ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - เล่มที่ 5 บทที่ 132 มีเสียงดังจากข้างนอก
เป็นเสียงของเซียวจื่อเซวียน
เซี่ยยวี่หลัวหยิบเสื้อที่ตัวเองแขวนไว้ข้างๆ ลงมาตามสัญชาตญาณ สวมใส่เรียบร้อย จากนั้นจึงอุ้มเซียวจื่อเมิ่งออกมา เช็ดน้ำจนแห้งแล้ววางไว้บนเตียง
จากนั้นออกมาข้างนอก จึงเห็นเซียวจื่อเซวียนถือกระบองท่อนหนึ่งไว้ในมือ มองออกไปนอกประตูด้วยสีหน้าถมึงทึง
“เป็นอะไรไป จื่อเซวียน? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถาม
เซียวจื่อเซวียนชี้ออกไปข้างนอก พร้อมกล่าวด้วยความวิตก “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าได้ยินเสียงจากข้างนอกขอรับ”
มีเสียง?
ค่ำมืดเช่นนี้ จะมีเสียงอะไรได้?
เซี่ยยวี่หลัวเดินไปเปิดประตูใหญ่ ด้านนอกมืดสนิท นอกจากดวงดาราบนท้องฟ้า ก็มองไม่เห็นอะไรอีก
“อาจเป็นชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาหรือไม่? ” เซี่ยยวี่หลัวเอ่ยถาม
ทว่า บ้านของพวกเขาอยู่ริมสุดทางฝั่งทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ห่างจากตัวหมู่บ้านมาก ยิ่งไปกว่านั้น ทางนี้ก็ไม่มีที่นา จะมีคนเดินผ่านทางนี้ไปได้อย่างไร?
เซียวจื่อเซวียนส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ขอรับ”
ขณะนั้นเขาได้ยินเสียงพูดคุยดังอยู่ใกล้มาก ราวกับอยู่ด้านหลังประตูอย่างไรอย่างนั้น
หากเป็นชาวบ้านที่เดินผ่านไปมา จะพูดคุยกันอยู่ตรงหลังประตูบ้านพวกเขาได้อย่างไร?
เซี่ยยวี่หลัวกวาดสายตามองดูรอบข้างโดยละเอียด คิ้วงามขมวดเป็นปมเล็กน้อย ก่อนยิ้มพร้อมกล่าว “บางทีอาจเป็นชาวบ้านที่ผ่านไปมา พวกเราลงกลอนประตู ไม่เป็นอะไรหรอก”
เซียวจื่อเซวียนขานตอบทีหนึ่ง หลังจากปิดประตู ก็ใช้กระบองไม้ท่อนหนึ่งค้ำไว้หลังประตู ลองผลักจากด้านนอกเห็นว่าเปิดไม่ได้ จึงเข้าไปในบ้าน
บ้านเซียวยวี่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่มุมหนึ่งของหมู่บ้าน บ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ห่างระดับหนึ่ง บ้านเขาตั้งอยู่เพียงหลังเดียว หน้าบ้านมีดงต้นไม้ขึ้นอย่างหนาแน่น คนสามารถเร้นกายได้เป็นอย่างดี
ธารดาราบนท้องนภาเปล่งประกายแสงสว่างพร่างพราย ดวงจันทราโค้งมน ไม่มีแสงสว่างอื่น ย่อมไม่มีแสงสาดส่องไปภายในดงต้นไม้ที่ขึ้นอย่างหนาแน่นหน้าบ้านเซียวยวี่
เซียวเฉิงซานย่อตัวอยู่ในดงต้นไม้ อาศัยท้องฟ้าที่มืดมิดและดงต้นไม้ที่หนาทึบ ถูกพบตัวได้ยากมาก ข้างกายเขายังมีอีกคนหนึ่งย่อตัวอยู่ด้วย เขากำลังเพ่งมองไปยังบ้านของเซี่ยยวี่หลัวด้วยแววตาบ้าตัณหา
ถ้าไม่ใช่หลัวไห่ตี้จะยังเป็นใครได้อีก
เซียวเฉิงซานกล่าว “ด้านในดับไฟแล้ว พวกเราไปกัน! ”
หลัวไห่ตี้คลำทางไปในความมืดพร้อมกล่าว “ไปกัน”
ท่ามกลางเงาราตรี เงาร่างสองร่างแอบย่องไปทางบ้านของเซียวยวี่
กำแพงสูงมาก แต่เซียวเฉิงซานและหลัวไห่ตี้มีการเตรียมการมาก่อนแล้ว ทั้งสองคนนำบันไดมาหนึ่งอัน วางพาดไว้บนกำแพง หลัวไห่ตี้ขึ้นไปก่อน เซียวเฉิงซานตามหลัง เมื่อทั้งสองคนขึ้นไปบนกำแพงแล้ว จึงยกบันไดด้านนอกมาพาดด้านใน ทั้งสองคนปีนลงจากบันไดอย่างเงียบเชียบ
ยามค่ำคืนนั้นเงียบสงบมาก มีเพียงสายลมที่โบกพัดใบไม้จนเกิดเสียงดังซ่าซ่า
