ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 15 บทที่ 466 พี่สะใภ้ใหญ่มีความสามารถถึงเพียงนี้ ใครจะสอนนางได้
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- เล่มที่ 15 บทที่ 466 พี่สะใภ้ใหญ่มีความสามารถถึงเพียงนี้ ใครจะสอนนางได้
บทที่ 466 พี่สะใภ้ใหญ่มีความสามารถถึงเพียงนี้ ใครจะสอนนางได้
เซียวจื่อเซวียนเหมือนจะสังเกตเห็นท่าทีประหลาดใจของเก๋อเหลียงหยวนได้ จึงหัวเราะพลางสะกิดเขาทีหนึ่ง “ประหลาดใจหรือ? ไม่ต้องประหลาดใจแล้ว ต่อไปเจ้าเห็นบ่อยก็จะคุ้นชินเอง! ”
พวกเขาเห็นบ่อยจนคุ้นชินแล้ว
อย่าว่าแต่ทำอาหารเลย แม้แต่ซักเสื้อผ้ากวาดพื้น พี่ใหญ่ก็ทำ
เมื่อก่อนพี่ใหญ่ซักเสื้อผ้าให้พวกเขา ทว่าตอนนี้… ซักเพียงเสื้อผ้าของพี่สะใภ้ใหญ่คนเดียว ทั้งยังไม่ให้พี่สะใภ้ใหญ่ซักเสื้อผ้าให้พวกเขาอีก บอกว่าเสื้อผ้าของตัวเองต้องซักเอง จะให้ผู้อื่นทำแทนไม่ได้
ตอนเที่ยงยังคงเป็นเนื้อหมู นั่นเป็นเนื้อหมูที่เก๋อเหลียงหยวนซื้อมา ยังสดใหม่อยู่ เซี่ยยวี่หลัวหั่นมาหนึ่งจินทำน้ำแกงหมูสับทั้งหมด ที่เหลืออีกหนึ่งจิน แบ่งมาประมาณกึ่งหนึ่งทำเนื้อหมูผัดพริก เหลืออีกครึ่งจิน เซี่ยยวี่หลัวคิดจะทำอย่างอื่น จึงเก็บไว้ในตู้
เซี่ยยวี่หลัวนำหมูที่สับจนละเอียดมาปั้นเป็นลูกชิ้นกลมๆ บัดนี้ในชามของทุกคนมีลูกชิ้นห้าถึงหกลูกที่มีขนาดใหญ่เท่ากัน พร้อมกับน้ำแกงชามใหญ่ น้ำแกงหมูสับถูกแบ่งให้ทุกคนจนหมด
เก๋อเหลียงหยวนนั่งลง ก็เห็นว่าในชามของตัวเองมีเนื้อหมูและน้ำแกงเต็มชาม จึงกล่าว “อาจารย์หญิง มากเกินไปขอรับ! ”
เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถาม “มากเกินไป? กินไม่หมดหรือ? ”
เก๋อเหลียงหยวนพยักหน้า “ขอรับ กินไม่หมด”
“จื่อเมิ่ง เจ้ากินหมดหรือไม่? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถามเซียวจื่อเมิ่งที่อยู่ข้างๆ
เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส “น้ำแกงหมูสับที่พี่สะใภ้ใหญ่ทำอร่อยมากเจ้าค่ะ เนื้อนุ่มน้ำแกงหอมอร่อย ชามของข้ามีมากเท่ากับท่าน ข้ายังสามารถกินจนหมดได้เลย! ”
เซี่ยยวี่หลัว “จื่อเมิ่งยังกินหมด เจ้าจะกินไม่หมดได้อย่างไร รีบกินเถิด ทุกคนได้เท่ากัน ไม่มีใครช่วยเจ้าหรอกนะ! ”
เซียวยวี่ก็ออกคำสั่งเช่นกัน “นี่เป็นอาหารที่อาจารย์หญิงของเจ้าตักให้ หากเจ้ากินเหลือก็คงไม่ดีกระมัง? ”
เก๋อเหลียงหยวนรีบพยักหน้า “ขอรับท่านอาจารย์ ข้าไม่กินเหลือแน่นอน”
เขากินไม่หมดที่ไหนกัน เพียงแต่เขารู้สึกว่ามากเกินไป เมื่อวานท่านพ่อบอกเขาว่า ต่อไปจะรบกวนอาจารย์และอาจารย์หญิงไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมารบกวนอีกแล้ว มากินก็มากินเถอะ แต่ละมื้อยังมีเนื้อหมูเยอะถึงเพียงนี้ เก๋อเหลียงหยวนโตจนป่านนี้ นับเวลารวมกว่าครึ่งค่อนปียังไม่ได้กินเนื้อหมูปริมาณมากถึงเพียงนี้มาก่อน!
