[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก - ตอนที่ 160 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (9) / ตอนที่ 161 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (10)
- Home
- [นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก
- ตอนที่ 160 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (9) / ตอนที่ 161 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (10)
ตอนที่ 160 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (9)
ห้าปีหมายความว่าอย่างไร หมายถึงเวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือ เพียงชั่วหลับหนึ่งตื่นสำหรับผู้บำเพ็ญเพียร
ตันหวายโกรธจนหน้าเขียวไปหมด เพราะอะไรภารกิจยากๆ ถึงต้องย่นเวลาให้สั้นนัก ภารกิจตั้งมากมายก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นจำกัดเวลาสักหน่อย!
(นี่เป็นโลกสุดท้ายแล้วน่ะสิ) ระบบแค่นเสียงดังเฮอะ (แน่นอนว่าต้องเผชิญความท้าทายกันบ้าง)
ตันหวายพลันตะลึงงัน “โลกสุดท้ายแล้ว?”
(แน่นอน) ระบบนึกขบขันเล็กน้อย (หรือว่าท่านยังอยากไปต่ออีกสักสองสามโลก?)
ไอ้เรื่องพรรค์นั้นช่างมันไปเถอะ
พลาดไม่ได้แล้ว
อืม พลาดไม่ได้แล้วจริงๆ
ตันหวายรู้สึกสับสนว้าวุ่น เขาอยากกลับไปเหลือเกิน ใครจะไม่อยากมีชีวิตอยู่กันเล่า แม้เขาจะทะลุมิติไปยังโลกต่างๆ และผ่านชีวิตมามากมายจนอาจไขว้เขวไปบ้าง แต่การใช้ชีวิตที่เป็นของตนเองย่อมสบายใจที่สุด
(แต่ท่านอย่าเพิ่งรีบดีใจไปล่ะ) ระบบเตือนสติ (ระดับความยากของโลกสุดท้ายจะเพิ่มสูงขึ้นมาก หากบอกว่าโลกก่อนหน้าผ่านมาอย่างง่ายดาย ถ้าเช่นนั้นคราวนี้ก็ไม่มีคำว่าง่ายอีกต่อไป)
ระบบกล่าวทิ้งท้ายเพียงเท่านี้
ตันหวายพยักหน้ารับ อันที่จริงระบบไม่ต้องบอกเขาก็รู้อยู่แก่ใจ ห้าปี สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว หลับหนึ่งตื่นก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ
แน่นอน หากเขารู้ว่าคำพูดพล่อยๆ ของตนจะศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ หัวเด็ดตีนขาดเขาก็ไม่มีวันพูดประโยคนั้นออกมา
แต่ก่อนตันหวายคิดว่าตนเองเป็นคนดวงดีมาโดยตลอด เวลาเล่นเกมมักจะเลือกได้การ์ดที่หายากที่สุดเสมอ จากนั้นมาพอชิงโชคในเวยป๋อทีไรเป็นต้องจับได้รางวัลทุกที ตอนนี้เขาจึงพะวักพะวงว่าตนอาจจะใช้โชคดีจนหมดไปตั้งแต่แรกแล้ว
ตันหวายกับเฟิงสือหลี่ยืนเคียงข้างกันบนเชิงเขาฉีเฟิงซาน คนทั้งสองต่างมองหน้ากันนิ่ง
ศิษย์สำนักเวยม่อที่เฝ้ายามอยู่บนเชิงเขาอ้าปากหาวหวอด จ้องมองแขกผู้ไม่ได้รับเชิญทั้งสองด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
“เช่นนั้น…” ตันหวายสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นศิษย์พี่ของพวกท่านจะตื่นเมื่อไหร่หรือ?”
……..
“ศิษย์พี่ปิดด่านฝึกวิชาอยู่ ไม่ใช่นอนหลับเสียหน่อย”
ตันหวายเก้อเขิน “ปิดด่านๆ ข้าพูดผิดไป”
เฟิงสือหลี่ “…”
ศิษย์สำนักเวยม่อเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเปิดดูบันทึกเวรรักษาการณ์ของตนด้วยความเกียจคร้าน อ่านออกเสียงให้ตันหวายฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เจียงจิ่นหวายศิษย์อันดับสามแห่งสำนักเวยม่อปิดด่านฝึก…ห้าสิบปี”
ตันหวายพลันสีหน้าบูดบึ้ง หยั่งเชิงถามว่า “แล้วตอนนี้?”
