ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน - ตอนที่ 138 แล้วแต่เจ้า
ตอนที่ 138 แล้วแต่เจ้า
เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการหมักบ๊วย หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว หยุนเชวี่ยแอบหยิบอาหารบางส่วนและออกจากบ้านไปทันที
“เจ้ากำลังจะไปไหนกัน? แดดร้อนเช่นนี้จะออกไปเที่ยวเล่นที่ใดอีก?” หยุนเยี่ยนถาม
“ข้า… จะไปที่บ้านของเหอยาโถว”
“ถ้าอย่างนั้น พี่สาวคนนี้จะไปกับเจ้าด้วย ช่วยกันหลายคนจะได้เสร็จงาน” หยุนเยี่ยนรู้สึกสงสารนาง
หยุนเชวี่ยโบกมือปฏิเสธ “ไม่… ไม่ต้องหรอก คราวก่อนพวกข้าสี่คนซื้อผ้าแพรกลับมาด้วย ข้าจะปล่อยให้ท่านเย็บรองเท้าอยู่ที่บ้านไปแล้วกัน! เย็บมันให้ดีล่ะ!”
ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง หยุนเชวี่ยก็วิ่งหนีไปไกลราวกับกระต่าย
หยุนเยี่ยนนิ่งค้างไป
“ดูเจ้าเด็กคนนี้สิ ช่างร่าเริงสดใสราวกับเด็กชายไม่มีผิด” แม่นางเหลียนส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเอ็นดู
“ลูก ๆ ของเราขยันกันเสียจริง” หยุนลี่เต๋อจิบชาและหิ้วเครื่องมือที่เขายืมมาจากช่างไม้กลับเข้าไปในบ้าน
“แล้วท่านจะไม่พักผ่อนเสียหน่อยหรือ?” แม่นางเหลียนถามเขา
“มิใช่ตอนนี้ รีบทํางานให้เสร็จดีกว่า ข้าจะได้รู้สึกสบายใจ”
หยุนลี่เต๋อเป็นคนอารมณ์ดี แต่เมื่อเห็นงานที่ยังคั่งค้างอยู่มักจะทำให้เขารู้สึกร้อนอกร้อนใจอยู่เสมอ
“เยี่ยนเอ๋อ” แม่นางเหลียนเรียกพร้อมรอยยิ้ม “พวกเรากลับห้องไปปักรองเท้าคู่ใหม่กันเถอะ”
ณ ภูเขาด้านหลังหมู่บ้าน
สืออีนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของเถาวัลย์ที่ปากถ้ำกำลังคาบหญ้ารอหยุนเชวี่ยอย่างสบายอารมณ์
แสงแดดยามบ่ายสาดส่องผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ตกกระทบบนใบหน้าและไหล่ของสืออี เผยให้เห็นเด็กหนุ่มที่มีคิ้วชี้โด่ง จมูกเป็นสัน ดวงตาทั้งสองของเขาเรียวเล็ก โครงหน้าอันลึกล้ำถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทอง
พลางฟังเสียงจักจั่นเคล้ากับเสียงนกร้องไปทั่วภูเขา รับกับสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านไป
ทันใดนั้น หูของสืออีขยับขึ้นลงเล็กน้อยราวกับได้ยินเสียงบางอย่าง ริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่งดงาม
เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยเหยียบย่ำกิ่งไม้และใบหญ้าส่งเสียงดังกรอบแกรบมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล
นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่เขาเฝ้ารอมาตลอดทั้งวัน
เมื่อสืออีลืมตาขึ้น ร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งได้ปรากฏต่อหน้า จากนั้นจักจั่นก็พากันส่งเสียงร้อง ต้นไม้ใบหญ้าและสายลมพลันสดใสขึ้นทันตา
“หยุนเชวี่ย!” เขาทักทายนางอย่างร่าเริงราวกับเป็นลูกสุนัขที่รอคอยเจ้านาย
“…” หยุนเชวี่ยหยุดฝีเท้าก่อนจะจับจ้องสืออี “เจ้า…”
สืออีเดินเข้าไปหาหยุนเชวี่ยสองก้าว จากนั้นจึงเอามือไพล่หลังและยืดตัวตรง เขายิ้มแย้ม ส่งสายตาจับจ้องไปที่มวยผมแสนน่ารักสองข้างของหยุนเชวี่ย
มันสั้นมาก! สืออีคิดว่ามวยผมของหยุนเชวี่ยช่างเล็กจิ๋วน่าเอ็นดูและใช้นิ้วจิ้มไปที่มวยผมนั้นอยู่หลายที
“ทำอะไรของเจ้า?” หยุนเชวี่ยถอยหลังไปและเงยหน้าถลึงตาใส่
สืออียังไม่ถอนมือออกไป เขาเลิกคิ้วหลิ่วตาพลางส่งรอยยิ้มยั่วยวน หางตายกขึ้นจนแทบจะลอยออกจากหน้า
หยุนเชวี่ยดึงแขนเสื้อของสืออีพร้อมกับกวาดสายตาไปทั่วและถามขึ้นว่า “เจ้าเพิ่งลงจากเขามาหรือ?”
