ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 119 ไม่ตรงกัน
วันรุ่งขึ้น หลินหลันตื่นขึ้นมาพร้อมกับนิสัยเคยชินที่อยากจะบิดขี้เกียจ แต่แล้วก็พบว่าท่อนแขนเกิดอาการปวดเมื่อย เอวคอดรู้สึกปวดร้าว ขาทั้งสองข้างก็ไร้เรี่ยวแรง และตำแหน่งนั่นที่ไม่ควรเจ็บก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อน นางสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่และคิดอย่างสลดใจ นี่ก็คือผลอันเนื่องมากจากเพลิงราคะที่มากเกินไปสินะ!
เมื่อหันไปมองจึงพบว่าคนที่นอนบนหมอนด้านข้างไม่อยู่เสียแล้ว ทว่าทามกลางอากาศยังคงตลบอบอวลไปด้วยความสุขหลังบทรักที่ผ่านพ้นไป หลินหลันกอบกุมใบหน้าเอาไว้ภายใต้ความรู้สึกเขินอายจนเกินบรรยาย
นางประคองตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบากและทันทีที่หย่อนขาลงจากเตียงก็ได้ยินเสียงหยินหลิ่วร้องเรียกนาง “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…”
หลินหลันรีบนั่งยืดตัวตรงดิ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหยินหลิ่วมองเห็นถึงความผิดปกติใดๆ
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย เตรียมน้ำอุ่นไว้ให้เรียบร้อยแล้วนะเจ้าคะ ท่านจะอาบน้ำตอนนี้เลยไหมเจ้าคะ”
อาบน้ำ? นางไม่เคยชินกับการอาบน้ำแต่เช้าตรู่ซะหน่อย!
เมื่อเห็นสีหน้าของนายหญิงน้อยที่แสดงถึงอาการประหลาดใจ หยินหลิ่วจึงกล่าวเสริม “เอ้อร์เส้าเหยียสั่งการไว้เช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านให้ข้าน้อยปลุกเอ้อร์เส้าหน่ายนายตอนตีสี่ หลังจากนั้นให้เตรียมน้ำอุ่นมาคอยปรนนิบัติเอ้อร์เส้าหน่ายนายอาบน้ำเจ้าค่ะ แต่ว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายตื่นก่อนที่ข้าน้อยจะปลุกท่านซะแล้ว”
หลินหลันจึงตระหนักขึ้นมาได้ว่าคงเป็นเพราะหลี่หมิงอวินกังวลว่านางจะไม่สบายตัว หากได้แช่น้ำอุ่นสักหน่อยคงจะช่วยบรรเทาอาการเมื่อยล้าได้ หลินหลันรู้สึกประทับใจขึ้นมาเล็กน้อย หลี่หมิงอวินนี่ช่างเป็นบุรุษที่เอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยผู้หนึ่งจริงๆ เลย
ตอนที่ไปยังโถงจาวฮุยเพื่อปฏิบัติตามธรรมเนียมฉิ่งอาน อวี๋เหลียนเอ่ยว่าท่านป้าของนางเมื่อคืนนอนตกหมอน เช้าวันนี้ตื่นขึ้นมาช่วงต้นคอจึงขยับไม่ได้แล้วยังมีอาการปวดอย่างมากทีเดียว
หญิงชราเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงอดกังวลไม่ได้ “งั้นควรจะเชิญหมอสักคนมาดูอาการหน่อย”
ขณะที่ฮานชิวเยว่กำลังจะให้คนไปเรียนเชิญหมอสักคน
หมิงจูปิดปากแล้วหัวเราะขึ้นมาอย่างเหยียดหยัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อยอิ่ง “ท่านป้าลืมไปแล้วหรือเจ้าคะว่าพี่สะใภ้รองก็เป็นหมอมิใช่หรือเจ้าคะ”
ทันใดนั้นสายตาของทุกคนก็ตกไปอยู่ที่ใบหน้าของหลินหลัน หลินหลันฉีกยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น “อีกประเดี๋ยวข้าจะไปดูให้เจ้าค่ะ”
หญิงชรากล่าวภายใต้สีหน้านิ่งเฉย “เจ้าไปดูตอนนี้เลยก็ได้ หากว่าอาการหนักหนาก็เรียนเชิญหมอมาซะ”
