ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 11 บทที่ 325 ตัวเองทะลุมิติมาผิดเรื่องหรือไม่
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 11 บทที่ 325 ตัวเองทะลุมิติมาผิดเรื่องหรือไม่
ระหว่างทางกลับไป เซี่ยยวี่หลัวเดินเคียงข้างเซียวยวี่
เซียวยวี่แอบหันมองคนข้างกายเป็นครั้งคราว แววตาอ่อนโยนดุจสายน้ำจ้องมองเซี่ยยวี่หลัว ทำให้นางรู้สึกวางตัวไม่ถูก
จวบจนสายตาของเซียวยวี่มองทอดไปที่ตัวนางเป็นครั้งที่สาม เซี่ยยวี่หลัวทนไม่ไหวอีกต่อไป “ทำไมเจ้าถึงเอาแต่มองข้า? ”
เซียวยวี่เม้มริมฝีปากแย้มรอยยิ้ม “อายวี่ของข้า เจ้าหมายถึงข้าหรือ? ”
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกหายใจติดขัด เงยหน้ามองเซียวยวี่
เซียวยวี่กำลังก้มหน้ามองนาง มุมปากแฝงเร้นประกายยิ้มแย้ม ดวงหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นแล้วรู้สึกราวกับได้อาบกายในสายลมฤดูใบไม้ผลิ
ท่านราชบัณฑิตน้อยที่ยังไม่เข้าสู่ด้านมืด ที่แท้ยิ้มแล้วดูอบอุ่นถึงเพียงนี้ ดูดีถึงเพียงนี้เชียว!
เหมือนว่าเซียวยวี่กำลังรอคอยคำตอบจากนางอยู่
อายวี่ของข้า?
เซี่ยยวี่หลัวเคยกล่าววาจาเช่นนี้ด้วยหรือ?
อาจเพราะเลือดลมเดือดพล่าน ไม่ทันระวังจึงพูดโพล่งออกไป แต่คนผู้นี้รู้อยู่แก่ใจยังจะถามอีก รู้ว่านางหนังหน้าบาง ยังจะกล่าวย้ำคำพูดนี้อย่างโจ่งแจ้งอีกหน เช่นนี้จงใจทำให้นางอายจนหน้าแดงไม่ใช่หรือ?
เซียวยวี่ไม่ละสายตา สายตามองทอดไปที่ตัวนาง อ่อนโยนจนเซี่ยยวี่หลัวเคลิบเคลิ้ม
“เจ้าคิดว่าอย่างไร? คิดว่าข้าหมายถึงใคร? ”
“อาหลัว ข้ารู้ว่าเจ้าหมายถึงข้า! ” คำว่าอาหลัวที่แสนอ่อนโยน เซี่ยยวี่หลัวได้ฟังก็ถึงกับผงะไป
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เซี่ยยวี่หลัวพบว่ายามเซียวยวี่เอ่ยเรียกนาง จะเรียกว่าอาหลัวเท่านั้น
อาหลัว อาหลัว…
เซี่ยยวี่หลัวสงสัยว่าตนเองทะลุมิติเข้ามาผิดเรื่องหรือไม่
เซียวยวี่รังเกียจนางถึงเพียงนั้น เอาเถอะ ต่อให้ตอนนี้ไม่รังเกียจนาง แต่ก็คงไม่ถูกตาต้องใจนางกระมัง?
แต่คำเรียกอาหลัวครั้งแล้วครั้งเล่า รวมถึงประกายความรักในเบื้องลึกแววตา เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง เซียวยวี่ผู้นี้ยังจะเป็นท่านราชบัณฑิตน้อยในอนาคตอยู่หรือไม่?
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นท่านราชบัณฑิตน้อยในอนาคตหรือไม่ เซียวยวี่ก็ยังคงยืนกรานจะไปทำงานในไร่นา
ยังดีที่พอจะฟังคำเกลี้ยกล่อมอยู่บ้าง ออกบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง อากาศร้อนแล้วจึงกลับบ้าน ช่วงบ่ายพักผ่อนครู่หนึ่ง รอให้แสงแดดไม่แรงมากแล้วค่อยไปในไร่นา ถึงคราวกินก็กิน เมื่อควรดื่มก็ดื่ม ควรพักผ่อนก็พักผ่อน
อากาศร้อนขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ตอนตื่นขึ้นในยามเช้า ก็ยังมีเหงื่อโชกเต็มตัว เวลานี้เหลืออีกเพียงสามถึงสี่วันก็จะประกาศผลสอบแล้ว จำนวนครั้งที่เซียวยวี่ไปทำงานในไร่นาก็บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังไปนานขึ้นเรื่อยๆ และเซี่ยยวี่หลัวก็พบว่า เซียวยวี่ดีทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ค่อยอ่านตำราแล้ว!
