บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ - ตอนที่ 500 เจ้าพวกไม่ได้เรื่อง
ฟางเจิ้งกล่าว “กินให้มีมารยาทหน่อย ไม่มีใครแย่งนายกินหรอก! วางก้นลง อย่ากระดกก้น”
หมาป่าเดียวดายเปลี่ยนทิศทางอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนนั่งลง พยายามก้มหัวกินข้าว! เพียงแต่ว่าจะเฝ้าจับตามอง ดวงตามองไปรอบๆ อย่างเจ้าเล่ห์ กลัวว่าจะถูกลอบโจมตีอีก
ฟางเจิ้งมองลิงที่ยังแอบขโมยอยู่ก่อนเคาะหัวลิงไปที “จิ้งเจิน ใช้ตะเกียบเถอะ”
ลิงใจจดจ่อกับการขโมยของเลยไม่สังเกตเห็นเลยว่าฟางเจิ้งใช้ตะเกียบทำอะไร เห็นอาจารย์เป็นห่วงตน ที่สำคัญคือเหมือนว่าจะไม่เห็นว่าตนขโมยของ ด้วยความขลาดกลัวจึงรับมาทันที คีบกับข ข้าวกินอย่างมีความสุข
หมาป่าเดียวดายยืดคอมอง เห็นดังนั้นก็หรี่ตาลง แสยะปากยิ้มมีความสุข…ทำไม่ดีต้องถูกลงโทษจริงๆ เจอกับอาจารย์จอมลวงหลอกแบบนี้ แค่ทำความผิดจะต้องถูกหลอกแน่นอน! ทว่าหมาป่าเดี ยวดายวางแผนไว้แล้วว่ากินข้าวเสร็จจะบอกศิษย์น้องจิ้งเจินผู้น่ารักด้วยเจตนาดี
ฟางเจิ้งมองเด็กแดงที่ไม่น่าไว้ใจที่สุด ก่อนจะหัวเราะ…
เห็นสาวน้อยคนหนึ่งนั่งข้างเด็กแดง คีบอาหารให้เขาไม่ขาด เจ้าเด็กดื้อหน้าแดง นี่เป็นครั้งแรกที่เขานั่งอย่างเรียบร้อย กินอย่างสุภาพ…มองจากแววตาของเจ้านี่ ฟางเจิ้งก็รู้แล้ว วว่าเด็กนี่ยังไม่ได้มีความรักอะไร แต่กำลังเขินอายอย่างน่าอัศจรรย์ ดูท่าเด็กดื้อนี่ยังคงมีเรื่องราวอีก…มีเวลาฟางเจิ้งต้องขุดคุ้ยหน่อย ไม่อย่างนั้นธาตุไฟแห่งยันต์แปดทิศจะยากม มอดดับลง!
มื้อนี้ฟางเจิ้งกินอย่างสุขสบายมาก กินอิ่มหนำสำราญแล้วก็มอบคำอวยพรให้ลูกอีกคนของหยางหวา จากนั้นฟางเจิ้งพาเหล่าลูกศิษย์เตรียมขึ้นเขา
ตอนนี้เองโรงเรียนประถมรกร้างแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปของหมู่บ้านพลันเกิดเสียงเพลงดังขึ้น ตามด้วยเสียงประทัดปุงปัง เสียงไพเราะดังขึ้น ทำนองเฉพาะของระบำคู่ดังไปทั่วหมู่บ้าน
เด็กแดงพูดด้วยความอยากรู้อยากเห็น “อาจารย์ เราไม่ไปดูรึ?”
ฟางเจิ้งชำเลืองหางตามองไกลๆ ทีหนึ่งก่อนส่ายหน้า “ไม่ไป!”