สืออีพยักหน้า
เสื้อผ้าทั้งหมดเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจากบาดแผล สืออีไม่ได้เปลี่ยนมันมาสิบกว่าวันแล้วทำให้ดูสกปรกมอมแมมไปหมด
ไม่ใช่ว่าหยุนเชวี่ยไม่สนใจ แต่เพราะสืออีไม่ดูแลตนเองเช่นนี้ จะหาเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านมาใส่ได้อย่างไร?
อย่างน้อยบาดแผลของสืออีก็สมานตัวแล้ว คงพอจะดูแลทำความสะอาดได้ ไม่เพียงแต่เสื้อผ้าที่ต้องซักเท่านั้น เส้นผมดำขลับดุจน้ำหมึกยังถูกมัดไว้ด้วยผ้าแพรอย่างลวก ๆ จนยุ่งเหยิงไปหมด
“แผลของเจ้ายังไม่หายดี อย่าหวังจะได้ลงเล่นน้ำเลย” หยุนเชวี่ยถลึงตาใส่เขาอย่างขุ่นเคือง “สภาพของเจ้าน่ากังวลยิ่งกว่าสุนัขในงานฉลองปีใหม่เสียอีก!”
หยุนเชวี่ยเดินเข้าไปผลักไหล่ของสืออีอย่างโมโห “เข้าไปและถอดเสื้อออก ให้ข้าดูแผลของเจ้าหน่อย”
สืออีมองนางด้วยสายตาอ่อนหวานและยิ้มออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวถอยหลังกลับไป
“หากติดเชื้ออีกครั้ง ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว! รนหาที่ตายเอง!” หยุนเชวี่ยอยากจะทุบตีเขาเหลือเกิน
เรื่องเล็กน้อยยังไม่รู้จักระวังตัว! เจ้าหน้าอ่อนนี่ น่าโมโหเสียจริง!
สืออีปลดเข็มขัดอย่างว่าง่าย เขาถอดเสื้อออก เผยให้เห็นไหล่ที่พันผ้าพันแผลไว้อย่างเป็นระเบียบ
“ไม่โดนน้ำมาใช่ไหม?” หยุนเชวี่ยถาม
สืออีส่ายศีรษะ
“เหตุใดถึงไม่บอกข้าแต่แรก!”
“หยุนเชวี่ยไม่ยอมถามข้าน่ะสิ” สืออียิ้มและเอื้อมมือไปลูบศีรษะของนาง
หยุนเชวี่ยปัดมือสืออีออกไปและถลึงตาใส่ราวกับอยากจะฆ่าให้ตายเสียเดี๋ยวนี้!
“หยุนเชวี่ยนำสิ่งใดมาฝากข้างั้นหรือ?” สืออีแสร้งทำเป็นไม่รู้ตัวและคว้าตะกร้าไม้ไผ่ของหยุนเชวี่ยไปอย่างหน้าไม่อาย
“ทานอิ่มแล้วก็รีบไสหัวไป อย่าได้สร้างปัญหาให้ข้า!” หยุนเชวี่ยนั่งพึมพำอยู่ด้านข้าง
“เจ้าบอกว่าข้าเป็นนายน้อยจากตระกูลใหญ่ที่กำลังรอให้ท่านพ่อท่านแม่มารับตัวและจะมอบกองเงินกองทองให้เจ้าเป็นการตอบแทนอย่างนั้นหรือ?” สืออีนั่งขัดขาพลางกัดขนมปังที่แห้งผาก
“เจ้ากินดื่มอยู่ที่นี่มานาน ยังไม่เห็นพ่อแม่ผู้มั่งคั่งของเจ้าแม้แต่เงา ข้าคิดว่าพวกเขาคงลืมเจ้าไปแล้วมากกว่า” หยุนเชวี่ยยกมือขึ้นเท้าคางอย่างเกียจคร้าน
“เช่นนั้น ข้าก็เป็นคนไร้บ้านอย่างนั้นสิ?”
