ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 10 บทที่ 299 เก็บต้นถั่วในแปลง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปอีกสองวัน เซี่ยยวี่หลัวและเซียวยวี่ไม่มีความกระดากอายและอิดออดเหมือนก่อนหน้านี้อีก กลับสู่สภาพเดิมแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวตื่นแต่เช้า ต้มโจ๊กไว้ นางล้างหน้าบ้วนปากเสร็จ คิดจะไปในแปลงนา เก็บถั่วแระกลับมาหนึ่งตะกร้า ต้มที่บ้านเสร็จแล้วค่อยนำไปส่งในตัวเมือง
เซี่ยยวี่หลัวเดินออกไปข้างนอก เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง
“ช้าก่อน…” เป็นเสียงของเซียวยวี่
เซี่ยยวี่หลัวหันกลับไป เซียวยวี่เดินมาพลางกล่าว “ข้าไปกับเจ้า! ”
เซี่ยยวี่หลัว “…” ได้แต่เดินตามหลังเซียวยวี่ไปอย่างว่าง่าย
ตั้งแต่เกิดเรื่องผ้าเช็ดตัว เซี่ยยวี่หลัวพบว่าน้ำเสียงของเซียวยวี่อ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม
ยังเป็นช่วงเช้า หมอกบางปกคลุม ไอหมอกลอยล่องอยู่ในหุบเขา ราวกับเป็นแดนสวรรค์บนดิน ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกปรากฏแสงสีขาวคล้ายสีท้องปลา เมื่อไรที่ดวงตะวันเคลื่อนขึ้น หมอกเหล่านี้ก็จะหายไปทั้งหมด
เซี่ยยวี่หลัวเดินอยู่ข้างกายเซียวยวี่
เดิมทีนางคิดจะเดินตามข้างหลัง ใครจะรู้ พอนางผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง ฝีเท้าของเซียวยวี่ก็ช้าลงด้วย เดินอยู่ในระดับเดียวกับนางตลอด
เซี่ยยวี่หลัวถอยหลังมาสองครั้ง เซียวยวี่ก็ถอยตาม หลังจากนั้นเซี่ยยวี่หลัวจึงไม่ทำเช่นนั้นอีก กลัวว่าตัวเองทำบ่อย เซียวยวี่จะรู้ทันว่านางคิดอะไรอยู่
ในที่สุดก็ออกจากหมู่บ้าน ไปในที่นา ทางไปแปลงนาของพวกเขาเป็นคันนาคับแคบ
คราวนี้น่าจะต้องเดินข้างหน้าคนหนึ่งและข้างหลังคนหนึ่งแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวผ่อนลมหายใจยาว นางกับเซียวยวี่ยังไม่ถึงขั้นที่คิดจะคุยอะไรก็สามารถคุยได้ ไม่มีอะไรจะคุยด้วย เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังก็รู้สึกวางตัวไม่ถูก ต่อให้คนผู้นี้จะเป็นคนร่าเริงมองโลกในแง่ดี ก็ไม่มีอะไรจะคุยด้วย ไม่ได้พบเจอกับคนที่ใช่ มิสู้เป็นใบ้เสียดีกว่า
ทั้งสองคนเงียบสนิทไม่พูดคุยกันตลอดทาง จวบจนตอนเดินถึงคันนา เห็นท้องฟ้าที่มีเพียงแสงสลัว และคันนาที่คับแคบ เซียวยวี่จึงเอ่ยปาก “ข้าเดินข้างหน้า”
ช่วงเช้ามีหมอกน้ำค้างหนา นอกจากนั้น สถานที่ที่มีหญ้าเยอะไม่แน่ว่าอาจมีงูซ่อนอยู่
เซียวยวี่เดินนำอยู่ข้างหน้า เซี่ยยวี่หลัวคิดจะรอให้เขาเดินไปไกลหน่อยค่อยตามไป ใครจะรู้ว่าเซียวยวี่กลับหยุด หันกลับมามองเซี่ยยวี่หลัวที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมเอ่ยถาม “ทำไมถึงไม่เดิน? ”
เซี่ยยวี่หลัว “…” ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงทันที จะให้บอกว่านางกำลังรอให้เขาเดินไปไกลแล้วค่อยเดินตามก็ไม่ได้กระมัง!
