ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 147 เกณฑ์แรงงานราษฎรสามพันคน
ในคืนวันที่สบู่ทำเสร็จ ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา
ฉินเหยาถูกความหนาวปลุกให้ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย นางดึงผ้าห่มอันอบอุ่นเข้าหาตัว ขณะเดียวกันก็นึกโล่งใจที่ไม่ได้แขวนสบู่ไว้ใต้ชายคา
มิฉะนั้น หากปล่อยให้ถูกลมฝนโหมกระหน่ำตลอดคืน ความพยายามสามวันคงสูญเปล่า
ฝนเทกระหน่ำตลอดทั้งคืน กระทั่งย่ำรุ่งจึงค่อยๆ เบาลง กลายเป็นละอองฝนพรำๆ ไม่มีทีท่าว่าฟ้าจะเปิด
สายฝนแห่งฤดูใบไม้ร่วงนำพาความหนาวมาเยือน ยามเช้าเมื่อเปิดประตูห้องออก ฉินเหยาก็รับรู้ถึงความเย็นยะเยือกของคำกล่าวนี้ทันที
เดือนเก้าได้ล่วงเลยมากว่าครึ่งแล้ว
วันนี้คือวันที่สิบห้า ถึงเวลาจ่ายค่าแรงของเดือนก่อนให้กับคนงาน
ฉินเหยากินมื้อเช้าที่บ้าน เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าฝ้ายหนา ก่อนหยิบสมุดบัญชีและเงินติดตัวไปยังโรงงาน
นางไม่ได้มาที่นี่เกือบครึ่งเดือน แต่ด้วยช่างไม้หลิวคอยดูแล ทุกอย่างในโรงงานจึงยังดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อเหล่าคนงานเห็นฉินเหยาหนีบสมุดบัญชีไว้ใต้รักแร้ ความหดหู่จากฟ้าครึ้มฝนก็พลันหายไป สีหน้าเผยความตื่นเต้นออกมาอย่างปิดไม่มิด
ฉินเหยาตรงไปหาช่างไม้หลิวก่อน ตรวจสอบบัญชีของครึ่งเดือนที่ผ่านมา จากนั้นจึงหยิบกระดาษร่างออกมาคำนวณค่าแรงของคนงาน
ก่อนเลิกงานตอนเย็น นางจ่ายค่าแรงให้กับคนงานทุกคน บรรยากาศทั่วโรงงานเต็มไปด้วยความปิติยินดี
คนงานรับค่าแรงแล้วทยอยกลับบ้าน ฉินเหยาและช่างไม้หลิวอยู่เป็นคนสุดท้าย สนทนาเรื่องรายละเอียดบางอย่างจนเสร็จจึงปิดประตูโรงงานแล้วแยกย้ายกันกลับ
วันนี้ทุกบ้านได้ค่าแรง มื้อเย็นจึงจัดเต็มเป็นพิเศษ ขณะฉินเหยาเดินผ่านหมู่บ้าน กลิ่นหอมของอาหารลอยเตะจมูก ทำให้นางรีบเร่งฝีเท้ากลับบ้านทันที
เมื่อถึงบ้าน ต้าหลางก็เตรียมมื้อเย็นเสร็จแล้ว เห็นนางกลับมาจึงเริ่มกินกันทันที
อาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากบรรยากาศยินดีในหมู่บ้าน มื้ออาหารเรียบง่ายของแม่ลูกทั้งห้ากลับอร่อยเป็นพิเศษ
ทว่า ขณะที่ทุกคนกำลังผ่อนคลายและดื่มด่ำกับความสุข เสียงระฆังเรียกประชุมก็ดังขึ้นกะทันหัน
ฉินเหยาและลูกๆ ที่เพิ่งกินข้าวเสร็จ จิตใจพลันตึงเครียดขึ้นมาพร้อมกัน
“เกิดอะไรขึ้น” ฉินเหยาพึมพำด้วยความสงสัย
พี่น้องทั้งสี่ทำหน้ามึนงง ไม่รู้เช่นกัน
“ข้าจะออกไปดู” ฉินเหยาส่งสัญญาณให้ต้าหลางและน้องๆ รออยู่บ้าน จากนั้นก็หยิบงอบแล้วรีบออกไป
นางพบกับหลิวเหล่าฮั่นและหลิวไป่ระหว่างทาง ทั้งสามสบตากัน ต่างเต็มไปด้วยความสงสัยและกังวล ก่อนรีบมุ่งหน้าไปยังศาลบรรพชนของหมู่บ้าน
ระฆังเรียกประชุมของหมู่บ้านแทบไม่เคยดังขึ้น หากมีประกาศสำคัญ ผู้ใหญ่บ้านมักให้คนตีฆ้องและเดินประกาศไปทั่วหมู่บ้าน
ครั้งสุดท้ายที่ระฆังนี้ดังขึ้น คือตอนที่โจรภูเขาบุกโจมตี
และก่อนหน้านี้ที่เสียงระฆังดังขึ้น นั่นหมายถึงการเกณฑ์ทหารและเกณฑ์แรงงานรอบใหม่ได้มาถึงแล้ว
