ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 156 เพราะมีเงินจึงมั่นใจ
ตอนที่ 156 เพราะมีเงินจึงมั่นใจ
สำหรับสะใภ้อย่างซูตานหงแล้ว คุณแม่จี้เชื่อมั่นในตัวเธอมากกว่าคนอื่น หากเธอบอกว่าได้ หมายความว่าเธอจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ในเมื่ออยากจะทำ เช่นนั้นก็ทำให้ใหญ่โตไปเลย
“มีเงินพอรึเปล่า? แม่ยังพอมีอยู่บ้างเอาไปใช้ก่อนได้นะ ร้านค้าในย่านเมืองมหาวิทยาลัยราคาไม่ใช่ถูก ๆ แน่” หลังจากเข้าใจดีแล้ว คุณแม่จี้ก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
“ไม่เป็นไรครับ ที่บ้านยังเหลือเงินอีกนิดหน่อย” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูด
คุณแม่จี้ไม่สนใจคำพูดของลูกชาย หากเงินไม่พอ ถึงอย่างไรนางก็ต้องช่วย
เช้าวันรุ่งขึ้น จี้เจี้ยนอวิ๋นกับคุณพ่อจี้ก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังเมืองมหาวิทยาลัย
เมื่อรู้เรื่องนี้ บรรดาพี่สาว น้องสาวในหมู่บ้านของคุณแม่จี้ต่างพากันอิจฉานาง “ฉันคิดว่าที่เจี้ยนอวิ๋นเข้าไปในเมืองมหาวิทยาลัยครั้งนี้ คงหาเงินมาได้อีกเยอะเลยใช่ไหม?”
“หาเงินอะไรกันคะ เป็นเพราะว่าขาดเงินต่างหากถึงต้องรีบออกไปขายของ ครั้งนี้เขาซื้อสวนผลไม้จากลุงของเขาหมดเงินไปตั้งหลายร้อยหยวน ไหนจะซื้อต้นกล้าผลไม้ที่เพิ่งส่งมาอีก ยังติดเงินเขาอยู่เลยค่ะ” คุณแม่จี้เริ่มระบายความขมขื่นให้พวกพี่น้องฟัง
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง? ธุรกิจของเจี้ยนอวิ๋นออกจะดีขนาดนี้” พี่สาวคนหนึ่งกล่าว
“ดีอะไรกันล่ะคะ เดือนนี้ต้องจ่ายเงินเดือนตั้งเท่าไหร่? ก่อนหน้านี้มีอ้ายตั๋ง หงจวิน ต้าเหอและจิ้นจวินไปช่วยงาน ต้องจ่ายเงินเดือนให้พวกเขาคนละ 30 หยวน เดือนนึงก็ 120 หยวนแล้ว ตอนนี้ยังซื้อภูเขาด้านข้างและขอให้ลุงของเขามาช่วย ไหนจะต้ากัง อ้ายเซิน แล้วยังมีสวี่เจี้ยนกั๋วอีก สี่คนนี้ค่าจ้าง 120 หยวนต่อเดือน รวมทั้งหมดแล้ว 240 หยวนต่อเดือน พวกพี่ไม่รู้หรอกว่าเจี้ยนอวิ๋นเครียดขนาดไหน ถ้าสวนด้านข้างปลูกไม่ขึ้น ไม่รู้ว่าเขาจะหมดเงินโดยเสียเปล่าไปกับค่าแรงงานตั้งเท่าไหร่” คุณแม่จี้ระบายความขมขื่นในใจออกมา ขณะที่พูดก็ยิ่งรู้สึกว่าลูกชายคนที่สามของนางแบกรับความกดดันไว้มากมาย
“ค่าใช้จ่ายเดือนละ 240 หยวน หนึ่งปีก็เกือบ 3,000 หยวน ค่าใช้จ่ายมหาศาลขนาดนี้ เราคงไม่มีเงินเก็บไปทั้งชีวิต” นางกล่าวต่อแล้วก็ทอดถอนใจ
“จริงด้วยสิ” พี่สาวในกลุ่มตกตะลึง เมื่อได้ยินว่าในแต่ละปีนางต้องจ่ายค่าจ้างเป็นเงินมหาศาล
