ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 122 หุนหันพลันแล่น
เมื่อไปถึงห้องบัญชี ด้วยความเดือดดาลนางฮานจึงว่ากล่าวนายซุนผู้ดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายของตระกูลเป็นอันดับแรก
“โง่เง่าไร้มันสมอง ค่าใช้จ่ายของเอ้อร์เส้าเหยียเจ้าก็ยังบังอาจกะยักไว้ไม่ยอมจ่าย เจ้าจะพลัดวันประกันพรุ่งผู้ใดก็ได้แต่ต้องมิใช่เอ้อร์เส้าเหยีย…”
นายซุนถึงกับเหงื่อตก เขายกสองมือขึ้นมาประสานกันแล้วโค้งคำนับครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะกล่าวออกมา “ข้าน้อยมิบังอาจขอรับ เพียงแต่ในบัญชีไม่มีเงินเพียงพอสำหรับการจ่ายจริงๆ ขอรับ”
“ต่อให้หมุนเงินไม่ทันก็ต้องคิดวิธีโยกย้ายเงินออกมา จะเดือดร้อนส่วนใดก็ได้แต่อย่าให้เอ้อร์เส้าเหยียต้องเดือดร้อนไปด้วย” นางฮานกล่าวอย่างเด็ดขาด
“ฮูหยินขอรับ ทว่าจำนวนเงินก้อนนั้นของเอ้อร์เส้าเหยียมิใช่น้อยๆ หากไม่มากไม่มาย ข้าน้อยก็ยังพอโยกย้ายส่วนอื่นมาโปะได้ แต่นี่มันจนปัญญาจริงๆ ขอรับ ที่ดินแปลงใหม่ก็เพิ่งซื้อ…” นายซุนระบายความอัดอั้นตันใจ
“เอาล่ะๆ ช่วยพูดประโยคไร้สาระซึ่งมันไม่ช่วยอะไรให้น้อยๆ หน่อย” นางฮานรีบตัดบทคำพูดของนายซุน พร้อมกับตวัดสายตาดุดันใส่
นายซุนเมื่อรู้ตัวว่าตนเองหลุดปากเสียแล้ว จึงได้แต่ก้มหน้าเงียบงันอย่างเกรงกลัว
หลินหลันรู้สึกตระหนกตกใจขึ้นมาทันที แม่มดชราซื้ออสังหาริมทรัพย์ใหม่? ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าคงเป็นเงินจากผลกำไรห้องแถวร้านค้าและพื้นที่ท้องทุ่งของหมิงอวินในหลายปีที่ผ่านมานี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เงินเหล่านี้ก็จะกลายเป็นทรัพย์สมบัติของนางอย่างถูกต้องและเป็นธรรมไปโดยปริยาย หลินหลันรู้สึกโมโหจนอยากกะอักเลือด
“หลินหลัน เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ไว้ข้าจะให้ชุนซิ่งนำเงินไปมอบให้เจ้า” นางฮานมีอาการร้อนตัวเล็กน้อย ด้วยการรีบผลักไสไล่ส่งหลินหลันให้กลับไป
หลินหลันย่อเข่าลงคาราวะอย่างอ่อนหวาน “เช่นนั้นลูกขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
รอกระทั่งหลินหลันเดินจากไป นางฮานถึงหันมาเอ่ยตำหนินายซุน “ใครใช้ให้เจ้าเอ่ยถึงเรื่องที่ดินต่อหน้าเอ้อร์เส้าหน่ายนายห๊ะ บอกไว้แล้วแท้ๆ ว่าเรื่องนี้ให้ปกปิดเอาไว้ก่อน เรื่องราวยังไม่ทันสำเร็จ…เจ้ากลับปากสว่างขึ้นมา พรุ่งนี้ทุกเรือนในจวนคงเป็นอันได้รับรู้เรื่องกันหมดพอดี”
นายซุนปาดเหงื่อพลางกล่าวอย่างสำนึกผิด “เป็นข้าน้อยที่สัพเพร่าเองขอรับ ข้าน้อยสมควรตาย…”
นายซุนรู้สึกหวาดกลัวอย่างจริงจัง การที่นายหญิงให้ปิดบังเอาไว้ก็ด้วยเกรงว่าสะใภ้รองและคุณชายรองของบ้านจะรับรู้เข้า ทว่าเขาดันหลุดปากออกมาจนได้ หากด้วยเหตุนี้กลายเป็นการทุบชามข้าวตนเอง เช่นนั้นก็คงแย่น่าดู
หลินหลันเดินออกมาจากห้องบัญชีด้วยความอึดอัดใจ เงินเหล่านี้ถูกเปลี่ยนไปเป็นอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ชื่อของแม่มดชรา การจะทวงคืนกลับมาคงไม่ง่ายได้อีกแล้ว มิน่าล่ะแม่มดชราถึงต้องการปกปิดมันไว้ ไม่ได้การล่ะ ต้องคิดวิธีตรวจสอบสักหน่อยเพื่อดูว่ายังพอมีหนทางแก้ไขได้หรือไม่