ยังคงไม่เชื่อฝีมือนางงั้นหรือ! หลินหลันหาได้สนใจไม่ นางโน้มลงไปด้านหน้าเล็กน้อยอย่างนอบน้อมและกล่าวลา
เมื่อไปถึงห้องของป้าสะใภ้ใหญ่ ลำคอของนางอวี๋ทั้งๆ ที่ขยับเขยือนไม่ได้แล้วแต่ยังคงนั่งเย็บปักถักรอย โดยถือสะดึงขึ้นมาในระดับสูงและระยะไกลจากสายตามากทีเดียว นางขมวดคิ้วภายใต้การเคลื่อนไหวที่แข็งทื่อ ไม่ต่างไปท่าทางอ่านหนังสือพิมพ์ขณะสวมใส่แว่นสายตายาวเอาเสียเลย
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายมาแล้วเจ้าค่า…” สาวใช้ส่งเสียงบอกกล่าว
นางอวี๋รีบเงยหน้าขึ้น และทันทีที่ขยับลำคอนางก็ถึงกับส่งเสียงร้อง “โอ้ย”
“ท่านป้า ท่านอย่าเพิ่งขยับนะเจ้าคะ” หลินหลันรีนเดินเข้าไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากไปยืนอยู่ด้านหลังของนางอวี๋ก็เอื้อมมือไปบีบนวนต้นคอของนาง มือที่สัมผัสรู้สึกถึงเพียงกล้ามเนื้อชั้นตื่นมีอาการกระตุกเล็กน้อยและแข็งทื่ออย่างมาก หลินหลันจึงบีบนวดไล่ตำแหน่งไปเรื่อยๆ พลางเอ่ยถาม “ตรงไหนที่รู้สึกปวดที่สุดเจ้าคะ”
“ตรงนี้ ตรงนี้แหละ ใช่ นี่แหละจ้ะ ไอหยา…ปวดจะแย่แล้ว…”
หลินหลันฉีกยิ้มเล็กน้อย “ท่านป้า ท่านอดทนไว้หน่อย เดี๋ยวข้าจะช่วยนวดให้สักประเดี๋ยว ไม่นานก็จะค่อยๆ ดีขึ้นแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
หลินหลันใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือกดลงไปในจุดที่ปวดโดยเริ่มจากด้านบนกดไล่ลงมาเรื่อยกระทั่งส่วนหลัง ซึ่งทำเช่นนี้ซ้ำไปมา
“ท่านป้าเป็นเพราะหมอนหนุนสูงเกินไปหรือเปล่าเจ้าคะ” หลินหลันเหลือบไปเห็นหมอนหนุนที่อยู่บนเตียงซึ่งวางซ้อนกันสองใบ
นางอวี๋กล่าว “ข้านอนหมอนเตี้ยแล้วก็นอนไม่หลับ หมอนหนุนในบ้านเป็นของที่ข้าทำขึ้นเองซึ่งได้หยัดใบชาใส่ไว้ด้วย เวลานอนจะรู้สึกสบายมากทีเดียว แต่หมอนของที่นี่ด้านในล้วนเป็นเศษผ้าฝ้ายที่ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่ม พอหนุนลงไปก็ดันหยุบลง แต่พอหนุนสองใบก็สูงเกินไป หลายวันมานี้ข้านอนไม่ค่อยหลับเลยแล้ววันนี้ยังนอนตกหมอนเสียได้”
หลินหลันกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ท่านป้าก็เกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ในเมื่อชอบหนุนหมอนที่ด้านในเป็นใบชา แค่หันไปสั่งเหล่าข้ารับใช้ก็ได้นี่เจ้าคะ อีกทั้งนี่มันก็มิใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเสียหน่อยเจ้าค่ะ”
นางอวี๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในฐานะแขกผู้มาเยือนหากเรื่องมากขนาดนั้น จะไม่พาให้คนเขารังเกียจเอาได้หรือจ๊ะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านป้าชอบขนาดประมาณไหนเจ้าคะ เดี๋ยวหลานกลับไปแล้วทำให้ท่านเองเจ้าค่ะ”
“นั่นจะลำบากเจ้าแย่…”
“ไม่ลำบากเลยเจ้าค่ะ…”