“อ่อ มาแล้ว มาแล้ว! ” เซี่ยยวี่หลัวรีบกล่าว
โชคดีที่ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่าง ทั้งสองคนอยู่ห่างกันสามถึงสี่ก้าว เซี่ยยวี่หลัวมั่นใจว่า ตัวเองหน้าแดง เซียวยวี่น่าจะไม่ทันเห็น
เซียวยวี่มองไม่เห็นจริงๆ
เขายืนอยู่ที่เดิม รอเซี่ยยวี่หลัวเดินมา ทำท่าทีราวกับหากนางไม่มาก็จะไม่เดินต่ออย่างไรอย่างนั้น
เซี่ยยวี่หลัวหมดหนทาง ได้แต่ฝืนเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เซียวยวี่ไม่เคลื่อนไหว รอจนเซี่ยยวี่หลัวเดินขึ้นหน้าอีกสองก้าว ห่างจากเขาเพียงครึ่งก้าว เซียวยวี่จึงหันตัว หันไปพลางกล่าว “ข้ากลัวว่าบนคันนาจะมีงู เจ้าตามติดหน่อย! ”
เมื่อได้ยินวาจานี้ เซี่ยยวี่หลัวก็รู้สึกขนหัวลุก
จริงด้วย ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน เป็นช่วงเวลาที่งูออกมาเพ่นพ่านมากที่สุด ขอเพียงมีหญ้า ก็ต้องมีงู นางลืมเรื่องงูไปได้อย่างไร
เซี่ยยวี่หลัวไม่กล้าเดินโดยทิ้งห่างอยู่ข้างหลังคนเดียวอีก นางตามหลังเซียวยวี่ไปติดๆ ด้วยเกรงว่าหากตัวเองช้าไปสักครึ่งก้าวก็อาจโดนงูเพ่งเล็งได้
เซียวยวี่ที่อยู่ข้างหน้าได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลังที่ตามมาติดๆ ริมฝีปากบางเม้มปากเล็กน้อย ดวงหน้าเผยรอยยิ้มเบาบาง
จู่ๆ ใบหน้าหล่อเหลาหนักแน่นก็ฉายประกายเจ้าเล่ห์
เซี่ยยวี่หลัวเดินตามหลังเซียวยวี่ไปติดๆ แทบจะทำหูผึ่งฟังความเคลื่อนไหวรอบข้าง นางตามเซียวยวี่ไปตามสัญชาตญาณ ไม่ทันเห็นเลยว่าเซียวยวี่ที่อยู่ตรงหน้าหยุดฝีเท้า เซี่ยยวี่หลัวไม่ทันสังเกต เดินขึ้นหน้าต่อ ก้าวไปเพียงก้าวเดียว ก็ชนเข้ากับแผ่นหลังของเซียวยวี่
“อือ…” เซี่ยยวี่หลัวคลำจมูกที่ถูกชนจนเจ็บพร้อมส่งเสียงโอดโอยทีหนึ่ง ไม่กล้ากล่าวโทษเซียวยวี่ที่หยุดเดินกะทันหัน
เซียวยวี่ไม่ขยับเขยื้อน เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกประหลาดใจ “เป็นอะไรไป? ”
เซียวยวี่กางแขนทั้งคู่ ราวกับจะขวางให้นางอยู่ข้างหลัง น้ำเสียงบ่งบอกถึงความอ่อนใจ “ด้านหน้าเหมือนจะมีอะไรบางอย่าง! ”
อะไรบางอย่าง?
คืออะไร?
เป็นกระต่ายหรือไก่ป่าเช่นนั้นหรือ?
เซี่ยยวี่หลัวชะโงกศีรษะออกไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ ชะเง้อคอดู เพียงแต่ท้องฟ้ายังสลัวอยู่ หญ้าก็ขึ้นอย่างหนาแน่น จึงมองไม่เห็นแม้แต่น้อย และไม่ได้ยินเสียงสักนิด
“คืออะไร? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เซียวยวี่หันกลับมา มองเซี่ยยวี่หลัวด้วยใบหน้าขมขื่น กล่าวอย่างเป็นนัย “เจ้าคิดว่าคืออะไรเล่า? ”
รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยยวี่หลัวพลันแข็งทื่อ
งู!