จู่ๆ เซี่ยยวี่หลัวก็คิดถึงเรื่องที่เซียวจื่อเซวียนกล่าวก่อนหน้านี้ เซียวยวี่คงจะไม่… คิดจะไม่ร่ำเรียนต่อ เปลี่ยนเป็นทำไร่ไถนาจริงๆ กระมัง?
ไปห้องของเซียวยวี่ ผ้านวมในห้องถูกพับไว้อย่างเป็นระเบียบ ในห้องหนังสือก็สะอาดสะอ้าน เห็นได้ชัดว่ามีลักษณะเหมือนไม่มีคนแตะต้องนานแล้ว
เซียวยวี่เองก็อยากอ่านตำรา แต่งานในไร่นาเหนื่อยเกินไป เหนื่อยจนเขาคิดอยากอ่านก็ไม่มีกำลังมากพอ
ยิ่งไปกว่านั้น เขาคิดจะปล่อยวางการเรียน มุ่งมั่นกับการทำเกษตร
ยามเช้าตรู่ เขาไปในแปลงนาอีกแล้ว เซี่ยยวี่หลัวรู้ว่าเขาต้องไปกลับหน้าดินอีกเป็นแน่ นางคิดอยากไปหาเขา แต่ก็กลัวงู เรื่องที่ครั้งก่อนถูกงูทำให้ตกใจจนล้มป่วยยังฝังใจ ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะไม่ไปในแปลงนาอีก
จวบจนช่วงเที่ยงเซียวยวี่ถึงได้กลับมา ท้องฟ้าข้างนอกร้อนจนแค่นั่งด้านนอกก็มีเหงื่อออกแล้ว วันนี้อุณหภูมิสูงเกินไปจริงๆ สูงจนบนกายเซี่ยยวี่หลัวก็เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเหงื่อ
เมื่อเห็นเซียวยวี่กลับมา เซี่ยยวี่หลัวรีบรับจอบจากเขา ก่อนเร่งเร้า “ดูเจ้าสิ เหงื่อออกเต็มตัวอีกแล้ว รีบไปอาบน้ำก่อน เสื้อกับผ้าเช็ดตัวล้วนอยู่ข้างใน อาบเสร็จแล้วออกมากินข้าว”
เซียวยวี่หัวเราะเบา “ได้”
เมื่อออกมาอย่างกระปรี้กระเปร่า อาหารก็ถูกยกไปวางบนโต๊ะแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวตัดสินใจว่า หลังจากกินข้าวเสร็จจะคุยกับเซียวยวี่ดีๆ
การเรียนเป็นเรื่องใหญ่ นางไม่ให้เซียวยวี่ละทิ้งแน่!
