ออยู่ใต้อำนาจของวงแหวนปราณ พลังปราณหลั่งไหลออกจากวงแหวนปราณเข้าสู่ร่างกายของเขาเป็นระลอก
เมื่อเทียบกับคุณสมบัติในการเพิ่มพลังการต่อสู้หนึ่งเท่าของก๋วยเตี๋ยวอาละวาดแล้ว วงแหวนปราณช่วยพัฒนาความสามารถได้มากกว่าหลายเท่าอย่างน่าตกใจ
ปู้ฟางรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะระเบิดเพราะพลังปราณเที่ยงแท้ที่สะสมอยู่ภายใน ราวกับเลือดกำลังไหลออกจากรูขุมขนทั้งหมดก็ไม่ปาน
ตู้ม ตู้ม ปัง!!
พลังปราณเที่ยงแท้เข้มข้นไหลเข้าไปในกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ ทำให้ลวดลายบนผิวกระทะเรืองแสงสีทองเจิดจรัส กระทะขยายขนาดใหญ่ขึ้นทันทีจนใหญ่เท่าภูเขาลูกย่อมๆ จากนั้นมันก็ฟาดลงบ บนร่างของเหลียงไคจนมิด
พื้นดินสั่นสะเทือนปริแยกออกจากกัน
วงแหวนปราณหมุนวนรอบตนเองช้าๆ ปลดปล่อยพลังปราณออกมาไม่สิ้นสุด ปู้ฟางกระโจนขึ้นไปในอากาศแล้วใช้มือข้างหนึ่งควบคุมกระทะกลุ่มดาวเต่าดำไว้ ร่างของเขาปล่อยแสงเรืองรองเจิดจ้าออกมา า ทำให้ชายหนุ่มดูราวกับเป็นเทพเจ้าอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างตกใจแทบสิ้นสติ
ปู้ฟางที่จู่ๆ ก็ระเบิดพลังออกมาทำให้พวกเขาตกใจเป็นอันมาก ไม่มีใครคาดคิดว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตรเช่นนี้หลังจากที่ปู้ฟางถูกไล่ต้อนจนจนมุม
“กระทะกลุ่มดาวเต่าดำทำอะไรเหลียงไคไม่ได้ไม่ใช่หรือ แล้วตอนนี้เหตุใดเขาจึงถูกกระทะฟาดจนจมดินไปได้”
ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ต้วนอวิ๋นสูดหายใจเข้าลึก พลังการมองเห็นทะลุทะลวงของขาเหนือชั้นกว่าดวงตาของชาวท้องถิ่นบนสนามฝึกซ้อมมากนัก เขาหันมองพลังปราณพร่ามัวที่กระจายอยู่รอบๆ หัวใจและร่างกายสั่นสะท ท้านไปหมด
พลังการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของปู้ฟางมาจากกลุ่มก้อนกระแสพลังปราณพร่าเลือนที่อยู่รอบตัวพวกเขานั่นเอง
แล้วตัวเขาก็รู้จักพลังงานเช่นนี้ดีเสียด้วย…
มันคือพลังปราณจากวงแหวนปราณ!
ในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุ เขารู้วิธีการใช้งานวงแหวนปราณเป็นอย่างดี วงแหวนปราณนั้นสร้างขึ้นโดยใช้ผลึก จัดเป็นเคล็ดวิชาที่ใช้การกังวานสอดประสานกันของพลังปราณที่อยู่ภายในผลึ กเพื่อสร้างสนามพลังขึ้นมา เป็นวิชาที่ลึกลับน่าค้นหาเป็นอันมาก
“วงแหวนปราณของเถ้าแก่ปู้…มีความเป็น ‘วงแหวนปราณพื้นที่’ แฝงอยู่ด้วย ช่างน่าทึ่งอะไรเช่นนี้ เถ้าแก่ปู้ช่างเป็นชายที่ยอดเยี่ยมเหมือนปีศาจเสียจริง!” ต้วนอวิ๋นรู้สึกงุนงงเป็นอันมา าก
เถ้าแก่ปู้ทำให้เขาตกตะลึงมาไม่รู้กี่นักต่อกี่นักแล้ว
วงแหวนปราณพื้นที่ไม่ใช่วงแหวนปราณธรรมดา ถ้าจะพูดให้ถูกคือ การจะสร้างวงแหวนปราณพื้นที่ขึ้นมาได้ ผู้สร้างวงแหวนปราณต้องทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพชิ้นแรก และบรรลุปราณระดับสิบ บชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อยแล้ว
ยิ่งผู้ฝึกตนผู้นั้นทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพได้มากเท่าไร วงแหวนปราณพื้นที่ที่เขาสร้างได้ก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น
แน่นอนว่า…เคล็ดวิชานี้มีไว้สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านวงแหวนปราณเท่านั้น ผู้ฝึกตนชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปปกติแล้วหาได้สนใจศาสตร์นี้ไม่
ศาสตร์นี้เป็นศาสตร์ที่กว้างขวางเต็มไปด้วยเรื่องที่ต้องเรียนรู้
ทว่า…ปู้ฟางมีปราณเพียงระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามเท่านั้น แล้วเขาจะสร้างวงแหวนปราณพื้นที่ได้อย่างไร ในเมื่อวงแหวนปราณประเภทมีไว้สำหรับผู้ฝึกตนชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์
“หมอนี้เป็นตัวบ้าตัวบออะไรกันแน่!”