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกขนหัวลุก กระโดดขึ้นทันที โอบคอเซียวยวี่ไว้ พร้อมปีนขึ้นบนตัวเซียวยวี่
มุดหน้าตรงคอเซียวยวี่แน่น ร่างกายสั่นเทิ้มเบาๆ
เซียวยวี่ถือโอกาสโอบตัวคนที่ขี่หลังไว้ ตวัดริมฝีปากบางจนเป็นเส้นโค้งใหญ่ ถึงแม้จะหายไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่อาจปกปิดประกายยิ้มแย้มบนใบหน้าได้เลย
เพียงแต่ตอนสัมผัสได้ว่าคนที่อยู่บนหลังกลัวจนตัวสั่น เซียวยวี่ก็ไม่อาจทำใจแข็งได้อีก
เขาใจอ่อน น้ำเสียงก็อ่อนโยนดุจสายน้ำ “เจ้าอย่ากลัว ข้าจะแบกเจ้าไป”
เซี่ยยวี่หลัวยังคงมุดอยู่ตรงซอกคอของเซียวยวี่ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าไปตรงซอกคอเซียวยวี่ครั้งแล้วครั้งเล่า เซียวยวี่เพียงรู้สึกว่าผิวตรงนั้นแทบลุกไหม้ ร่างกายสั่นไหวทีหนึ่ง ตัวเขาแทบแข็งทื่อ
จากนั้น ห้วงภวังค์จึงขาวโพลง
เซียวยวี่แบกเซี่ยยวี่หลัว เดินไปด้านหน้าช้าๆ
หากเซี่ยยวี่หลัวที่อยู่บนหลังลืมตาในยามนี้ ต้องเห็นท่าทางการเดินของเซียวยวี่แน่
ร่างกายแข็งเกร็งราวกับท่อนไม้ เหยียดตัวตรงประหนึ่งด้ามพู่กัน
เดินไปถึงแปลงนาบ้านตัวเองอย่างยากลำบาก เซียวยวี่วางเซี่ยยวี่หลัวลง ในเสี้ยววินาทีที่เซี่ยยวี่หลัวออกห่างจากกายเขา ร่างกายของเซียวยวี่ที่แข็งเกร็งก็ผ่อนคลายลง
นี่เขาต้องรับผลจากการกระทำของตัวเองใช่หรือไม่?
ระหว่างทางที่มา ห้วงภวังค์ของเขาขาวโพลง จำได้เพียงลมอุ่นร้อนที่เป่าอยู่ตรงซอกคอตัวเอง ทั้งอุ่นร้อน รู้สึกอ่อนระทวย และมีอาการชา ทำให้ตัวเขาอ่อนระทวยไปทั้งตัว ความรู้สึกนั่น ราวกับเหยียบไปบนปุยฝ้ายอ่อนนุ่ม ทำให้เซียวยวี่ทั้งรู้สึกกลัว และรู้สึกเคลิบเคลิ้ม
ในเสี้ยววินาทีที่เซี่ยยวี่หลัวลงจากหลัง ไออุ่นร้อนนั่นหายไป เซียวยวี่กลับเกิดความรู้สึกหดหู่อย่างเปี่ยมล้น
เขาเป็นอะไรไป?
เซียวยวี่ทำทีเป็นหันมองไปทางเซี่ยยวี่หลัวอย่างไม่ตั้งใจ เซี่ยยวี่หลัวกำลังกัดริมฝีปากขณะมองดูต้นถั่วในแปลงนาอยู่!
ปกตินางดูแลดีเกินไป ต้นถั่วขึ้นอย่างหนาแน่น ทว่า เมื่อขึ้นอย่างหนาแน่นก็จะมีงู เมื่อครู่ก็มีงูแล้ว ครั้งก่อนยังจับโดนงูด้วย เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกตึงเครียดทันที
แค่คิดก็รู้สึกขนลุกแล้ว
ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่าง มองเห็นไม่ชัดเจน หากอีกเดี๋ยวเจองูเข้าอีก…
เซี่ยยวี่หลัวแค่คิดดูก็รู้สึกขนหัวลุก
นางกลัว!
เซียวยวี่ดูออกว่าเซี่ยยวี่หลัวกังวลอะไร เขาหยิบตะกร้าในมือเซี่ยยวี่หลัวมา ก่อนกล่าวเสียงเบา “เจ้ารอข้าตรงนี้ อย่าไปไหน”
กล่าวจบ จึงหิ้วตะกร้าเข้าไปในแปลงนา ก้มตัวเริ่มใช้เคียวตัดต้นถั่ว
เขาไม่เคยทำการเกษตร ตัดต้นถั่วด้วยท่าทางเงอะงะ ตัดอยู่นานเพิ่งตัดเสร็จหนึ่งกำ จากนั้นจึงตัดกำที่สอง
เขาหันหลังให้เซี่ยยวี่หลัว ตัดเสร็จหนึ่งกำ จึงหันกลับไปมองเซี่ยยวี่หลัวทีหนึ่ง
ส่วนเซี่ยยวี่หลัวก็ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย นางยืนอยู่บนคันนา กวาดสายตามองพงหญ้าที่อยู่บริเวณเท้าเป็นครั้งคราว ก่อนจะหันมองแผ่นหลังของเซียวยวี่เป็นครั้งคราว
แววตาของนางเต็มไปด้วยประกายสงสัย