ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 353 อย่าไปถือสาท่านเลย
ตอนที่ 353 อย่าไปถือสาท่านเลย
อันที่จริงแล้วเด็กชายทั้งสามคนในครอบครัวรวมถึงเหรินเหรินที่ตอนนี้สุภาพอ่อนโยนล้วนมีนิสัยตอนเป็นเด็กเหมือนกัน เพราะไม่เพียงเอาแต่ใจเท่านั้น แต่ยังไร้เหตุผลด้วย
แต่เมื่อโตขึ้นจนอายุราว 4 ถึง 5 ขวบ ก็มีนิสัยดีขึ้นมาก
เหรินเหรินนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลใจ แต่ถ้าพูดถึงฉีฉี ตอนนี้ก็ยังมีบางครั้งที่เขามักจะโต้เถียงกับผู้เป็นแม่ ทว่าโดยทั่วไปแล้วหากมีงานอะไรให้ทำ เขาก็สามารถทำได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้เขาก็ไม่ไร้เหตุผลจนเกินไป เว้นเสียแต่ว่าจะมีเรื่องกระทบใจ หรือมีคนไปแตะต้องเกล็ดย้อน*ของเขา แบบนั้นเขาจะทำตัวไร้เหตุผลทันที ซึ่งเรียกได้ว่าซูตานหงนั้นเป็นที่รักอย่างมาก
* แตะเกล็ดย้อน คือ มังกรจะมีเกล็ดใต้คอ ซึ่งหันไปในทางตรงข้ามกับเกล็ดในบริเวณอื่น เชื่อกันว่าหากใครไปแตะเกล็ดนี้ มังกรจะโกรธจัดและฆ่าคนผู้นั้น
ยุคสมัยภายนอกพัฒนาอย่างรวดเร็ว ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาจึงมักจะเห็นรถยนต์เหล่านั้นวิ่งอยู่ในเมือง
ทุกคันล้วนแล้วแต่เป็นรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งขวักไขว่ไปมา ถือได้ว่ามีชีวิตชีวาและเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น
คนเหล่านั้นเป็นเจ้าของโรงงานที่มาเปิดโรงงานอยู่ที่นี่ ซึ่งการคมนาคมที่นี่ค่อนข้างดี อยู่ใกล้กับ 2 สถานที่หลัก คือเมืองเจียงสุ่ยและเมืองมหาวิทยาลัย สินค้าที่พวกเขาผลิตส่วนใหญ่จะถูกส่งไปยังสถานที่ทั้ง 2 แห่งนี้
หลังจากต้นฤดูใบไม้ผลิ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็งานยุ่งมาก ในขณะที่ซูตานหงอยู่ว่าง ๆ นั่งทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่นั้น เจินเหมียวหงก็มาหา
2 ปีมานี้เจินเหมียวหงยังคงร่ำรวย สามีของหล่อนที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานของรัฐบาลก็ได้เลื่อนตำแหน่ง
แต่สำหรับซูตานหงและจี้เจี้ยนอวิ๋นแล้ว เจินเหมียวหงไม่เคยดูถูกพวกเขาเลย
ครั้งนี้เจินเหมียวหงยังนำผ้าจากมณฑลอื่นมาให้ด้วย ซึ่งสามารถตัดกี่เพ้าได้ 2 ชุด โดยทั้งหมดล้วนเป็นผ้าแพรชั้นดี
“หงเจี่ย พี่เอาผ้านี่มาทำไมคะ? ฉันอยู่ชนบทแบบนี้ไม่ได้ใส่นักหรอกค่ะ” ซูตานหงพูด
“ไม่ได้ใส่อะไรกัน พี่รู้ฝีมือของเธอดี ตัดเองสัก 2 ชุดไว้ใส่ให้เจี้ยนอวิ๋นดูสิ” เจินเหมียวหงกล่าว
ซูตานหงเม้มปากกลั้นยิ้ม “นี่เกือบจะไม่ต่างจากไข่มุกเปื้อนฝุ่น*เลยนะคะ”
*เป็นคำอุปมาอุปไมยถึงสิ่งของล้ำค่าที่ถูกปกปิด หรือของมีค่าตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่คู่ควร
“อะไรกัน อย่างเธอใส่แล้วไม่เรียกว่าเปื้อนฝุ่นหรอก อีกอย่างพวกผู้ชายก็เปลี่ยนใจได้ง่าย แม้ว่าเจี้ยนอวิ๋นจะไม่ใช่คนแบบนั้น แต่เธอก็ควรใส่ใจด้วย อย่ามัวแต่ทำตัวจืดชืดอยู่ทุกวัน ครีมน้ำหอมที่เธอทำครั้งก่อนก็ดีกว่าข้างนอกเยอะเลย” เจินเหมียวหงกล่าว
เพียงแค่พริบตาเดียวหล่อนก็รู้จักกับซูตานหงมาเกือบ 10 ปีแล้ว เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ที่ต่างจากซูตานหงก็คือเจินเหมียวหงเป็นคนอยู่บ้านว่าง ๆ ไม่ได้ หล่อนจึงออกไปทำธุรกิจนอกบ้าน ขณะที่สามีของหล่อนทำงานให้รัฐบาล หล่อนก็เป็นนักธุรกิจ