หลังจากหลินหลันช่วยบีบนวดไปได้สักพัก นางอวี๋ก็รู้สึกว่าต้นคอไม่ได้รู้สึกตึงมากขนาดตอนแรกอีกแล้ว กลับรู้สึกสบายขึ้นมากทีเดียว “หลินหลันอ่า! ฝีมือการนวดของเจ้าช่างไม่เลวเลยจริงๆ ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส “ข้าช่วยนวดบ่าให้ท่านอีกสักหน่อย อาจเป็นเพราะท่านเย็บปักถักร้อยอยู่บ่อยๆ ด้วย ช่วงท้ายทอยนี่จึงไม่ค่อยดีนักและกล้ามเนื้อบริเวณบ่าก็ตึงอย่างมากด้วยเจ้าค่ะ”
นางอวี๋กล่าว “เจ้าพูดได้ตรงเผงเลยล่ะ บางทีโรคเก่าก็กำเริบจนยกแขนไม่ขึ้น” หลักจากเงียบไปชั่วครู่ นางก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “เมื่อก่อนครอบครัวลำบากแร้นแค้น ก็เลยทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่บ่อยๆ เพื่อเอามาจุนเจือครอบครัว ขอเพียงได้รับงานมาก็จะทำจนไม่รู้วันรู้คืน ถึงได้เป็นต้นตอของอาการป่วยมาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าทุกวันนี้ชีวิตจะสุขสบายแล้ว ทว่าภรรยาของลูกชายข้าทั้งสองคนเรื่องงานเย็นปักถักร้อยช่างไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ งานเย็บปักในบ้านจึงยังคงเป็นข้าที่ต้องทำด้วยตนเอง เฮ้อ…ทำได้แค่ตนทนเหนื่อยไป”
หลินหลันชายตามองไปยังรูปงานปักอันงดงามประณีตบนสะดึง ทันใดนั้นก็อดรู้สึกละอายใจขึ้นมาไม่ได้ ในฐานะที่มีชีวิตเป็นสตรีในยุคสมัยโบราณ เรื่องงานเย็บปักถักร้อยจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสำหรับนางแล้วกลับไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
“ท่านป้าปักได้สวยงามจังเลยเจ้าค่ะ! อย่าว่าแต่หญิงปักผ้าในบ้านนี้ยังเทียบไม่ได้เลยเจ้าค่ะ ข้าว่ากระทั่งคนงานปักผ้าของโรงผ้าจิ่นอีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งเมืองหลวงก็ยังสู้มิได้เลยเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวเยินยอ ซึ่งอันที่จริงนางรู้จักโรงผ้าจิ่นอีอะไรนั่นที่ไหนกันเล่า เพียงแต่ได้ยินมาว่าโรงผ้าจิ่นอีมีชื่อเสียงอย่างมากก็เท่านั้นเอง
นางอวี๋ปลื้มปริ่มใจอย่างมาก “ข้าน่ะ! ก็แค่อยู่ว่างๆ ไม่ค่อยจะเป็นน่ะจ้ะ” นางกล่าวอย่างถ่อมตนหลังจากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นอื่น
“ครั้งนี้เดิมทีควรเป็นท่านลุงซึ่งเป็นลูกชายคนโตของเหล่าไท่ไทมาส่งด้วยตนเอง ทว่าท่านอาซึ่งเป็นบุตรชายคนที่สามของเหล่าไท่ไทต้องการพลักดันให้ท่านลุงเจ้าเป็นหัวหน้าครอบครัว ท่านลุงเจ้าเลยต้องรับช่วงต่อกิจการครอบครัวจึงปลีกตัวออกมาไม่ได้เลย ส่วนลูกพี่ชายคนโตของเจ้าทุกวันนี้เป็นอาลักษณ์ในเขต งานราชงานหลวงยุ่งวุ่นวายไปหมด ส่วนลูกน้องชายรองของเจ้าน่ะ! ภรรยาของเขากำลังตั้งครรภ์ จะไปไหนมาไหนไกลๆ ก็มิได้…”
“แล้วน้องสามล่ะเจ้าคะ” หลินหลันเอ่ยถาม
“เขาน่ะหรือ! คนนิสัยไม่ละเอียดรอบครอบอย่างเขานั่น มีหรือจะกล้าให้เขามาส่งเหล่าไท่ไท ท่านอาสามของเจ้าถึงจะไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ล้มป่วยมาหลายปีแล้ว ดังนั้นข้าจึงต้องมาส่งเหล่าไท่ไทด้วยตนเองนี่แหละ”
“ท่านอาสามป่วยเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
“วัณโรคน่ะจ้ะ ปีนี้อาการยิ่งหนักขึ้นจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกเสียแล้ว” นางฮานกล่าวด้วยความอ่อนใจ
หลินหลันตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงัน ท่านอาสามที่น่าเวทนายิ่ง ในยุคสมัยโบราณเมื่อป่วยเป็นวัณโรคโดยทั่วไปไม่ต่างจากการรอวันตาย
นางอวี๋ซึ่งเดิมทีก็เป็นคนประเภทพูดสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย เวลานี้เมื่อต้นคอของนางหายปวดเป็นปลิดทิ้ง กล่องเจื้อยแจ้วจึงทำงานขึ้นมาอีกครั้ง
“จะว่ากันตามตรงครอบครัวสกุลหลี่ก็มีท่านพ่อสามีของเจ้าที่เก่งกาจและมีหน้ามีตาที่สุด ทั้งมีความรู้ความสามารถและเพียบพร้อมไปด้วยกิริยามารยาทที่โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ คงมิแปลกที่นางเยี่ยพอได้เห็นท่านพ่อสามีเจ้าก็เป็นอันตกหลุมรัก จะเป็นจะตายยังไงก็ต้องการแต่งงานกับท่านพ่อสามีเจ้าให้ได้…”
หลินหลันสะดุ้งเฮือกอยู่ภายในใจ มือไม้ที่กำลังบีบนวดถึงกับหยุดชะงักไปชั่วขณะ น้ำเสียงของป้าสะใภ้ใหญ่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามราวกับจงเกลียดจงชังนางเยี่ยอย่างมาก
หลินหลันฉุกคิดขึ้นมาได้ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านพ่อก็แต่งงานอยู่ก่อนหน้าแล้วใช่ไหมเจ้าคะ แล้วท่านแม่หมิงอวินนาง…รู้เรื่องหรือไม่เจ้าคะ”
นางฮานกล่าวกระฟัดกระเฟียด “แน่นอนว่านางก็รู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางใช้วิธีใดอ่อยท่านพ่อสามีเจ้าจนได้ และหัวเด็ดตีนขาดก็ต้องการแต่งงานกับพ่อสามีเจ้าให้ได้ มิเช่นนั้นจะไปฟ้องร้องท่านพ่อสามีเจ้าอะไรนี่แหละ…ไอหยา! ข้าล่ะไม่อยากจะเอ่ยถึง”
หลินหลันทั้งตกตะลึงและงงงวยในเวลาเดียวกัน ตอนอยู่ที่บ้านของตระกูลเยี่ยได้ยินว่าท่านแม่ของหมิงอวินจะเป็นจะตายก็ต้องการแต่งกับท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายให้ได้ ทว่าหมิงอวินบอกนางว่าท่านแม่ของเขาไม่รู้เรื่องการมีตัวตนอยู่ของแม่มดชราเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นถึงได้ไม่ย่อท้อถึงเพียงนี้…สรุปแล้วเป็นบุตรสาวผู้ดื้อรั้นสกุลเยี่ยที่แย่งสามีผู้อื่นหรือถูกหลอกให้เป็นบ้านเล็กมานานหลายสิบปีกินแน่ นางเยี่ยจากไปด้วยความโกรธเกรี้ยว และตรอมใจจนเสียศูนย์วิญไป สรุปแล้วเป็นเพราะความเจ็บปวดแหละเคียดแค้นที่ถูกท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายหลอกลวงจนรู้สึกหมดสิ้นซึ่งความหวังและกำลังใจ หรือเป็นเพราะท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายจงใจชักนำแม่มดชรากลับมาทิ่มแทงนางกันแน่
เมื่อรู้สึกตัวว่าฝ่ามือที่กำลังบีบนวดของหลินหลันชะงักลง นางอวี๋ถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองพูดอะไรที่เป็นการเสียมารยาทออกไปแล้ว “ข้าเองก็มิได้จงใจจะผู้ว่าร้ายแม่ของหมิงอวินเขาหรอกนะ ในเมื่อเรื่องราวมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว ความจริงนางฮานแม่สามีเจ้าเป็นคนที่น่าสงสารที่สุด ครอบครัวอยู่กันดีๆ ก็ถูกทำให้แตกแยก เฮ้อ…ช่างเป็นการทำบาปทำกรรมเสียจริงเชียว!”