ในจังหวะนี้เอง จู่ๆ ประตูใหญ่ก็ถูกคนทุบดังสนั่นหวั่นไหว “ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง” ท่าทีราวกับหากไม่เปิดประตูก็จะไม่หยุดมืออย่างไรอย่างนั้น
เซียวจื่อเซวียนว่องไว วิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง “ไม่ต้องเคาะแล้ว มาแล้ว มาแล้ว”
แต่คนเคาะประตูกลับไม่ฟัง ยังคงทุบประตูไม่หยุด
คนปกติทั่วไปมาหาที่บ้านจะเคาะประตูดังขนาดนี้ได้อย่างไร ดูท่า คนที่มาคราวนี้หากไม่ใช่เพราะมีเรื่องเร่งด่วนก็มาเพื่อหาเรื่อง
หลัวไห่ฮวาปรากฏตัวตรงหน้าประตู มือเท้าเอวพร้อมกล่าวด้วยท่าทางดุดัน “เซี่ยยวี่หลัว เซี่ยยวี่หลัวอยู่ไหน? ”
เซี่ยยวี่หลัวมองเซียวยวี่แวบหนึ่ง ก่อนสาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไป
เมื่อเห็นเซี่ยยวี่หลัวออกมา หลัวไห่ฮวาพิงอยู่ตรงวงกบประตู ยิ้มอย่างเย็นเยียบพร้อมกล่าว “เซี่ยยวี่หลัวมาแล้วหรือ? เจ้ามานี่ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า! ”
เซี่ยยวี่หลัวไม่เกรงกลัวคนที่ขายังบาดเจ็บไม่หายดี กำลังจะเดินขึ้นหน้า เซียวยวี่ที่อยู่ข้างๆ ดึงนางไว้ แสดงสีหน้ากังวลใจ
“ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวข้ากลับมา นางทำอะไรข้าไม่ได้หรอก! ” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพลางบอกให้เซียวยวี่สบายใจ
เซียวยวี่ได้แต่ปล่อยมือ
หลัวไห่ฮวาเห็นเซี่ยยวี่หลัวมาแล้ว ใบหน้าที่เมื่อครู่แสดงสีหน้าดุดันพลันแย้มรอยยิ้มเหมือนคนถ่อยที่ลำพองใจ
เซี่ยยวี่หลัวขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่านางมีเจตนาเช่นไร พอเดินเข้าไปใกล้ จู่ๆ หลัวไห่ฮวาก็ตบไหล่เซี่ยยวี่หลัวทีหนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนไป พร้อมกล่าว “ยวี่หลัว ข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก ครั้งก่อนหากไม่ได้เจ้า เสี่ยวฮวาบ้านข้าคงถูกคนลักพาตัวไปแล้ว”
กล่าวจบ ก็โอบกอดเซี่ยยวี่หลัวอย่างแนบแน่น ยื่นมือไปตบหลังเซี่ยยวี่หลัวหลายครั้ง
เรื่องนี้กลับทำให้เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกมึนงง
หลัวซื่อคิดจะทำอะไร?
หลังจากโอบกอดเสร็จ หลัวซื่อก็ใช้ไม้เท้าค้ำยัน หัวเราะร่าพร้อมเดินจากไป
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
หลัวไห่ฮวาเดินขากะเผลก ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังหัวเราะร่าพลันเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ เซี่ยยวี่หลัว ข้าไม่เชื่อว่าคราวนี้จะทำลายเจ้าไม่ได้
เซียวจื่อเซวียนไม่เข้าใจ หลัวไห่ฮวามาเพื่อตบไหล่พี่สะใภ้ใหญ่ และโอบกอดพี่สะใภ้ใหญ่เช่นนั้นหรือ?
เซี่ยยวี่หลัวก็รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก
นางตบเสื้อตรงไหล่ที่เมื่อครู่หลัวไห่ฮวาออกแรงตบไป ตำแหน่งที่โดนหลัวไห่ฮวาสัมผัสเปียกชุ่ม หลังจากชักมือกลับมาดมดู ปลายนิ้วเหมือนจะมีกลิ่นแปลกประหลาดติดอยู่
ยามนี้แดดแรงจนร้อนระอุ ดวงตะวันอยู่เหนือศีรษะ เป็นช่วงที่อากาศร้อนเป็นอย่างยิ่ง หากวางหญ้าแห้งกองหนึ่งไว้ข้างนอก ไม่แน่ว่าอาจลุกไหม้ได้
เพิ่งกินข้าวเสร็จ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจากด้านนอกอีกครั้ง “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านรีบมา รีบมาขอรับ”
เสียงของเซียวซาน?
เซี่ยยวี่หลัวได้แต่สวมใส่เสื้อที่เพิ่งถอดออกเมื่อครู่ เซียวจื่อเซวียนวิ่งออกไปด้านนอกก่อน เห็นเซียวซานที่หายใจเหนื่อยหอบ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เป็นอะไรไป เซียวซาน? ”
เวลานี้วิ่งออกมาข้างนอก ร้อนจนเหงื่อชุ่มราวกับเพิ่งอาบน้ำในลำธารมาอย่างไรอย่างนั้น
เซียวซานวิ่งจนหายใจแทบไม่ทัน “เจ้ารีบ รีบแต่งตัวก่อน ซินแสสวี่มาแล้ว บอกว่าหมู่บ้านของเรามีปีศาจ จะมาช่วยหมู่บ้านของเราจับปีศาจ! หัวหน้าหมู่บ้านก็กลับมาแล้ว ให้พวกเจ้าไปด้วยกัน! ”
คนทั้งหมู่บ้านไปยังศาลบรรพชนแล้ว