ชาวบ้านที่เพิ่งได้สัมผัสกับความสงบสุขในแคว้นเซิ่งเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแคว้นเซิ่งเพียงลดแรงงานเกณฑ์และภาษีลงเท่านั้น มิใช่ยกเลิกทั้งหมด
เมื่อครู่ ทุกคนยังดีใจที่ได้รับค่าแรงประจำเดือนและจัดมื้ออาหารพิเศษกันอยู่เลย
เพียงพริบตา ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ศาลบรรพชน ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย สายตาจับจ้องไปยังผู้ใหญ่บ้านที่ถือสมุดสำมะโนครัวอยู่ในมือ
ผู้ใหญ่บ้านมองดูตัวแทนจากแต่ละครอบครัวที่มารวมตัวกัน ก่อนถอนหายใจแล้วประกาศข่าวที่เพิ่งได้รับ
“เผ่าหมานอี๋จากม่อเป่ยบุกเข้ามารุกราน ศึกสงครามชายแดนปะทุขึ้นอีกครั้ง จังหวัดจื่อจิงมีราชโองการให้ทุกอำเภอภายใต้การปกครองเร่งเกณฑ์แรงงานราษฎรจำนวนสามพันคน เพื่อลำเลียงเสบียงไปยังชายแดน…”
“ทุกครัวเรือน บุรุษอายุสิบสองปีขึ้นไป แต่ไม่เกินห้าสิบปี หากมีชายฉกรรจ์สี่คนให้ส่งสองคน หากมีสามคนหรือน้อยกว่านั้นให้ส่งหนึ่งคน บุตรชายคนเดียวได้รับการยกเว้น เวลามีจำกัด พวกเจ้ากลับไปหารือกันให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เช้ามารายงานตัว สามวันให้หลังเตรียมออกเดินทาง”
กล่าวจบ ผู้ใหญ่บ้านก็เปิดสมุดรายชื่อแล้วเริ่มขานชื่อ บ้านใดมีชายฉกรรจ์กี่คน ควรส่งไปกี่คน
เมื่อขานมาถึงเรือนเก่าตระกูลหลิว พบว่ามีชายฉกรรจ์ที่เข้าเกณฑ์สี่คนจึงต้องส่งไปสองคน
ฉินเหยายังไม่ทันได้ดูสีหน้าของหลิวเหล่าฮั่นและหลิวไป่ก็ถึงลำดับของบ้านนางเสียแล้ว
“บ้านหลิวจี้มีชายฉกรรจ์หนึ่งคน ต้องส่งหนึ่งคน”
“บ้านหลิวต้าฝูมีชายฉกรรจ์สี่คน ต้องส่งสองคน…”
ทุกคนที่ถูกขานชื่อล้วนอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลง
สายฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย ท้องฟ้ามืดครึ้มดั่งกดทับลงบนใจของทุกคน บรรยากาศตึงเครียดทำให้หายใจแทบไม่ออก
แรงงานเกณฑ์ขนส่งเสบียง เป็นสิ่งที่ชาวบ้านไม่อยากพบเจอมากที่สุด
แม้จะดีกว่าการถูกเกณฑ์เข้ากองทัพเล็กน้อย เพราะเป็นงานฝ่ายสนับสนุน ไม่ต้องเผชิญหน้ากับข้าศึกโดยตรง
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย
อันตรายที่สุดคือกำหนดเวลาของคำสั่งทหาร หากไม่สามารถขนส่งเสบียงไปให้ถึงจุดหมายตรงตามจำนวนและเวลา โทษสถานเบาคือความตาย สถานหนักคือถูกประหารสามชั่วโคตร
ผู้ใหญ่บ้านขานรายชื่อจนครบแล้วถอนหายใจไม่หยุด สีหน้าหนักอึ้งเต็มไปด้วยความทุกข์
บ้านของเขามีชายฉกรรจ์ห้าคน ต้องส่งไปสองคน หากไม่มีตำแหน่งทางการใดๆ ชาวบ้านธรรมดาย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์แรงงานได้
แต่เขาก็ได้แต่พยายามต่อรองเพื่อให้ทุกคนได้รับการยกเว้นบางส่วนอยู่เช่นกัน
ผู้ใหญ่บ้านตะโกนสองครั้ง กระตุ้นให้ทุกคนมีสติขึ้นมา จากนั้นกล่าวเสียงดังว่า
“อำเภอนี้ยังมีนักโทษอยู่สามสิบห้าคน ผู้ที่มีเงินหกตำลึงสามารถซื้อรายชื่อมาเกณฑ์แรงงานแทนได้ มาก่อนได้ก่อน ใครมีเงินก็รีบๆ ซะ!”