“อาจารย์ ฟังดูแล้วน่าจะสนุกมาก ศิษย์อยากไปดูจัง” กระรอกยืนบนบ่าฟางเจิ้งทำเป็นที่รองเท้าพยายามมองทอดไกล
หมาป่าเดียวดายพูดเช่นกัน “อาจารย์ พวกเรายังไม่เคยดูเลย”
“พวกนายอยากดูจริงๆ?” ฟางเจิ้งขบคิด นี่เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง ให้พวกเขาไปดูหน่อยก็ดี
ฟางเจิ้งถาม ลิง กระรอก หมาป่าเดียวดายและเด็กแดงพยักหน้าพร้อมกัน
“เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็ไป” ฟางเจิ้งพยักหน้าแล้วพาพวกลูกศิษย์มุ่งหน้าไปที่โรงเรียน
ยังไม่ถึงก็เห็นว่าประตูโรงเรียนมีคนปักร่มกันแดด ลากสายไฟยาวสายหนึ่ง มีกล่องไอศกรีมวางไว้ แขวนป้ายว่า ‘เครื่องดื่มเย็นๆ ไอศกรีม! เบียร์เย็นๆ!’
พอหมุนตัวกลับเดินเข้าโรงเรียน ข้างในเป็นเวทีแสดงที่ปรับมาจากเวทีประธานในตอนแรก เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว หมู่บ้านจะฉายหนังหรือเชิญการแสดงพวกระบำคู่ก็จะใช้เวทีนี้ หล ลังจากโรงเรียนร้างไปแล้วก็กลายเป็นศูนย์กลางกิจกรรมอย่างสิ้นเชิง
“อาจารย์ โรงเรียนนี้ดีมาก เหตุใดถึงร้างล่ะ?” เด็กแดงมองโรงเรียนทรุดโทรมที่เป็นตึกชั้นเดียว กระจกแตก โต๊ะเก้าอี้ข้างในมีฝุ่นเกาะ…จึงถามด้วยความไม่เข้าใจเล็กน้อย
ฟางเจิ้งว่า “นายดูข้างใต้เวทีแสดงว่ามีใครนั่งอยู่”
เด็กแดงมองไป เห็นว่าใต้เวทีแสดงมีหลายคนนำม้านั่งมานั่งกันเอง ทว่าคนที่นั่งอยู่มีวัยรุ่นไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นคนอายุห้าสิบหกสิบปี เด็กหน่อยก็สองสามขวบ เด็กที่โตขึ้นมาหน่อย มีไม่กี่คน กำลังพาเด็กเล็กกลุ่มหนึ่งวิ่งเล่นไปทั่ว
ฟางเจิ้งพูดว่า “ยุคสมัยกำลังพัฒนา วัยรุ่นในหมู่บ้านไปเมืองใหญ่เพื่อแสวงหาการพัฒนาที่ดีขึ้นเพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้น คนอยู่เมืองใหญ่ ทำงานที่เมืองใหญ่ ทุกอย่างอยู่ที่เมืองใหญ ญ่…แต่งงานมีลูก เลี้ยงลูกก็ต้องให้อยู่เมืองใหญ่ ดังนั้นคนในหมู่บ้านเลยออกไปกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ คนที่กลับมามีน้อยลงเรื่อยๆ ที่เหลืออยู่เป็นคนชราที่ทำใจจากบ้านเกิดไม่ได้ คนช ชราบางคนยังช่วยส่งเสียคนวัยหนุ่มสาวให้พาลูกกับเด็กที่โตหน่อยไปเรียนหนังสือที่เมืองเป็นการชั่วคราวเลย ตอนอาจารย์ยังเด็ก ที่โรงเรียนนี้หนึ่งชั้นดีมีสองห้อง ห้องละสามสิบกว่า าคน ตอนนั้นคึกคักมาก…
เด็กอย่างพวกเราถูกชาวบ้านเรียกว่าหายนะ ไปที่ไหนก็สร้างหายนะที่นั่น ไล่ไก่ตีหมา เอาดินเหนียวปาใส่กำแพง ขุดหลุมในฟางข้าว ขุดกับดักในกองหิมะ ตอนแรกหลอกคนได้เยอะเลย แต่ตอ อนนี้…ทั้งหมู่บ้านมีเด็กอายุประมาณนั้นไม่กี่คน ถ้าโรงเรียนนี้ยังเปิดอยู่ก็จะมีเด็กอยู่สามถึงห้าคน แล้วจะเปิดไปทำไม? เมื่อก่อนหมู่บ้านหนึ่งหรือสองสามหมู่บ้านหนึ่งโรงเรียน ตอ อนนี้สิบกว่าหมู่บ้านหนึ่งโรงเรียน ดังนั้นโรงเรียนแบบนี้ถึงร้างกันเยอะ” ฟางเจิ้งพูดถึงตรงนี้ก็ทอดถอนใจยาว
เด็กแดงส่ายหน้า “ถ้าคนชราพวกนี้หายไป หมู่บ้านยังมีคนรึ? จะต้องเอาหลายหมู่บ้านมารวมกันหรือไม่?”