หลินหลันกล่าวขึ้นอย่างอ่อนหวาน “ท่านป้ารู้สึกดีขึ้นบ้างแล้วหรือยังเจ้าคะ”
“ดีขึ้นเยอะเลยจ้ะ ข้ายังคิดว่าจะขยับไม่ได้ไปอีกหลายวันแหนะ” นางอวี๋หันซ้ายหันขวาแล้วกล่าวออกมาด้วยความดีใจ
หลังออกมาจากที่พักของป้าสะใภ้ใหญ่ หลินหลันมุ่งกลับไปยังเรือนหลั้วเซี๋ยจายทันที นางสั่งการป๋ายฮุ่ยให้ทำหมอนหนุนตามขนาดที่ป้าสะใภ้ใหญ่ต้องการขึ้นมาเป็นอันดับแรก แล้วจึงให้หยินหลิ่วเรียกแม่โจวเข้ามาหาก่อนจะให้คนอื่นๆ ออกไป
“แม่โจว ตอนแรกที่ท่านแม่ของหมิงอวินรู้จักเหล่าเหยีย ท่านรู้หรือไม่ว่าเหล่าเหยียแต่งงานแล้ว”
แม่โจวเผยสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย “แน่นอนว่าไม่รู้เจ้าค่ะ หากรู้ คุณหญิงสามจะแต่งงานกับเขาอีกหรือเจ้าคะ แล้วเหล่าไท่เหยียกับเหล่าฟูเหรินก็คงไม่อนุญาตอย่างแน่นอนด้วย”
หลินหลันครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ประโยคดังกล่าวนี้กับที่ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยมันไม่ตรงกันเลยสักนิด!
“เช่นนั้น…ตอนที่แต่งงาน ผู้อาวุโสฝ่ายครอบครัวหลี่มาพบท่านยายหรือไม่”
แม่โจวสบถฮึอย่างเย็นชา “มาอะไรกันล่ะเจ้าคะ ครอบครัวหลี่ของพวกเขาแต่งสะใภ้ทั้งทีกลับไม่โผล่มาสักคน และไม่เชื้อเชิญใครสักคนด้วยซ้ำ แม้จะเอ่ยว่าครอบครัวเขายากจนไปหน่อยและบิดาของครอบครัวหลี่ก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ทว่ามารดาของเขาก็ยังอยู่หนิเจ้าค่ะ ตามหลักแล้วถึงอย่างไรก็ต้องมาร่วมสักหน่อย เมื่อเป็นเช่นนี้เหล่าฟูเหรินจึงโกรธมากและคัดค้านงานแต่งครั้งนี้ ต่อมาภายหลัง เขาจึงไปนั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านทั้งคืน ส่วนคุณหญิงสามก็คุกเข่าอยู่หน้าห้องของเหล่าฟูเหรินตลอดทั้งคืนเช่นกัน เหล่าไท่เหยียด้วยความสงสารคุณหญิง และคิดว่าการที่หลี่เหล่าเหยียไปนั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านเช่นนั้นมันดูไม่งาม สุดท้ายจึงยอมใจอ่อน ซึ่งนั่นทำให้เหล่าฟูเหรินไม่พูดกับเหล่าไท่เหยียสักคำไปนานถึงสามปีกว่าแหนะเจ้าค่ะ จนกระทั่งเมื่อสี่ปีก่อนนางฮานปรากฎตัวออกมา ทุกคนถึงได้รู้ว่าถูกลูกเขยหลอกเข้าเสียแล้ว ครอบครัวหลี่หลอกแต่งงานและหลอกเอาทรัพย์สินไป ช่างหน้าด้านไร้ยางอายเป็นที่สุด จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่มีหน้ามาพบเหล่าฟูเหริน จะสงสารก็แต่คุณหญิงสามที่มีใจรักเดียวต่อหลี่เหล่าเหยีย ทุ่มเททั้งกายใจเพื่อเขาแต่ท้ายที่สุดกลับตกอยู่ในสถานกาณ์เยี่ยงนั้น…” ขณะที่แม่โจวกำลังเอ่ย หัวตาของนางก็เริ่มเปียกชื้นอย่างเห็นได้ชัด