“จะว่าไปเจี้ยนอวิ๋นก็จ่ายค่าจ้างแพงจริง ๆ ฉันได้ยินมาว่าค่าแรงในเมืองเจียงสุ่ยให้แค่ 24 ถึง 25 หยวนเองใช่ไหม?” พี่สาวคนหนึ่งพูดขึ้น
“ได้ 24 ถึง 25 หยวนก็ถือว่าเยอะมากแล้ว หลานชายของฉันที่อยู่ในชนบท ไปหางานทำที่นั่น ได้ค่าจ้างแค่ 21 หยวนต่อเดือน หลังจากหักค่าเช่า ค่าอาหารแล้ว เหลือเงินส่งให้ที่บ้านในแต่ละเดือนแค่ไม่กี่หยวนเอง” หญิงสูงวัยอีกคนหนึ่งพูดขึ้น
“เจี้ยนอวิ๋นจ่ายค่าจ้างแพงมาก” ไม่อย่างนั้น คนในหมู่บ้านทั้งหมดคงไม่กระตือรือร้นอยากเป็นคนงานระยะยาวในสวนของเจี้ยนอวิ๋น
แต่การจะได้ตำแหน่งคนงานประจำนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะอายุน้อยแล้ว ยังต้องทำงานดี ไม่มีชื่อเสียงเสียหายในหมู่บ้าน มีหลายอย่างที่ต้องทำ แต่จ่ายค่าแรงมากขนาดนี้จะไม่พอใจได้หรือ?
ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในหมู่บ้านดีขึ้นมาก โดยพื้นฐานแล้วไม่มีอะไรเลวร้าย แม้แต่การสั่งสอนให้เด็ก ๆ เชื่อฟัง ไม่ซนจนเกินไป ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้ช่วยงานแปลกใหม่ในสวน ซึ่งนับว่าเป็นงานที่ดี ทั้งยังได้กินสตรอเบอรี่กับไข่ และได้เงินอีกด้วย
“ฉันไม่คุยกับพวกเธอแล้ว ต้องกลับไปทำงานบนภูเขาก่อน ถ้าวันนี้ไม่ขยัน วันข้างหน้าคงไม่มีเงินไปจ่ายค่าจ้าง” คุณแม่จี้บอกลาและพาเยียนเอ๋อร์กลับไปที่ภูเขา
“ตอนนี้หล่อนดูเหมือนคุณนายน้อยเข้าไปทุกที ทุกครั้งที่อ้าปากก็เอาแต่พูดเรื่องหาเงิน” หนึ่งในหญิงสูงวัยนินทาอย่างออกรส
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้หล่อนคลอดลูกชายที่มีความสามารถแบบนั้นออกมาล่ะ?”
“อย่ามองคนแค่ผิวเผินเลย เบื้องหลังมันอาจจะเป็นอย่างที่หล่อนพูดจริง ๆ ก็ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องจ่ายค่าจ้างพวกนั้นอย่างแน่นอน”
“ลมปากหล่อนเชื่อได้ที่ไหนกัน?”
“…”
คุณแม่จี้ไม่สนใจคำครหาของพวกนาง พวกคนจนและขี้อิจฉาเหล่านี้ อยากจะคิดอย่างไรก็ตามใจ ยิ่งเรื่องที่เจี้ยนอวิ๋นจะไปเปิดร้านในเมืองมหาวิทยาลัย ยังไม่จำเป็นต้องพูดถึงในตอนนี้
บนภูเขาตอนนี้นอกจากจะมีสตรอเบอรี่มากมายจนสามารถเก็บได้ทุกวัน ยังมีแตงโมอีกด้วย
“คุณป้า แตงโมพวกนี้งอกงามมากเลยครับ” ซูจิ้นจวินพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ในขณะที่เขากำลังช่วยกำจัดวัชพืช
จากครั้งล่าสุดที่เขาถูกจี้เจี้ยนอวิ๋นเรียกไปออกกำลังกาย ซูจิ้นจวินไม่กล้าขี้เกียจอีกเลย ดังนั้นคุณแม่จี้จึงมีความประทับใจอันดีต่อเขา เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางจึงพูดอย่างใจกว้าง “ถ้ามันโต ฉันจะให้แตงโมเธอลูกหนึ่ง เอาไปฝากแม่เธอด้วยล่ะ ฉันจะเลือกให้หล่อนเอง!”