ดื่มน้ำแกงหนึ่งคำ ช่างหอมอร่อยเสียจริง ส่วนเนื้อหมูก็ทั้งนุ่มทั้งหอม อร่อยจนแทบอยากกัดกินลิ้นลงไปด้วย
ดื่มน้ำแกงและกินเนื้อหมูเสร็จ เซี่ยยวี่หลัวเห็นเก๋อเหลียงหยวนตักน้ำแกงสองช้อนจากหมูผัดพริกไปคลุกกับข้าว จึงเอ่ยถาม “บิดาของเจ้าก็ชอบกินอาหารรสเผ็ดหรือ? ”
“ชอบขอรับ! บางครั้งพริกในไร่สุกแล้ว ท่านพ่อจะนำมาผัดหนึ่งจาน พวกเราสองคนสามารถกินข้าวได้สองชามใหญ่เลยขอรับ” ไม่ใช่ข้าวขาว แต่เป็นข้าวซ้อมมือ
ทว่า สามารถกินอิ่มก็พอแล้ว เก๋อเหลียงหยวนไม่เลือกกิน
เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้กล่าวอะไร ตักหมูผัดพริกให้เก๋อเหลียงหยวนหนึ่งช้อน “ต่อไปมาเรียนหนังสือ ทุกวันตอนเที่ยงก็มากินข้าวที่บ้าน”
เก๋อเหลียงหยวนผงะไป “อาจารย์หญิง? ”
สายตาของเขามองทอดไปที่อาจารย์ อาจารย์กล่าวอย่างเรียบสงบ “เชื่อฟังอาจารย์หญิงของเจ้า! ”
“ข้าไม่อาจรบกวน…”
“ท่านพ่อของเจ้าตอบตกลงแล้ว! ” เซี่ยยวี่หลัวตักผักอีกหนึ่งช้อนไปใส่ในชามของเก๋อเหลียงหยวน ก่อนก้มหน้ากินข้าว “ตกลงตามนี้”
เก๋อเหลียงหยวนก้มหน้า เม้มริมฝีปาก หยาดน้ำตาแทบไหลรินออกจากขอบดวงตา เขารีบยกชามขึ้น แสร้งทำเป็นกำลังกินข้าว ไม่ให้ผู้อื่นเห็นน้ำตาของเขา
หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ เก๋อเหลียงหยวนรอจนทุกคนกินเสร็จหมดแล้ว จึงรีบยกจานชามที่ใช้แล้วไปยังห้องครัว เซี่ยยวี่หลัวและเซียวจื่อเซวียนจะช่วย เก๋อเหลียงหยวนไม่ยอม เพียงบอกว่าเขามักจะทำงานเหล่านี้ที่บ้านเป็นประจำ เขาทำคนเดียวก็พอแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวรู้ว่าเด็กคนนี้มีจิตใจดี จึงไม่ได้ดึงดัน เพียงกลับห้องไป ก่อนไปกล่าวอะไรบางอย่างกับเซียวจื่อเซวียน เซียวจื่อเซวียนพยักหน้าพลางบอกว่าเข้าใจแล้ว เขาไม่ได้ไป อยู่ในห้องครัวต่อ เมื่อเห็นว่ามีอะไรที่สามารถช่วยได้ ก็คอยช่วยทำ หรือไม่ก็เดินไปเดินมา
เก๋อเหลียงหยวนคล่องแคล่วว่องไว ทำงานอย่างตั้งใจและขะมักเขม้น เช็ดชามตะเกียบและโต๊ะกับเตาปรุงอาหารจนสะอาดหมดจด ไม่มีฝุ่นผงแม้แต่น้อย ไม่มีคราบน้ำมันแม้แต่หยดเดียว
เมื่อเห็นเก๋อเหลียงหยวนล้างมือจนสะอาดแล้ว เซียวจื่อเซวียนจึงพาเขาไปในห้องตัวเองทันที “เหลียงหยวน ต่อไปเจ้าก็นอนกับข้า”
เก๋อเหลียงหยวนมองดูเสื้อผ้าบนกายตัวเองที่เต็มไปด้วยรอยปะ รวมถึงรองเท้าที่มีนิ้วเท้าโผล่ออกมา “ไม่ต้อง ข้านั่งครู่หนึ่งก็พอแล้ว”
“เจ้าไม่เหนื่อยหรือ? เรียนมาตลอดช่วงเช้า ตอนบ่ายยังต้องเรียนอีก! ” เซียวจื่อเซวียนนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง เขารู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ
เก๋อเหลียงหยวนส่ายหน้า หาที่นั่งก่อนนั่งลง “ข้าไม่เหนื่อย ข้านั่งครู่หนึ่งก็พอแล้ว”
เซียวจื่อเซวียนลุกขึ้นนั่ง มองเก๋อเหลียงหยวน “พวกเราเป็นเพื่อนกัน เจ้ารังเกียจที่ข้าเคยนอนเตียงนี้เช่นนั้นหรือ? ”
เก๋อเหลียงหยวนรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าจะรังเกียจได้อย่างไร!”