“ปีที่สอง!”
ปีที่สองงั้นก็เชิญเอ็งรอไปคนเดียวเถอะโว้ย!
ตันหวายหน้าตาถมึงทึง แทบอยากจะบุกขึ้นเขาให้รู้แล้วรู้รอด
“เช่นนั้นพวกเราจะพบใครได้บ้าง?” ตันหวายก้าวถอยหลังออกมา
“จะใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น”
ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้นโคตะระพ่องเอ็งสิ
เห็นตันหวายชักสีหน้าไม่พอใจ ศิษย์สำนักเวยม่อก็ระแวงระไวขึ้นมาฉับพลัน เกาะกุมอาวุธในมือแน่นด้วยเกรงว่าเบื้องหน้าจะเป็นบุคคลอันตราย
ศึกแรกคว้าน้ำเหลวกลับมา ตันหวายกับเฟิงสือหลี่อารมณ์ไม่สู้ดีนัก
ตันหวายเด็ดผลไม้ป่าจากต้นไม้มากองหนึ่ง ตัดสินใจเก็บไว้กินเป็นอาหารว่างเพื่อฆ่าเวลา ใครจะรู้ว่าพอหันหลังกลับจะมองเห็นเฟิงสือหลี่นั่งชะเง้อชะแง้อยู่ริมลำธาร ปานประดุจดอกสุ่ยเซียนที่แย้มบานสะพรั่ง
ตันหวายตีหน้าขรึมเดินเข้าไปหา ชำเลืองมองเฟิงสือหลี่แล้วค่อยชำเลืองมองเงาของเขาในน้ำ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านเคยได้ยินตำนานดอกสุ่ยเซียนบ้างหรือไม่?”
เฟิงสือหลี่เงยขึ้นมาด้วยสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าตันหวายหมายความว่าอย่างไร
ตันหวายเอาผลไม้ที่เก็บมาห่อใส่ใบไม้ที่หยิบติดมือจากตรงไหนสักแห่ง ก่อนจุ่มลงไปล้างในลำธารพลางเล่าตำนานดอกสุ่ยเซียนให้เฟิงสือหลี่ฟัง
ครั้นเล่านิทานจบก็ล้างผลไม้เสร็จพอดี ตันหวายหยิบผลไม้สีสวยสดน่ากินยื่นให้เฟิงสือหลี่ ทว่าถูกเฟิงสือหลี่ปฏิเสธกลับมา
“ข้าไม่กินผลไม้”
เหอะๆ
ขนาดน้ำตาลปั้นเอ็งยังไม่กินเลยนี่เนอะ
เอาน้ำตาลปั้นข้าคืนมาซะ
เขาไม่กินตันหวายก็ขี้เกียจจะสนใจ จึงหาที่ว่างนั่งลงแทะผลไม้พลางถามว่า “ฟังเข้าใจแล้วหรือยัง?”
เฟิงสือหลี่พยักหน้ารับ เอ่ยตอบทันทีว่า “ข้าแค่อยากดูสักหน่อยว่าปลอมตัวได้แนบเนียนดีหรือไม่ ข้ารู้สึกเหมือนหนวดเคราบนหน้าคอยทิ่มลำคอตลอดเวลา”
เพราะตันหวายร้องขอเอาไว้ เฟิงสือหลี่จึงถูกจับแต่งกายเป็นตาแก่หัวหงอก ว่ากันว่าทำเช่นนี้จะสามารถลดการป้องกันของฝ่ายศัตรู เฟิงสือหลี่ยังร่ายอาคมอำพรางตัวเสริมอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกเหล่าผู้ฝึกตนจับสังเกตได้
ตันหวายชักเริ่มใจฝ่อ เขาเป็นคนออกความคิดนี้เอง แต่เพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้ว่าไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไหร่
ยกมือลูบจมูกด้วยความละอายใจ พอตันหวายนึกอยากจะพูดก็เป็นอันต้องล้มเลิกกลางคัน ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันเอ่ยปาก ท้องไส้ก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมา ปวดจนเขาเหงื่อแตกพลั่กไปหมด คาดว่าตนคงต้องมอบหมายภารกิจอยู่ที่นี่เสียแล้ว
เมื่อสังเกตเห็นอาการผิดปกติของตันหวาย เฟิงสือหลี่ก็เพิ่งฉุกนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ กล่าวขึ้นทันควันว่า “แย่ล่ะ ผลไม้มีพิษ ลืมให้ยาแก้พิษเจ้าไปเสียสนิทเชียว”
ตันหวายทำหน้าผะอืดผะอม อะไรกัน ลืมอะไรของเอ็ง?