หลินหลันแอบรู้สึกตกใจ ถ้าหากที่ป้าสะใภ้ใหญ่พูดเป็นความจริง เช่นนั้นเท่ากับพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายโกหกหน้าตายกับหญิงชราตั้งแต่ตอนแรกอย่างแน่นอน จึงส่งผลให้หญิงชราจงเกลียดจงชังนางเยี่ย ซึ่งนี่ก็อธิบายได้ว่าเหตุใดหญิงชราถึงเย็นชาต่อนางเยี่ยถึงเพียงนั้น ส่วนการที่นางฮานจะเจ็บปวดเคียดแค้นนางฮานนั่นก็คงไม่แปลกแต่อย่างใด ในเมื่อเป็นเพราะนางเยี่ย เมียที่ถูกต้องตามประเพณีอย่างนางกลับต้องกลายเป็นบ้านน้อย แต่หลินหลันก็ไม่กล้ารับประกันว่านางฮานถูกหลอกไปด้วยหรือสมรู้ร่วมคิดมาตั้งแต่แรก เมื่อมองจากท่าทีของพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายที่ดูอดทนต่อนางฮานไม่น้อยทีเดียว ซึ่งทำให้เห็นว่าพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเกรงกลัวนางฮานอยู่บ้าง หรือนางฮานกำลังกอบกุมความลับสำคัญอะไรไว้งั้นหรือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเป็นคนก่อโศกนาฏกรรมครั้งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเป็นแค่คนปลิ้นปล้อนหลอกลวง หรือกล่าวได้ว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคดผู้หนึ่งนั่นเอง
“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านได้ยินอะไรมาแล้วหรือเจ้าคะ” แม่โจวเอ่ยถามหยั่งเชิง มิเช่นนั้นนายหญิงน้อยจะถามถึงประเด็นนี้ขึ้นมาด้วยเหตุอันใด
หลินหลันกล่าวอย่างคลุมเครือ “ข้าได้ยินเรื่องอะไรมาเล็กน้อยน่ะ เลยอยากสอบถามให้มั่นใจเสียหน่อย จะว่าไป…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับไม่เคยสื่อสารกับครอบครัวหลี่มาแต่ไหนแต่ไรแล้วสินะ”
แม่โจวส่ายหน้า ท่านหญิงชราเกลียดครอบครัวหลี่จะตาย เรื่องราวก็ประจักษ์ชัดขนาดนี้แล้ว ยังจะมีอะไรให้พูดอีกหรือ
หลินหลันถอนหายใจ แล้วจึงบอกกล่าวให้แม่โจวออกไปก่อน แม่โจวกลับหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นออกมาอ้อมอก “นี่เป็นสิ่งที่นายท่านลุงให้คนส่งมาให้เจ้าค่ะ”
หลินหลันเอื้อมมือออกไปรับแล้วเปิดมันดู ที่แท้ก็เป็นเรื่องที่เยี่ยซินเอ๋อร์กำลังจะแต่งงานแล้วนั่นเอง ทันใดนั้นคิ้วที่เคยขมวดกันจนเป็นปมก็คลี่ออก นี่มันช่างเป็นเรื่องที่ดีเสียจริง!
“วันมะรืนนี้เป็นวันหยุดของเอ้อร์เส้าเหยียพอดี แม่โจว ท่านช่วยเตรียมของขวัญตามธรรมเนียมปฏิบัติของตระกูลเยี่ยไว้ให้ทีนะ เอาแค่พอประมาณก็พอ” หลินหลันกล่าวสั่งการด้วยรอยยิ้มบางๆ
แม่โจวกล่าวภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม “เดี๋ยวบ่าวจัดให้เจ้าค่ะ”