เครื่องนอนของเซียวจื่อเซวียนสะอาดและเป็นระเบียบ อีกทั้งยามนี้ยังพับไว้อย่างเรียบร้อย บนนั้นไม่มีรอยยับแม้แต่น้อย ภายในห้องยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ สถานที่ที่ดีถึงเพียงนี้ เขาจะรังเกียจได้อย่างไร?
เพียงแต่ตัวเขาเอง…
เขากลัวว่าตัวเองจะทำให้สิ่งเหล่านี้สกปรก
เซียวจื่อเซวียนพาเขาขึ้นไปบนเตียง “นอนเถอะนอนเถอะ ข้าง่วงแล้วจริงๆ ”
เก๋อเหลียงหยวนถูกดึงขึ้นไปบนเตียง นอนตัวตรงด้วยความเกร็ง นอนโดยใช้พื้นที่แคบๆ แต่เซียวจื่อเซวียนนอนอยู่ข้างๆ เขาอยากลงไปก็ไม่กล้า ได้แต่หลับตา นอนเหยียดตัวตรงราวกับนอนหลับไปแล้ว
เวลานี้เอง เซียวจื่อเซวียนลืมตาขึ้น เมื่อเห็นเก๋อเหลียงหยวนนอนลงแล้ว จึงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะนอนลงไปเช่นกัน
ก่อนหน้านี้พี่สะใภ้ใหญ่บอกกับเขา ว่าเก๋อเหลียงหยวนเป็นคนจิตใจดีที่ขี้อาย ให้เขาช่วยสอนด้วย
ช่วงแรกเก๋อเหลียงหยวนยังเกร็งอยู่บ้าง แต่ในภายหลัง ความง่วงประดังเข้ามา เขาเองก็งีบหลับไปครู่หนึ่ง
เขาหลับไม่ลึก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากห้องข้างๆ คาดว่าจะถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว จึงรีบเขย่าตัวเซียวจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ ให้ตื่น
ทั้งสองคนแต่งตัวเสร็จ เพิ่งออกจากประตู ก็เห็นเซียวยวี่เดินมาเช่นกัน เวลานี้เอง เซียวจื่อเมิ่งก็หาวขณะเดินออกมา สีหน้าอัดอั้นใจยิ่งนัก
การเรียนหนังสือช่างยากลำบากเหลือเกิน นางไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว
เหตุใดคนในบ้าน คนที่เป็นอาจารย์ต้องสอนหนังสือ คนที่เป็นนักเรียนต้องเข้าเรียน แต่เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ถึงไม่ต้องเรียนหนังสือเล่า?
“พี่ใหญ่ เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ถึงไม่เรียนหนังสือเจ้าคะ? เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ถึงนอนสบายต่อได้! ” เซียวจื่อเมิ่งกำลังคิด ว่าหากพี่สะใภ้ใหญ่ไปเรียนด้วยคงดีไม่น้อย จะได้นั่งอยู่ข้างนาง
เซียวยวี่ถึงกับผงะไป
จริงด้วย เหตุใดอาหลัวถึงไม่ไปเรียนหนังสือเล่า?
“พี่สะใภ้ใหญ่มีความสามารถถึงเพียงนั้น ใครจะสอนนางได้! ” เซียวจื่อเซวียนก็เพิ่งตื่นนอน กล่าวไปพลางหาวไปพลาง
ตอนแววตาของเซียวยวี่ที่ฉายประกายสงสัยมองไป เซียวจื่อเซวียนก็ตื่นแล้ว!
แม่เจ้า เขาพูดผิดไป
ถึงแม้เซียวยวี่จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าเซี่ยยวี่หลัวเคยร่ำเรียนมาหลายปี ลายมือก็เขียนได้ดีเหมือนกับเขา จึงไม่ได้ถามอะไรต่อ
ส่วนเซียวจื่อเซวียนกลับรู้สึกเหมือนรอดพ้นอย่างฉิวเฉียด แอบตบอกเบาๆ
แม่เจ้า เขาตกใจแทบตาย