ปู้ฟางเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าวงแหวนปราณอาหารเลิศรสของเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ พลังของมันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าสามารถทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองได้เลยทีเดียว
เขาโบกมือเรียกกระทะกลุ่มดาวเต่าดำให้ลอยขึ้นจากพื้น
โครม! โครม! หินแตกละเอียดร่วงกราวลงมาทันที
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากก้นกระทะ เป็นเสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยโทสะและความโกรธแค้น!
ตู้ม! เสียงระเบิดดังขึ้นตามมา
พลังปราณกล้าแกร่งกระแทกเข้าใส่กระทะกลุ่มดาวเต่าดำ ทำให้มันยกตัวขึ้นจากพื้นเล็กน้อย
ปู้ฟางกำด้ามกระทะเอาไว้ในมือ ดวงตามองไปที่หลุมใหญ่ซึ่งยุบตัวลงจากพื้น
เหลียงไคยืนอยู่ภายในก้อนเพลิงในหลุม เลือดสาดกระจายไปทั่วพื้น สภาพของเขารุ่งริ่งพอตัวเลยทีเดียว
ปู้ฟางเคยถูกผลักไปจนติดกำแพงครั้งหนึ่ง ตอนนี้เหลียงไคเองก็ถูกทำให้เข้าตาจนไม่ต่างกัน
แคก แคก...
เขากระแอมกระไอ ร่างกายสั่นเทิ้ม เพลิงที่ห้อมล้อมร่างกายอยู่ค่อยๆ มอดดับลง ชายหนุ่มไม่อาจบังคับใช้วิชากายาปีศาจอาทิตย์แผดเผาได้อีกต่อไป
“ใครจะไปคิดว่า…ไอ้ขี้แพ้อย่างเจ้าจะมีความสามารถอะไรเช่นนี้ซ่อนอยู่ ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ…วงแหวนปราณเช่นนั้นรึ เป็นแค่พวกระดับแปดไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แต่กลับสร้าง ‘ ‘วงแหวนปราณพื้นที่’ ได้ต่อหน้าต่อตาข้า…”
เหลียงไคหัวเราะกับตนเอง รอยยิ้มขมขื่นวาดอยู่บนริมฝีปาก เขาไม่เคยคิดเลยว่าปู้ฟางจะสร้างวงแหวนปราณพื้นที่ขึ้นได้จากก๋วยเตี๋ยวอาละวาดเก้าชาม
เขารู้สึกว่า…เรื่องนี้มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเสียพลังปราณไปมากจากการถูกกุ้งตั๊กแตนสีทองทะลวงร่าง… ตอนนี้เขาอ่อนแอลงมากทีเดียว
คนอย่างเขากลับต้องมาถูกสยบด้วยน้ำมือของพวกไม่รู้หัวนอนปลายเท้า เหลียงไครู้สึกอับอายจนใบหน้าเจ็บปวดไปหมด
เหลียงไคกระทืบเท้าลงบนพื้นจนแตกละเอียด พลังปราณเที่ยงแท้ลอยวนอยู่รอบกาย เตรียมจะกระโจนออกจากก้นหลุม!