หลัวไห่ตี้มายังห้องตรงกลางก่อน เจาะกระดาษหน้าต่างจนขาด ก่อนเป่าควันยาสลบเข้าไปด้านในเล็กน้อย เซียวเฉิงซานมายังห้องข้างๆ เป่าควันยาสลบเข้าไปเช่นกัน
ด้านในไม่มีเสียงแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนรออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเปิดประตูอย่างอดรนทนไม่ไหว
ยามค่ำคืนมืดสนิท มองไม่เห็นอะไร หลัวไห่ตี้เดินไปพลางกล่าวพร้อมหัวเราะอย่างไร้ยางอาย “คนงาม พี่ชายมาแล้ว วันนี้พี่ชายจะเอ็นดูเจ้าดีๆ…”
เซียวเฉิงซานก็ตามอยู่ด้านหลัง ตื่นเต้นแทบตาย แม่เซี่ยยวี่หลัวนั่น วันนี้เขาจะได้ลิ้มลองรสชาติแล้ว
ภายในบ้านมืดมาก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงคุ้นชินกับความมืดด้านใน หลั่วไห่ตี้เดินอยู่ด้านหน้า เมื่อเห็นร่างกายที่มีผ้านวมปิดไว้อยู่บนเตียง หลัวไห่ตี้พุ่งพรวดขึ้นหน้าอย่างฉับพลัน “น้องสาว พี่ชายคิดถึงเจ้านัก! มา วันนี้พี่ชายจะให้เจ้าสุขสำราญระเริงใจแน่”
เมื่อเปิดผ้านวมดู ในนั้นมีคนที่ไหน มีเพียงหมอนใบหนึ่งที่ถูกผ้านวมห่มไว้ กลางคืนเห็นไม่ชัด มืดมัวเลือนราง จึงนึกว่ามีคนนอนอยู่ใต้ผ้านวม
เซียวเฉิงซานตกใจเป็นอย่างมาก “คนเล่า? ”
เพลิงปรารถนาของหลัวไห่ตี้ที่เพิ่งลุกโชนถูกขัดจนได้แต่เกาศีรษะ เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร! ”
“หรือจะอยู่ห้องข้างๆ ? ” เซียวเฉิงซานเอ่ยถาม
ทั้งสองคนมาถึงที่แล้ว เตรียมการมานานถึงเพียงนี้ จะยอมล้มเลิกกลางคันได้อย่างไร ทั้งคู่ต่างไม่กลัวว่าคนในบ้านจะตื่นขึ้นมา อย่างไรเสียพวกเขาก็เป่าควันยาสลบเข้าไปมากขนาดนั้น ปริมาณควันยาสลบนั่น แม้แต่หมูตัวหนึ่งยังหมดสติได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กๆ ไม่กี่คนเลย
ทั้งสองคนออกจากประตู เพิ่งก้าวเข้าไปอีกห้องหนึ่ง ทั้งคู่ไม่ได้ระแวดระวังเหมือนเมื่อครู่ เพิ่งผลักเปิดประตู ก็มีเสียงดัง “ซ่า” น้ำอ่างใหญ่ถูกเทลงมาจากตำแหน่งเหนือวงกบประตู ทั้งสองคนเปียกชุ่มไปทั้งตัว คล้ายกับลูกไก่ตกน้ำก็มิปาน
หลัวไห่ตี้กระโดดตัวขึ้น “ใครทำข้า… โอ๊ย…”
เซี่ยยวี่หลัวเลือกจังหวะอย่างแม่นยำ ใช้กระสอบในมือครอบศีรษะหลัวไห่ตี้ไว้ ทางเซียวเฉิงซานก็โดนครอบเช่นกัน จากนั้นเซี่ยยวี่หลัวก็ใช้กระบองในมือตี “ตุ้บตุ้บตุ้บ” ใส่ตัวอันธพาลทั้งสองคนไม่ยั้ง
นางรู้วิชาป้องกันตัว แรงจึงไม่น้อย กระบองที่หนาเท่าท่อนแขนตีใส่ร่างกายทั้งสองคนอย่างหนักหน่วง ตีจนทั้งสองคนร้องโอดโอย
เซียวจื่อเซวียนก็เหวี่ยงกระบอง ตีใส่ร่างกายทั้งสองคนอย่างแรง
“ตีพวกเจ้าให้ตาย ตีพวกเจ้าให้ตาย! ”
หลัวไห่ตี้เจ็บจนร้องโวยวายเสียงดัง พลาดท่าจนโดนอีกฝ่ายจับตัวได้และโดนตีหลายที ไม่ง่ายเลยกว่าจะดิ้นจนหลุด เปิดกระสอบได้ก็รีบหันขวับวิ่งหนีไปทันที
เซียวเฉิงซานไม่กล้าส่งเสียง ด้วยกลัวว่าตัวเองส่งเสียงแล้วเซียวจื่อเซวียนจะฟังออก สะบัดกระสอบออกก็วิ่งหนีไปตามหลัวไห่ตี้เช่นกัน
บันไดยาวยังพาดอยู่ตรงกำแพง สองคนที่นำมันมาด้วยเอาตัวเองยังไม่รอด ได้แต่รีบวิ่งหนีไปก่อน
มองดูบันไดนั่น เมื่อสายลมยามราตรีพัดผ่าน เซี่ยยวี่หลัวก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