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ครานี้ฮูหยินคงไม่เบี้ยวอีกแล้วใช่ไหมเจ้าคะ” หรูอี้กล่าวด้วยความไม่วางใจ
หลินหลันถอนหายใจออกมา เมื่อเทียบกับผลกำไรในหลายปีที่ผ่านมา จำนวนเงินก้อนนี้กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
“เร็วเข้า วันนี้ต้องเก็บกวาดบ้านให้เรียบร้อย…”
หลินหลันเงยหน้ามองและเห็นว่าแม่เหยากำลังพาคนจำนวนหนึ่งมุ่งไปยังบ้านขนาดเล็กซึ่งอยู่ด้านข้างเรือนเวยอวี่
“หรูอี้ บ้านนั่นมิใช่ปล่อยว่างมาโดยตลอดหรอกหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ! หรือว่าจะมีแขกมาในจวนของเราเจ้าคะ” หรูอี้ตงิดใจ
หลินหลันแสยะยิ้ม “แขกเช่นนั้นหรือ ปกติแล้วต่อให้มีแขกมาก็มิใช่จะพักอาศัยในบ้านหลังนี้เช่นกัน เจ้าไม่เห็นหรือว่านี่มันอยู่ติดกับเรือนเวยอวี่มากที่สุด”
หรูอี้งุนงง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “หรือว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงเจ้าคะ ฮูหยินจึงเตรียม…”
นี่คงไม่ต้องเอ่ยให้มากความแล้วกระมัง แน่นอนว่าหลานทั้งคนต้องมีความสำคัญกว่าอยู่แล้ว
ภายในตลาดสดช่วงเช้าของวันนี้ หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งพร้อมสาวใช้สองคนกำลังคัดสรรผักกาดขาว ระหว่างนั้นก็ได้ยินผู้หญิงสองคนที่กำลังนั่งยองๆ หยิบมันฝรั่งพูดคุยกัน
“เจ้านายที่ข้ารับใช้ผู้นั้น จะว่าไปแล้วก็มีชะตาชีวิตที่ไม่เลวเลยจริงๆ ได้พบคุณชายที่น่าหลงใหลเสียขนาดนั้น และไม่ทันไรก็ตั้งท้องขึ้นมาแล้ว นายหญิงชราของตระกูลนั้นพอได้ยินว่ามีหลานอยู่ในท้อง ก็รีบตอบรับและแต่งตั้งให้นางเป็นอนุภรรยาทันที” ผู้หญิงใบหน้ากลมในวัยประมาณสามสิบกว่าๆ กล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน
“ตระกูลไหนหรือ” ผู้หญิงใบหน้าเรียวยาวอีกคนกล่าวด้วยความสงสัย
ผู้หญิงใบหน้ากลมกรอกตาไปมาราวกับกำลังตัดสินใจ ก่อนจะหันมองซ้ายมองขวาแล้วเอ่ยอย่างลับๆ ล่อๆ “ข้าจะบอกเจ้าให้ แต่เจ้าอย่าได้พูดออกไปเชียว”
ผู้หญิงใบหน้าเรียวยาวกล่าวอย่างกระตือรือร้น “ไม่บอกๆ คนอย่างข้าเจ้ายังมิเชื่อใจกันอีกหรือ”
“ก็ตระกูลหลี่…ครอบครัวหลี่รองเสนาบดีกรมคลังยังไงล่ะ”
หญิงวัยกลางคนที่กำลังเลือกผักกาดขาวถึงกับมือหยุดชะงักและหันมาตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ
“เช่นนั้นก็ดีเลยสิ! เจ้าก็จะได้ติดตามเจ้านายไปยังครอบครัวตระกูลใหญ่โตแล้วสินะ” ผู้หญิงที่มีใบหน้าเรียวยาวกล่าวขึ้นภายใต้สีหน้ายินดีปรีดา
ผู้หญิงใบหน้ากลมจีบปากจีบคอบ่น “มีอะไรดีเสียที่ไหนกัน ได้ยินมาว่าตระกูลหลี่เคร่งครัดกฎระเบียบอย่างยิ่ง กระทั่งกินข้าว หลานสะใภ้ยังต้องคอยยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง ได้ใช้ชีวิตสบายๆ เสียที่ไหนเล่า…”