สามสิบห้าคนนี้ก็คือนักโทษที่รอการประหารหลังฤดูใบไม้ร่วงจากเหตุการณ์กวาดล้างโจรภูเขาก่อนหน้านี้
หากคำสั่งจากทางการมาช้ากว่านี้ ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้!
ชาวบ้านที่เดิมยังมีความหวังอยู่ พอได้ยินตัวเลขหกตำลึงต่างก็พากันสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไปพร้อมกัน
แต่ถึงกระนั้น ตราบใดที่สามารถหาเงินมาได้ ต่อให้ต้องขายทรัพย์สินในบ้านก็ต้องพยายามหาทางคว้าโอกาสนี้ไว้ให้จงได้
ไม่มีเงิน ถึงจะกัดก้อนเกลือกิน แต่ก็ยังอยู่ได้
แต่หากคนจากไป เช่นนั้นก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้วจริงๆ
หลิวเหล่าฮั่นกับหลิวไป่กำหมัดแน่นแล้วรีบหันหลังกลับบ้านเพื่อรวบรวมเงิน
โชคดีที่ปีนี้ได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นต่อให้ทำยังไงก็ไม่มีทางรวบรวมเงินสิบสองตำลึงมาได้ อย่างน้อยก็ต้องมีคนหนึ่งที่ต้องออกไปเกณฑ์แรงงาน
นางชิวใกล้คลอดเต็มแก่ เจ้ารองย่อมไปไม่ได้แน่นอน
ส่วนหลิวเฝยยังเด็กนัก เด็กน้อยจะไปทำอะไรได้ หากเกิดเรื่องขึ้นระหว่างทางก็ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย
สุดท้ายสิทธิ์นี้ต้องเป็นของหลิวเหล่าฮั่นหรือไม่ก็หลิวไป่
ตอนนี้สองพ่อลูกเพียงรู้สึกโชคดีที่ปีนี้เก็บเกี่ยวได้ดีพอที่จะหาเงินจำนวนนี้ออกมาได้
แต่ก็ไม่กล้าหวังมากนัก เพราะมีแค่สามสิบห้าสิทธิ์ แต่ต้องเกณฑ์แรงงานถึงสามพันคน คนมากมายขนาดนี้แย่งกัน ไม่อาจชักช้าได้แม้แต่น้อย
สองพ่อลูกรีบเดินออกจากศาลบรรพชน แต่จู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ว่ายังมีฉินเหยาอยู่ หลิวไป่จึงวิ่งกลับเข้าไปเรียกนางให้รีบกลับบ้านไปเอาเงิน
“แค่หกตำลึงเอง น้องสะใภ้ เจ้าอย่าได้เสียดาย รีบนำมาให้ผู้ใหญ่บ้านเถอะ ไม่เช่นนั้นเจ้าสามจะต้องไปขนเสบียงนะ งานนั่นหนักถึงตายเชียวนะ!”
กล่าวกำชับอย่างเร่งรีบเสร็จ หลิวไป่ก็รีบตามหลิวเหล่าฮั่นเข้าบ้านไป
สองพ่อลูกคิดว่าฉินเหยารู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ย่อมต้องกลับบ้านไปนำเงินมาให้หลิวจี้เพื่อซื้อรายชื่อมาเกณฑ์แรงงานแทน
แต่ไม่คาดคิด ฉินเหยาไม่เพียงไม่ร้อนใจกลับยกยิ้มเย็นชาจางๆ ที่มุมปาก
หลิวจี้ ครานี้ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะรอดไปได้อย่างไร!
“ท่านแม่!”
เมื่อเห็นเงาคนที่ตีนเขาเดินมาแต่ไกล ซื่อเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะร้องเรียกเสียงดัง
ฉินเหยาโบกมือเอ่ย “เข้าไปในเรือนเถิด ข้างนอกฝนยังตกอยู่!”
ซื่อเหนียงไม่ได้ขยับ จนกระทั่งฉินเหยาเดินมาถึง นางจึงจับชายเสื้อของนางพากันเข้าไปในเรือน
เด็กหญิงตัวน้อยเต็มไปด้วยความกังวล เงยหน้ามองนางแล้วเอ่ยถาม “ท่านแม่ เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นหรือไม่”
พี่น้องต้าหลางทั้งสามก็หันมามองด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
ฉินเหยาถอดงอบออก ปัดละอองน้ำบนตัวแล้วยิ้มกล่าวว่า “ไม่มีอะไร แค่ทางการต้องการเกณฑ์แรงงานไปช่วยขนเสบียงทหารไปยังชายแดน เพื่อส่งอาหารให้เหล่าแม่ทัพนายกองที่กำลังทำศึกกับหมานอี๋ที่ชายแดนเท่านั้น”
ซานหลางและซื่อเหนียงถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก เอ่ยด้วยความไร้เดียงสา “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”