“อืม… แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้ามิใช่หรือ? ข้าคงเลี้ยงเจ้าไปตลอดชีวิตไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?” นั่นเป็นเพราะว่าหยุนเชวี่ยไม่ได้ร่ำรวย หากว่านางร่ำรวยล้นฟ้า การนำคนที่ต้องตามาเป็นบ่าวรับใช้ก็คงไม่ลำบากนัก
อาหารและเสื้อผ้านั้นหายาก รูปโฉมจะไปมีประโยชน์อันใด หน้าตาคงไม่ช่วยให้ปลูกข้าวขึ้นหรอก
“สุภาษิตกล่าวไว้ว่า หากใจกว้างจะได้รับผลบุญเป็นพันปี และยังกล่าวอีกว่า ให้ลูกท้อไปได้หยกงามมา บุญคุณสมควรต้องตอบแทน คำสุภาษิตนั้น…”
ระหว่างที่สืออีใช้ความคิด ปลายนิ้วพลางเคาะหัวเข่าหาคำสุภาษิตอยู่ หยุนเชวี่ยจึงกลอกตาไปมาและพูดขึ้นว่า “เจ้าจะหวังพึ่งข้าอย่างนั้นล่ะสิ”
“…” เมื่อรู้ว่าถูกจับได้ สืออีจึงยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและแสดงท่าทีนอบน้อม
“ไม่ล่ะ ถึงข้าจะมีน้ำใจคอยช่วยลูกสุนัขตามดำ ๆ ก็ตามที” หยุนเชวี่ยปฏิเสธ
“แต่ว่า…” สืออีขยับเข้าไปใกล้ ดวงตาเป็นประกายฉายแววจริงใจยิ่งกว่าลูกหมาป่าเสียอีก “วันนั้น… ข้าบอกว่าจะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้ามิใช่หรือ? ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ จากนี้ไปข้าจะยอมเจ้าทุกสิ่งเลย!”
“แล้วเจ้า… ทำสิ่งใดได้บ้างล่ะ?” หยุนเชวี่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าสามารถร่ายรำกระบี่กระบองได้ จะให้ข้าลงพื้นที่ปักชำทํานา คอยตักน้ำ ซักผ้า ข้าทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ!” สืออียัดขนมปังทั้งหมดเข้าไปในปากของสืออีและพับแขนเสื้อขึ้น
หยุนเชวี่ยมองไปยังแขนที่เรียวยาวและขาวผ่องของเขาก่อนจะเบ้ปาก “อย่าได้หลอกลวงข้า เจ้าผอมแห้งไร้กำลังดูไม่เหมือนคนทํางานเลย”
“ข้าแข็งแรงและยังเรียนรู้ไว หากไม่เชื่อก็ให้ข้าลองทำดูสิ อีกทั้งเจ้ายังได้คนงานโดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสักแดงเดียว เช่นนี้ยังไม่พอใจอีกหรือ?” สืออียื่นข้อเสนอ
“เจ้ายังอยากทำงานอยู่อีกหรือ? ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง ครอบครัวของข้านั้นยากจน จนแทบจะอดอยากอยู่แล้ว ขนมปังที่เจ้าทานไปล้วนมาจากซอกฟันของข้าทั้งสิ้น!”
หยุนเชวี่ยพูดออกไปโดยไม่ทันคิด สืออีที่ได้ฟังอย่างนั้นแล้วคงจะรู้สึกขยะแขยงไม่น้อย
“งั้นข้าจะทานให้น้อยลง”
“ขอเพียงให้เจ้าอิ่มท้อง ข้ายินดีที่จะอดอาหารแทนเจ้า…”