“ไม่กระมัง! เรื่องประเภทนี้มีแค่แม่สามีใจร้ายหรือไม่ก็ครอบครัวเล็กๆ ทั่วไปที่อยากจะทำอย่างที่ครอบครัวใหญ่ๆ เขาทำกันบ้างเท่านั้นแหละ ครอบครัวที่เป็นของแท้ดั่งเดิมจะปฏิบัติต่อสะใภ้เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
“ก็นั่นน่ะสิ ครอบครัวประเภทนี้ ข้าไม่อยากไปนักหรอก แต่ก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดี” ผู้หญิงใบหน้ากลมกล่าวอย่างอ่อนใจ
ทั้งสองชั่งมันฝรั่งแล้วจึงเดินไปยังบริเวณอื่น
หญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ วางผักกาดขาวลงแล้วหันไปสั่งการสาวใช้ทั้งสอง “พวกเจ้าเลือกซื้อผักตามใบรายการที่ระบุไว้ให้ครบถ้วน ข้ามีเรื่องด่วนต้องกลับไปจวนก่อน”
ชั่วครู่ถัดมา ผู้หญิงทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตรอกซอยเปลี่ยวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดสดเมื่อครู่
“จัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยถามทั้งสองด้วยเสียงทุ้มต่ำขณะหันหลังให้
“นำคำพูดของคุณชายที่สั่งไว้พูดให้หญิงชราในจวนติงรับฟังแล้วเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่านางวางผักลงภายใต้สีหน้าที่เปลี่ยนไป แล้วก็รีบร้อนเดินไปแล้วเจ้าค่ะ”
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปโดยใจกลางฝ่ามือมีเงินจำนวนสองเหลี่ยง “วันหน้าวันหลังไม่ต้องมาตลาดนี่อีก”
ทั้งสองรับเงินเอาไว้อย่างดีอกดีใจแล้วทำท่าทางคาราวะครั้งแล้วครั้งเล่า “ขอบคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ ขอบคุณเจ้าค่ะ…”
ช่วงบ่าย หลินหลันล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยตั้งใจว่าจะนอนกลางวันสักงีบ สองวันมานี้นางหลับไม่สนิทเอาเสียเลย นอกจากนี้ร่างกายยังรู้สึกอ่อนเพลีย จึงจำเป็นต้องหลับเอาแรงอย่างเร่งด่วน ทว่าในใจก็ดันมีเรื่องที่ทำให้แม้อยากข่มตาหลับเพียงใดก็หลับไม่ลง เรื่องนี้มันเกินความสามารถของนาง แม้อยากจะสืบเสาะก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เห็นทีว่าคงต้องถามหมิงอวินดูว่าเขาจะมีหนทางอะไรบ้างหรือไม่
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ…” หยินหลิ่วตะโกนเรียกนาง
“มีเรื่องอันใด” หลินหลันถามอย่างเนื่องหน่าย
“จิ่นซิ่วมีเรื่องต้องการแจ้งให้ทราบเจ้าค่ะ”
หลินหลันดีดตัวลุกขึ้นนั่งและจัดผมเพร่า “ในนางเข้ามา”
จิ่นซิ่วเดินเข้ามาแล้วย่อตัวคาราวะภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ มิใช่ท่านให้ข้าน้อยคอยสอดส่องความเคลื่อนไว้ในจวนช่วงหลายวันนี้หรือเจ้าคะ”
หลินหลันชายตามองนาง “อย่ามัวพูดพร่ำทำเพลง รีบพูดมาเร็วเข้า”
จิ่นซิ่วเอ่ยหน้าระรื่น “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ฮูหยินตระกูลติงมาแล้วเจ้าค่ะ ได้ยินว่าฮูหยินมาพร้อมกับท่าทีเกรี้ยวกราดด้วยเจ้าค่ะ…”
หลินหลันแอบตกตะลึง ติงฮูหยินมีนิสัยใจร้อนไม่เบาเลยสินะ! ถึงได้มาเยือนทันทีที่รับรู้ข่าวคราว คิดว่านางจะเรียกติงหลั้วเหยียนกลับไปสักถามหาความจริงเสียหน่อยแล้วหลังจากนั้นค่อยคิดแผนระยะยาวเสียอีก