เอ็งรู้ตั้งแต่แรกว่าไอ้ของพรรค์นี้มันมีพิษ?
เอ็งรู้ว่ามันมีพิษแล้วยังปล่อยให้ข้ากิน?
???
เฟิงสือหลี่ไม่รับรู้ถึงคำก่นด่าของตันหวายแม้แต่น้อย พลางหยิบเม็ดยาจากน้ำเต้าหยกของตนป้อนใส่ปากของตันหวายทันที
พอตันหวายกินยาเข้าไปก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย แม้จะยังปวดแสบปวดร้อนในท้อง แต่ว่าไม่รุนแรงเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
หยัดกายลุกขึ้นนั่งตัวตรง ตันหวายยืดอกทั้งใบหน้าแดงระเรื่อ ราวกับคนที่ปวดท้องจนแทบล้มกลิ้งเมื่อครู่ไม่ใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น
เหลือบมองเฟิงสือหลี่ที่ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ข้างๆ ตันหวายนิ่วหน้ากล่าว “ท่านรู้อยู่แล้วหรือว่าผลไม้ชนิดนี้มีพิษ?”
ตอนที่ 161 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (10)
ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันพังทลายจนหมดสิ้น ฉันอุตส่าห์มีน้ำใจชวนกินผลไม้ (ถึงจะมีพิษก็เถอะนะ) แต่นายกลับมองดูฉันกินพิษเข้าไปหน้าตาเฉย?
ตันหวายเสียความรู้สึกยิ่งนัก สายตาที่มองเฟิงสือหลี่ประหนึ่งมองผู้ชายห่วยแตกคนหนึ่ง
เฟิงสือหลี่รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ก่อนจะกล่าวอธิบาย “ข้าเห็นเจ้าอยากกินนักเลยไม่ได้ห้ามปราม ต่อให้มีพิษก็ไม่เป็นไรนี่ ข้ามียาแก้พิษเสียอย่าง (ถึงจะลืมให้เจ้าก็ตามที)”
คนทั้งสองต่างจ้องมองกันไม่วางตาอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายเฟิงสือหลี่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ “คราวหลังเจ้ากินอะไร ข้าจะเตือนเจ้าก่อน”
เมื่อได้รับคำตอบที่ต้องการ ตันหวายก็ผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ และกังวลใจนิดหน่อยด้วยเช่นเดียวกัน คุณดูอีคิวของเจ้าเด็กบื้อคนนี้สิ คงจะล่วงเกินชาวบ้านเขาไปไม่น้อย
พอเห็นตันหวายสีหน้าดีขึ้นมากแล้ว เฟิงสือหลี่จึงถามขึ้น “ตอนนี้เราจะไปไหนกัน?”
ตอนนี้จะไปไหนกัน?