“ไม่เป็นไรครับ” ซูจิ้นจวินรีบปฏิเสธ หากผู้เป็นแม่รู้ว่าแม่สามีของตานหงส่งแตงโมมาให้เพราะสิ่งที่เขาพูดคงโดนตีจนขาหัก ตัวเขาเองไม่ต้องการอะไร แต่แม่ของเขาจะไม่ยอมเสียหน้าเป็นอันขาด
ถ้านางรู้ว่าเขาทำอะไรลับหลัง คงไม่ปล่อยเขาไว้แน่
“ทำไมต้องเกรงใจกันด้วย? ถึงตอนนั้น ทั้งแตงโมและผลไม้บนภูเขาสุกจนกินได้ ฉันก็ต้องแบ่งไปให้แม่ของเธอกับเธอกินคลายร้อน มันจะเป็นไรไป? รับไปนั่นแหละ ไม่ต้องพูดแล้ว” คุณแม่จี้เอ่ยอย่างอารี
ธุรกิจของเจี้ยนอวิ๋นกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ลูกชายของนางไม่สามารถจัดการทั้งหมดนี้เองได้ การคิดเล็กคิดน้อยต่อกันไม่นับว่าเป็นเรื่องดี ถึงอย่างไรบรรดาญาติ ๆ เหล่านี้ก็ต้องมาช่วยกันอีกมาก ไม่อย่างนั้นคนนอกจะมองว่าตระกูลจี้ของนางไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือ
อีกอย่างตอนนี้ทั้งสองครอบครัวก็สนิทสนมกันมาก แตงโมแค่ลูกเดียวนับเป็นอะไรได้?
ตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนถึงปีนี้คุณแม่จี้ได้ต่อสู้อย่างหนักหน่วง เพราะมีเงินจึงมีความมั่นใจ เมื่อได้พูดและลงมือทำบางอย่างก็ทำอย่างสุดความสามารถโดยไม่สนใจเรื่องยิบย่อยเหล่านั้น
“ขอบคุณมากนะครับคุณป้า” ซูจิ้นจวินพูดด้วยรอยยิ้ม
“หญ้าพวกนี้รกเกินไป ต้องกำจัดออกบ้าง ไม่อย่างนั้นจะมาแย่งอาหารพืช และทำให้แตงโมไม่หวาน” คุณแม่จี้อธิบาย
“ผมจัดการเองครับ!” ซูจิ้นจวินเริ่มทำงาน พลางจ้องมองไปที่แตงโมและจินตนาการถึงวันที่ได้ลิ้มรสชาติของมัน
ปีที่แล้วตระกูลจี้ส่งมาให้ที่บ้านของเขานิดหน่อย รสชาติของแตงโมนั้นยอดเยี่ยมมาก หากเอาไปแช่เย็นจะทำให้อร่อยมากยิ่งขึ้น
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ แม้ซูจิ้นจวินจะเคยเกียจคร้านราวกับคนไม่มีกระดูกมาก่อน แต่เรื่องเจตนาไม่ดีเขาไม่มีอย่างแน่นอน หากเขามีความคิดแอบแฝงใด ๆ คุณแม่จี้ย่อมสังเกตเห็นได้
หลังจากเสร็จงานแล้ว ก่อนที่ซูจิ้นจวินจะเดินกลับ คุณแม่จี้ได้แบ่งสตรอเบอรี่ให้เขา 2 ชั่ง ซูจิ้นจวินจึงเดินกลับบ้านด้วยใจที่เป็นสุข
คุณแม่จี้ยิ้มพลางส่ายหน้า แม้จะมาจากพ่อแม่เดียวกัน แต่ชายคนนี้กับน้อง ๆ ของเขาเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย ทั้งน้องชายและน้องสาวของเขาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเขาเสียอีก
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คนที่ไม่ได้ลงมาอยู่หน้างานจริง ๆ จะพูดอะไรก็พูดได้หมดแหละ อย่าไปสนใจคนพวกนั้นเลยค่ะ
ทำไมในบรรดาคนบ้านซู พี่ใหญ่อย่างจิ้นจวินถึงดูเด็กที่สุดกันนะ ลักษณะนิสัยของแต่ละคนไม่เกี่ยวกับอายุจริง ๆ ค่ะ
ไหหม่า(海馬)