ฟางเจิ้งไม่พูด แต่เขารู้ว่าคำพูดเด็กแดงมีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นจริง…ถึงตอนนั้นจริงๆ จะเป็นแบบใด? ฟางเจิ้งคิดมาตลอดว่าคนต่างหากคือรากฐานการคงอยู่ของสังคม ไม่มีคน ทุกอย่างก ก็ไม่มีความหมาย
ตอนนี้เองเสียงฆ้องดังขึ้นสามครั้ง เรียกความสนใจของทุกคนไป
ขณะเดียวกันหยางหวาวิ่งมาดูแลพวกฟางเจิ้ง เว้นที่นั่งข้างหน้าไว้ สองสามแถวข้างหน้าวางกระดาษหนังสือพิมพ์ไว้ให้ทุกคนนั่งเพื่อไม่ให้บังแถวหลัง
ข้างหลังเป็นที่นั่งพับได้หรือไม่ก็ม้านั่งวางนอน ถัดหลังไปอีกถึงเป็นม้านั่งสูงที่วางตั้งรวมถึงคนยืน คนที่อยู่บนกำแพงหรือต้นไม้ไม่ถือว่าเป็นทหารประจำการ
ฟางเจิ้งนั่งลงแล้ว หยางหวาส่งผลแตงมาให้เล็กน้อย ฟางเจิ้งขอบคุณไม่หยุด
แม้หยางหวาจะเตรียมของกินมามากมาย ทว่าก็ยังมีชาวบ้านที่ค้าขายจำนวนหนึ่งเช่นไอศกรีมต่างๆ เบียร์เครื่องดื่มเย็นๆ น้ำแร่หรือเมล็ดแตงโมกับขนมเส้นเผ็ดอะไรพวกนี้มาขาย ประกอบกับเ เด็กน้อยวิ่งเล่นไปมา บนเวทีลองเสียงต่างๆ ไม่หยุด ทำให้ที่นี่วุ่นวาย แต่กลับคึกคักมาก บรรยากาศเต็มสิบ
เมื่อคนหัวโล้นคนหนึ่งขึ้นเวทีไปลองไมค์แล้วก็ตะโกนเสียงดัง “พ่อแม่พี่น้องทุกท่าน กระผมจ้าวอู่ จ้าวหลิวกวาง ขอขอบคุณทุกท่าน!”
“ดี!”
“รับไว้แล้ว!”
“ไม่คุกเข่าเหรอ?”
………..
ข้างล่างหัวเราะคิกคัก เห็นได้ชัดว่ารู้จักกับจ้าวอู่
จ้าวอู่หัวเราะเสียงดัง “ผมจ้าวอู่คุกเข่าขึ้นฟ้า คุกเข่าลงดิน ตรงกลางคุกเข่าให้กับเหรียญมนุษย์ (หมายถึง เงิน) ขอเพียงคุณปาเงินมาหลายพันล้าน เราคุกเข่าให้ได้ มาเถอะ ปาเงินใ ใส่ผมให้ตายเลย!”
ทุกคนต่างส่งเสียงชิชะ…
จ้าวอู่พูดต่อ “เอาละ ผมจ้าวอู่หัวล้าน ไม่มีผม ไม่ได้หล่อเหลา ไม่มีสาวน้อยไว้เชยชม ขอไม่ขายหน้าวันละห้าเบี้ยกับทุกคนแล้ว ตอนนี้ผมขอถามคำหนึ่ง ทุกคนอยากเห็นสาวสวยหรือผู้ชาย ร่างกำยำ?!”
“ผู้ชาย!” ทุกคนตะโกนพร้อมกัน
“ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง! คงจะพาเมียมาด้วยล่ะสิ?” จ้าวอู่ด่ายิ้มๆ
……………………………….…….