ตันหวายยกคิ้วสูง มองหน้าเขาเหมือนมองคนปัญญาทึบอย่างไรอย่างนั้น “จะไปไหนได้อีกล่ะ ก็ต้องไปหาเจียงจิ่นหวายน่ะสิ”
เฟิงสือหลี่ “…”
_________
บนยอดเขาหลัวทัวเฟิงแห่งเขาฉีเฟิงซาน ตันหวายตบบ่าเฟิงสือหลี่เบาๆ อย่างพึงพอใจ
“ไม่เลวเลยนี่น้องชาย คิดอยู่แล้วเชียวว่าเจ้าต้องมีวิชาเช่นนี้ พวกเราจะได้ไม่ต้องต่อปากต่อคำกับเจ้าพวกที่เฝ้าเชิงเขาให้เสียเวลา”
เฟิงสือหลี่สีหน้าเคร่งขรึม เหลือบมองประตูถ้ำที่ปิดสนิทแล้วหันมามองตันหวาย พูดอึกอักว่า “อย่างนี้คงไม่ดีหรอกกระมัง”
“ไม่ดีตรงไหนกัน?” ตันหวายเลิกคิ้ว
“หากขัดขวางการปิดด่านฝึกวิชา อาจทำให้เขาธาตุไฟเข้าแทรกได้” เฟิงสือหลี่กล่าว
ตันหวายนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ มุมปากกระดกขึ้นน้อยๆ พลางคิดในใจ อาจารย์ของนายมักตัดพ้อว่าการปล่อยให้นายออกนอกลู่นอกทางนับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง แต่เด็กน้อยน่ารักที่แสนดีขนาดนี้จะออกนอกลู่นอกทางไปได้อย่างไร
ตันหวายส่งสายตาปลอบโยนให้เฟิงสือหลี่พลางกล่าว “ท่านวางใจเถิด ข้าจะรักษาจิตแท้ของเขาไว้ รับรองว่าเขาไม่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกแน่นอน”
เฟิงสือหลี่ดวงตาเป็นประกาย ยกยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา “อย่างนั้นหรือ…”
ตันหวายเห็นรอยยิ้มเขาก็พลันเคลิบเคลิ้ม เมื่อเพ่งมองให้ถนัดตากลับพบว่าเฟิงสือหลี่ปรับสีหน้าเป็นปกติแล้ว
เขาเห็นภาพลวงตาหรอกหรือ?
ตันหวายขมวดคิ้ว รอยยิ้มของเฟิงสือหลี่เมื่อครู่นี้ ทำให้เขารู้สึกสั่นเทิ้มไปทั้งกายทีเดียว
“ตันหวาย” เฟิงสือหลี่เรียกเขาเบาๆ “เราไปต่อกันเลยไหม?”
“อื้ม ไปต่อสิ ต้องไปต่ออยู่แล้ว” ตันหวายพึมพำอะไรบางอย่าง สายตาจับจ้องอยู่ที่ประตูปากถ้ำพลางสำรวจดูสักครู่ ก่อนจะตบบ่าเฟิงสือหลี่ถามว่า “ท่านสามารถใช้กระบี่ของท่านเบิกประตูนี้ได้หรือไม่?”
เฟิงสือหลี่กะพริบตาปริบ หันไปมองประตูครู่หนึ่งแล้วตอบอย่างสองจิตสองใจ “ลองดูก็ได้”
ความจริงพิสูจน์แล้ว คำว่าลองดูของเฟิงสือหลี่เป็นการพูดถ่อมตนจนเกินไป กระบี่ของเขาหอบเอาลมพายุโถมซัดยอดเขาของชาวบ้านจนแทบจะปลิวกระเด็นทั้งยวง
ตันหวาย “…อยู่ในอาณาเขตคนอื่น พวกเราซุ่มเงียบกันสักหน่อยไม่ได้หรือ?”
เฟิงสือหลี่เก็บกระบี่เข้าฝัก ถามเป็นจริงเป็นจังว่า “ซุ่มเงียบคืออะไร?”
ตันหวายพูดไม่ออก สายตาที่จ้องมองเฟิงสือหลี่ฉายแววเปลี่ยนไป
ในฐานะที่เฟิงสือหลี่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนยุคโบราณ ย่อมไม่รู้จักการซุ่มเงียบเป็นธรรมดา แต่เทียบกับวิธีการเบิกปากถ้ำชาวบ้านด้วยมือเปล่าของพวกเขาแล้ว มองอย่างไรก็เหมือนว่าจงใจท้าทาย
คนที่เอาแต่กวนประสาทไม่รับรู้เลยว่าตัวเองกำลังกวนประสาท กลับเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง “ซุ่มเงียบคืออะไร?”