การได้ทำธุรกิจกับคนจำนวนไม่น้อยทำให้สามารถทำเงินได้มหาศาล และการได้พบเจอผู้คนมากมายภายนอกนี่เองที่ทำให้มองเห็นอะไรได้มากขึ้น
มีคนไม่น้อยที่หลังจากแต่งงานไปแล้วได้มีรูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงไป จากภรรยาที่เคยลำบากมาด้วยกันจึงถูกแทนที่ด้วยสาวสวย
ดังนั้นครั้งนี้หล่อนจึงนําชุดกี่เพ้านี้มาให้ซูตานหงโดยเฉพาะ ซึ่งตอนนี้มันเป็นเพียงชุดกึ่งสําเร็จรูป แต่หลังจากทําเป็นชุดสําเร็จรูปแล้วจะดูดีมาก หญิงสาวในเซี่ยงไฮ้นิยมใส่กันแบบนี้
มันช่วยส่งเสริมบุคลิกให้ดูดีเป็นพิเศษ หล่อนจึงคิดว่ามันเหมาะกับซูตานหง
“ฉันยังมีครีมอยู่บ้าง เดี๋ยวพี่เอาไปสัก 2 กระปุกนะคะ” ซูตานหงยิ้ม
ในสวนหลังบ้านมีดอกไม้และสมุนไพรปลูกไว้ไม่น้อย เธอจึงทำครีมด้วยดอกไม้และสมุนไพรเพื่อเก็บไว้ใช้เอง ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในช่วงหน้าหนาวแล้ว เพราะสามารถทำเองได้และเห็นผลดี
ไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้งหรือวัตถุดิบอย่างอื่น ทั้งหมดล้วนเป็นของดี
“ได้สิ” เจินเหมียวหงก็ไม่เกรงใจเธอเช่นกัน
ตอนนี้เป็นเวลา 10 โมงครึ่งแล้ว ซูตานหงพาเจินเหมียวหงขึ้นมาบนภูเขาเพื่อจับไก่ และขอให้จี้หงจวินจัดการให้ เพื่อนำไปทำน้ำแกงในตอนเที่ยง
นอกจากนี้เธอยังเก็บสตรอว์เบอร์รี่ที่สุกงอมมาไม่น้อย สิ่งเหล่านี้ต้องนํากลับไปให้เจินเหมียวหง ส่วนของอย่างอื่นนั้นเจินเหมียวหงไม่ต้องการ แม้ว่ามันจะอร่อยแต่ก็ยุ่งยากเกินไป อีกทั้งหล่อนเองก็ขี้เกียจทำอาหารด้วย ดังนั้นหล่อนจึงไม่สนใจของอย่างอื่น มีแค่สตรอว์เบอร์รี่ก็พอกินแล้ว
อาหารมื้อเที่ยงนั้นอุดมสมบูรณ์มาก
เมื่อเจินเหมียวหงเห็นสามพี่น้อง เหรินเหริน ฉีฉี และเสียงเสียง ก็พบว่าทั้งสามพี่น้องมีหน้าตาคล้ายกันมาก ดวงตาของพวกเขาฉายแววกล้าหาญเหมือนจี้เจี้ยนอวิ๋น ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาได้สืบทอดความสง่างามอันละเอียดอ่อนของซูตานหงมาด้วย
โหงวเฮ้งของพวกเขาล้วนได้ลักษณะที่ดีมาจากพ่อและแม่ เจินเหมียวหงเห็นแล้วหัวใจสั่นไหว จึงอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อพวกเขาสามพี่น้อง
เหรินเหรินโตแล้วจึงไม่สนใจที่แม่ทูนหัวเขาหยอกล้อ ฉีฉีนั้นขี้เล่นมาก ส่วนเสียงเสียงก็ขี้เล่นยิ่งกว่า
ตอนที่เจินเหมียวหงกลับไป หล่อนยังอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย ถึงกับถามเหรินเหรินว่าจะไปเรียนที่โรงเรียนแถวบ้านหล่อนหรือไม่ เพราะสภาพแวดล้อมใด ๆ ล้วนแล้วแต่มีคุณภาพดีที่สุด
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยู่ที่นี่ก็สบายดี” เหรินเหรินส่ายหน้า
เจินเหมียวหงจึงกลับไป แม้ว่าหล่อนจะไม่ค่อยอยากรับของกลับไปมากมายนัก แต่ซูตานหงก็ยังมอบของให้ไม่น้อย ทั้งหมดเป็นสินค้าพื้นเมืองของที่นี่ ไม่ได้มีมูลค่ามากอะไร แต่พวกมันทั้งสดและอร่อย
“แม่ครับ ผมได้ยินคุณย่าพูดถึงแม่ด้วยล่ะ” เมื่อเจินเหมียวหงจากไป ฉีฉีจึงพูดขึ้น
“พูดอะไรถึงแม่เหรอจ๊ะ?” ซูตานหงกล่าว
“บอกว่าแม่ให้การต้อนรับคนนอกดีกว่าท่านเสียอีก” ฉีฉีพูด
ซูตานหงยิ้ม “แล้วลูกคิดยังไงล่ะ?”