แต่ตอนที่เขากำลังพุ่งออกจากก้นหลุมนั้นเอง หัวใจของเหลียงไคก็ต้องกระตุก
ปู้ฟางมองเขาด้วยสายตาเย็นชายิ่ง
ชายหนุ่มลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างสง่างามราวเทพเจ้า ยกมือขึ้นโบกอย่างไม่ใส่ใจอะไรมากมาย กระทะกลุ่มดาวเต่าดำลอยขึ้นอีกครั้งแล้วขยายขนาดอยู่ในอากาศ ไม่นานนักมันก็กลับมามีขนาดเท ท่าภูเขาลูกเล็กๆ อีกครั้ง
เหลียงไครู้สึกเหมือนตนเองต้องคำสาป ดวงตาของเขามองอะไรไม่เห็นเพราะเงาดำของกระทะอีกครั้ง เขาเพิ่งออกมาจากหลุมลึกได้แต่กลับต้องมาถูกกระทะตบจนหน้าคว่ำอีกครั้ง
ตู้ม ตู้ม ปัง!!
พื้นดินสั่นสะเทือนแตกละเอียดไปหมด
จีเฉิงเสวี่ยและคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่บนกำแพงมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้างุนงงเป็นไก่ตาแตก พวกเขาถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว ดวงตาจับจ้องเหลียงไคที่จมดินอีกครั้งหลังจากถูกกระทะ ะตบไปหนึ่งฉาด
บรรดาศิษย์จากสำนักมหาพิภพบนยานรบงุนงงเสียยิ่งกว่าไก่ตาแตกด้วยซ้ำไป
ทุกคนกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
เหลียงไคเป็นหนึ่งในสิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค์ของสำนักมหาพิภพ แต่ตอนนี้กลับถูกผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามซัดจนหมอบ
โลกนี้มันช่างบ้าบออะไรเช่นนี้!
เป่ยกงหมิงตะเกียกตะกายไปที่ปลายยานรบ เขามองการต่อสู้ที่ดำเนินอยู่ด้านล่างพลางสูดลมเย็นเข้าปอด
ไม่มีใครรู้ซึ้งถึงพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวเหลียงไคได้ดีเท่าเขาอีกแล้ว เหลียงไคได้รับทรัพยากรการฝึกปราณจากสำนัก ทำให้ขั้นปราณของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด อย่างน้อยเขา ก็สามารถสยบเป่ยกงหมิงได้อย่างราบคาบ
แต่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้กลับกำลังถูกกระทะตีจนหมอบ เป่ยกงหมิงเอามือกำระเบียงดาดฟ้ายานรบแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเร้าใจ
ปู้ฟางเรียกกระทะกลุ่มดาวเต่าดำให้กลับมาหาตนเองอีกครั้ง
ตอนนั้นเองเหลียงไคที่ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือดก็ตัดสินใจว่าจะหนีเอาชีวิตรอด แต่ขณะที่เขากำลังจะวิ่งหนี ความมืดก็เข้าปกคลุมตัวเขาอีกครั้ง
กระทะกลุ่มดาวเต่าดำฟาดลงมาอีกครา!
คราวนี้เหลียงไคอยากร้องคำรามโหยหวนออกมาด้วยความโกรธ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เปล่งเสียง ร่างกายก็จมลงไปด้วยแรงจากกระทะอีกครั้ง
“ช่างหน้าไม่อายเสียจริง…มารังแกคนอื่นในการต่อสู้ได้อย่างไร
“ข้าขอท้าให้เจ้าปล่อยข้าออกจากไอ้หลุมเวรนี่เสีย!”
เหลียงไคอับจนหนทางเสียจนแทบกระอักเลือดออกมาชุดใหญ่ หัวใจของเขากำลังร้องไห้ ร่างกายอ่อนแรงเพราะพิษจากบาดแผล หากโดนกระทะฟาดอีกสองสามรอบ...มีหวังเขาได้ไปพบเง็กเซียนฮ่อง งเต้จริงๆ แน่
เหลียงไค หนึ่งในสิบผู้สืบทอดแห่งสวรรค์ของสำนักมหาพิภพ กำลังจะถูกกระทะฟาดจนตายในสนามฝึกซ้อม หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ตัวเขาคงกลายเป็นตัวตลกประจำทวีปแน่นอน!
คิดได้ดังนั้นเหลียงไคก็ส่งพลังรุนแรงออกมาอีกครั้งพร้อมเสียงดังลั่น
ตู้ม!!
แต่กระทะกลุ่มดาวเต่าดำกลับฟาดลงมาอีก กลบเสียงโหยหวนของเขาจนมิด
เหลียงไครู้สึกเหมือนตนเองกำลังชดใช้กรรมอยู่ในนรก
แคก แคก แคก...