ตันหวายนิ่งเงียบไปสักครู่ จากนั้นตีหน้าขรึมตอบว่า “ซุ่มเงียบก็คือไม่ทำอะไรโฉ่งฉ่าง คราวหลังเบาเสียงลงหน่อยก็เป็นการซุ่มเงียบแล้ว”
“อ้อ” เฟิงสือหลี่พยักหน้ารับอย่างงุนงง แล้วจึงกล่าวด้วยสุ้มเสียงอันแผ่วเบาที่สุด “เช่นนั้นเราจะเข้าไปเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่?”
ตันหวายไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำใดมาพูด เขาฟังไม่ออกเลยสักนิดว่าเฟิงสือหลี่พูดบ้าอะไรอยู่กันแน่!
เมื่อเห็นเฟิงสือหลี่ทำท่าทางประกอบไปด้วย ตันหวายก็พอจะเข้าใจความหมายของเขา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ก็ต้อง—” เข้าไปอยู่แล้ว…
เฟิงสือหลี่มือหนึ่งตะครุบปากตันหวาย อีกมือหนึ่งถือกระบี่ของตน พลางกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเขา “ชู่~พวกเราต้องซุ่มเงียบ”
………
จะซุ่มบ้าซุ่มบออะไรก็เรื่องของเอ็งเหอะโว้ย!
แกะมือของเฟิงสือหลี่ออกด้วยสีหน้าเย็นชา ตันหวายเดินเข้าไปในถ้ำโดยไม่ปริปากพูดสักคำ
เฟิงสือหลี่เป็นพวกปัญญาอ่อนหรือไงกันเนี่ย!
ยิ่งคิดยิ่งเป็นไปได้ ตันหวายกุมขมับ รู้สึกว่าชีวิตช่างมืดมนเสียเหลือเกิน
แฟนหนุ่มกลายเป็นคนปัญญาอ่อนหลังสูญเสียความทรงจำควรทำอย่างไรดี รอสายอยู่ โปรดตอบด่วน
เขาไม่ทันสังเกตว่า เฟิงสือหลี่ที่ยืนทำหน้างุนงงอยู่ข้างหลังในตอนแรก กำลังแสยะยิ้มอย่างกระหายเลือด
ภายในโพรงถ้ำลึกเต็มไปด้วยหินย้อยห้อยระย้าอยู่ด้านบน ตันหวายเกือบจะคิดว่าตนกำลังเที่ยวชมวิวทิวทัศน์เสียอีก
ขุดถ้ำตัวเองไว้ลึกน่าดูทีเดียว นี่คงจะเป็นนิสัยที่เหล่าผู้ฝึกตนทุกคนมีเหมือนกัน โพรงถ้ำยิ่งลึกมากเท่าไหร่ ผู้ที่อยู่ข้างในยิ่งมีเวลารับมือเหตุสุดวิสัยมากเท่านั้น โอกาสรอดชีวิตก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ตันหวายเดินลัดเลาะไปตามโพรงถ้ำ ทันใดนั้นก็หยุดชะงัก ก่อนจะกำบังเฟิงสือหลี่เอาไว้ด้านหลัง
เฟิงสือหลี่ “เป็นอะไรไป?”
ว่าพลางมองข้ามตันหวายออกไปข้างหน้า คราวนี้เหลือบไปเห็นโลหิตที่ไหลรินลงมาตามผนังถ้ำไม่ขาดสาย
“นี่มัน…” เฟิงสือหลี่ตื่นตระหนก
ตันหวายเหยียบย่ำกองเลือดพลางก้าวเดินต่อไปด้วยแววตาเคร่งขรึม “เข้าไปดูกันเถอะ”
โลหิตไหลเจิ่งนองท่วมพื้นถ้ำ ตันหวายเหยียบย่ำผ่านไปจนชายเสื้อเปรอะเปื้อนเล็กน้อย
เฟิงสือหลี่เห็นชายเสื้อสกปรกเลอะเทอะของตันหวายก็ขมวดคิ้ว สีหน้าราวกับครุ่นคิดบางอย่าง