“ป้าหงจะเป็นคนนอกได้ยังไงล่ะครับ ป้าเป็นแม่ทูนหัวของพี่ใหญ่ เหมือนกับปู่บุญธรรมที่เป็นพ่อบุญธรรมของพ่อ นับว่าเป็นครอบครัวของเรา อีกอย่างป้าหงก็มาแค่ปีละไม่กี่ครั้ง แน่นอนว่าต้องให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น คุณย่าพูดแบบนี้ขี้เหนียวมากเลย” ฉีฉีขมวดคิ้วขณะพูด
นี่คือสิ่งที่จี้เจี้ยนอวิ๋นสอนพวกเขา ลูกผู้ชายต้องใจกว้างให้มาก คนที่ควรใส่ใจไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อย และไม่ต้องไปสนใจคนที่ใจแคบยิ่งกว่าไส้ไก่*
* ใจแคบยิ่งกว่าไส้ไก่ เปรียบเทียบกับความคิดเล็กคิดน้อยของใจมนุษย์กับไส้ไก่ซึ่งมีขนาดเล็กมาก
เห็นได้ชัดว่าฉีฉีไม่สบอารมณ์ เขาชอบที่จะต่อสู้กับเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน แต่สำหรับเพื่อนพ้องเหล่านี้เขาก็มีน้ำใจมากเช่นกัน เขามักจะแบ่งปันขนมให้เล็กน้อย แน่นอนว่าส่วนใหญ่เขาจะกินเอง เขาไม่ใจกว้างให้กับคนที่เห็นแก่ตัว และดีกับคนที่มีความสำคัญต่อตัวเองเท่านั้น
ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เรื่องเหล่านี้ เขาได้รับการอบสั่งสอนจากจี้เจี้ยนอวิ๋นมาเป็นอย่างดี
“ไม่ต้องสนใจย่าของลูกหรอก บางทีคนเราเมื่อแก่แล้วมักจะคิดฟุ้งซ่าน พวกเรายังอายุไม่มาก อย่าไปถือสาท่านเลยจ้ะ” ซูตานหงพูด
ฉีฉีพยักหน้าและไม่สนใจเรื่องนี้อีก
ซูตานหงปล่อยให้เขาเล่น เขาจึงไปที่สวนหลังบ้านเพื่อรดน้ำดอกไม้
คุณแม่จี้จะคิดอย่างไรนั้นซูตานหงไม่สนใจ ตั้งแต่คุณแม่จี้กลับมา ซูตานหงก็มีความสัมพันธ์แบบปกติธรรมดาต่อนาง ส่วนแตงโมและสตรอว์เบอร์รี่ของปีนี้ คุณแม่จี้ไม่ได้รับเงินแม้แต่เฟินเดียว ซูตานหงคำนวณเงินเดือนให้นาง และจ่ายให้เท่ากับคนงานในแต่ละเดือน
ทว่าค่าตอบแทนของนางนั้นดีกว่าคนงานมาก นางมีทั้งอาหารและที่พักอาศัย ไม่ว่าจะทำงานหรือไม่ก็ยังได้รับเงิน
แน่นอนว่าเงินจำนวนนี้นับว่าน้อยมากในความคิดของคุณแม่จี้ นางเองก็ไม่พอใจเช่นกัน แต่ไม่พอใจแล้วอย่างไรล่ะ ซูตานหงไม่สนใจทีท่าของนางเลยสักนิด
ทุกวันนี้ที่เธออนุญาตให้นางอยู่บนภูเขาก็นับว่ากตัญญูแล้ว ยังต้องการให้เธอทำอะไรอีกล่ะ?
หรือต้องให้เธอสละชีวิตเลยจริง ๆ
คงเป็นเพราะเธอไม่ค่อยแสดงความกตัญญูมากนัก ทั้งยังเห็นเธอจับไก่ตัวหนึ่งมาตุ๋นให้เจินเหมียวหง ถึงได้บ่นแบบนี้และจงใจพูดให้ฉีฉีได้ยิน เห็นได้ชัดว่าต้องการเตือนเธอให้ระลึกถึงความกตัญญู
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
เป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวยค่ะ ไม่สวยให้สามีดูก็สวยให้ตัวเองดูได้
แม่จี้นี่นับวันยิ่งงี่เง่าขึ้นนะคะ
ไหหม่า(海馬)