ปู้ฟางที่ลอยอยู่กลางอากาศมีเลือดไหลออกจากรูขุมขนทุกรูบนร่างกาย ร่างกายของเขาแทบจะชุ่มโชกไปด้วยสีแดงชาด
เขาใช้พลังปราณในการควบคุมวงแหวนปราณมากเกินตัว ทำให้ร่างกายต้องรับผลของการใช้พลังเกินตัวเช่นกัน
กระทะฟาดลงมาจากอากาศเป็นครั้งสุดท้าย
ร่างของปู้ฟางร่วงหล่นจากฟากฟ้า ตกลงกระแทกพื้นจนเกิดเป็นหลุมลึก จากนั้นกระทะกลุ่มดาวเต่าดำก็สลายกลายเป็นควันไปในอากาศพร้อมเสียงดังฟึ่บ
วงแหวนปราณอาหารเลิศรสเองก็มืดดับลงเช่นกัน ลำแสงทั้งเก้าค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ
ทุกคนงุนงงไปหมด ไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่แอะเดียว
โอวหยางเสี่ยวอี้ที่อยู่ในร้านเบิกตากว้าง เมื่อเห็นปู้ฟางตกลงมาจากฟ้า นางก็รีบวิ่งออกมาทันที นางรู้ว่าปู้ฟางกำลังอยู่ในสภาพย่ำแย่เป็นอันมาก ขณะยกร่างของชายหนุ่มที่กำลัง กรนเสียงสนั่นขึ้นมา หัวใจของโอวหยางเสี่ยวอี้ก็สั่นสะท้านไปหมด
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นปู้ฟางในสภาพเละเทะถึงเพียงนี้
เด็กหญิงถอนหายใจหันหลังกลับ เตรียมพาปู้ฟางเข้าไปในร้าน
“จบเสียที…” โอวหยางเสี่ยวอี้พึมพำ
“ใครบอกว่าจบแล้วกัน…ส่งไอ้เวรนั่นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไอ้เด็กผี…”
เสียงแหบพร่าเจือเสียงไอดังขึ้น
โอวหยางเสี่ยวอี้ตัวแข็งทื่อทันที นางหันศีรษะกลับไปแล้วก็เห็นเหลียงไคที่กำลังลากร่างซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลเลือดโชกออกมาจากหลุมลึก
“ไอ้หมอนี่ยังไม่ตายอีกรึ! มันเป็นแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตายหรืออย่างไร!”
โอวหยางเสี่ยวอี้ตกใจลนลานไปหมด แม้เหลียงไคจะบาดเจ็บสาหัส แต่พลังปราณที่ปล่อยออกมาจากตัวเขาก็แข็งแกร่งพอจะทำให้เด็กหญิงขยับร่างกายไม่ได้
นางอยากหันหลังกลับเพื่อวิ่งหนี แต่ก็ทำไม่ได้
แกรก แกรก…
เหลียงไคก้าวมาข้างหน้าอย่างยากลำบาก ทุกย่างก้าวทำให้ชายหนุ่มเข้าใกล้โอวหยางเสี่ยวอี้ที่กำลังอุ้มปู้ฟางเอาไว้ในอ้อมแขนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาหอบหายใจเสียงดังเหมือนหีบเพลง พลังปรา าณพลุ่งพล่านออกมาจากร่าง
ดวงตาเพ่งมองปู้ฟางเหมือนจะจับหักคอให้ตายคามือ
เมื่อเห็นดังนี้ เซียวเสี่ยวหลงก็สะดุ้งโหยงพลางพุ่งออกมาจากร้านอย่างรวดเร็ว
ต้วนอวิ๋นมุ่นคิ้ว รีบพุ่งผ่านผู้คนเพื่อมาช่วยปู้ฟาง
แต่ร่างกายของเขาก็พลันต้องแข็งทื่อหลังจากวิ่งออกมาได้ไม่กี่ก้าว
ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
นั่นเพราะเขาเห็นว่าร่างของเหลียงไคถูกเจาะทะลวงอีกครั้งด้วยลำแสงสีทองเจิดจรัส เกิดเป็นปากแผลใหญ่ที่มีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด ลำแสงนั้นลอยวนอยู่บนท้องฟ้า ก่อนจะสลายห หายไป เผยให้เห็นร่างที่อยู่ภายใน
ทุกคนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
ลำแสงสีทองนั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใด…นอกจากเจ้ากุ้งตั๊กแตนสีทองที่นอนอยู่บนไหล่ของปู้ฟาง พลางโบกสะบัดก้ามของมันไปมานั่นเอง