“เจ้าก็เลยดีใจเช่นนั้นหรือ ดีอกดีใจในความโชคร้ายของผู้อื่นเนี่ยหรือ” หลินหลันกล่าวเชิงตำหนิ
จิ่นซิ่วตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างไร้เดียงสา “ข้าน้อยคิดว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายเดาถูกแล้วเจ้าค่ะ ก็นี่มันเป็นเรื่องที่สมควรจะดีใจหนิเจ้าคะ”
หลินหลันอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “รีบไปดูหน่อยสิ ว่าทางด้านนั้นมีอะไรสนุกๆ แล้วรีบกลับมาบอกข้า”
ดวงตาสายลับตัวน้อยของจิ่นซิ่วลุกประกาย นางหัวเราะคิกคักขานรับแล้วรีบออกไป
ได้แต่หวังว่าติงฮูหยินจะจัดให้เต็มเหนี่ยว ทำให้หญิงชราและแม่มดชราได้รู้สึกเสียบ้าง และจะเป็นการดีที่สุดหากใช้โอกาสนี้ทำลายกฎระเบียบบ้าบอเหล่านั้นไปเสีย
ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมงจิ่นซิ่วถึงกลับมา “ต้าเส้าหน่ายนายถูกติงฮูหยินพากลับไปเจ้าค่ะ ฮูหยินตามไปจนถึงประตูชั้นรอง หลังจากนั้นพวกนางก็พูดคุยอะไรกันซึ่งข้าน้อยไม่อาจรับรู้ได้ ทว่าข้าน้อยเห็นติงฮูหยินหน้าบึ้งตึงและหาได้สนใจคนเหล่านั้นไม่ ระหว่างนั้นต้าเส้าหน่ายนายก็ร้องไห้ลูกเดียวเลยเจ้าค่ะ…”
ในที่สุดก็ได้ฟังข่าวคราวชวนตื่นเต้นบ้างเสียที ติงฮูหยินช่างทระนงองอาจ! ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น แต่อย่างว่าในเมื่อบุตรสาวของตนโดนผู้อื่นรังแกจนปางตาย แล้วยังจำเป็นต้องไว้หน้าเจ้าอีกหรือ สำหรับตระกูลเกี่ยวดองที่ไร้จิตสำนึกเช่นนี้ ก็สมควรอย่างยิ่งและจะเป็นการดีที่สุดหากท่านผู้ตรวจราชการมณฑลมามีส่วนร่วมในศึกครั้งนี้ด้วย
ระหว่างกำลังสนทนากันอยู่นั้น หยินหลิ่วซึ่งอยู่ด้านนอกก็ส่งเสียงเข้ามา “แม่จู้มาขอพบเจ้าค่ะ”
หลินหลันโบกมือปัดเป็นสัญญาณให้จิ่นซิ่วรีบถอยไปด้านข้าง ส่วนตนเองหันไปคว้าหนังสือมาหนึ่งเล่ม ก่อนจะกล่าวออกไป “รีบเชิญเข้ามาสิ”
แม่จู้เข้ามาพร้อมกับสีหน้าลนลาน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เหล่าไท่ไทเป็นลมเจ้าค่ะ เรียนเชิญเอ้อร์เส้าหน่ายนายรีบไปช่วยดูอาการทีนะเจ้าคะ”
หลินหลันแสร้งเล่นใหญ่โดยทำหนังสือร่วงหล่นบนพื้น “ยังดีๆ อยู่เลยแล้วเหตุใดถึงเป็นลมไปได้ เร็วเข้า หยินหลิ่วไปแบกกล่องยามา พวกเราไปโถงจาวฮุยกันเดี๋ยวนี้เลย”
หลินหลันเอ่ยถามขณะที่ทั้งสามคนกำลังเดินมุ่งหน้าไป “เหตุใดท่านย่าถึงเป็นลมไปได้หรือ ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม่จู้ท่านต้องบอกให้ข้ารับรู้อย่างละเอียด ข้าจะได้ทำความเข้าใจไว้บ้าง”
แม่จู้เอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “เป็นเพราะติงฮูหยินฝั่งตระกูลเกี่ยวดองมาเจ้าค่ะ หลังจากนั้นก็พูดจาด้วยคำพูดไม่พึงปรารถนาเพื่อเรื่องเล็กๆ บางเรื่อง จึงทำให้เหล่าไท่ไทที่เมื่อคืนก็หลับพักผ่อนไม่เต็มที่ พอมาเจอเรื่องเช่นนี้…ก็เลยเป็นลมล้มพับไปเจ้าค่ะ”
พูดจาด้วยคำพูดไม่พึงปรารถนาเพื่อเรื่องเล็กๆ บางเรื่องเช่นนั้นหรือ หลินหลันแสยะยิ้มภายในใจ เห็นทีว่าสถานการณ์จริงจะดุเดือนใช่เล่น มิเช่นนั้นหญิงชราจะโกรธจนถึงขั้นเป็นล้มไปเชียวหรือ
“ก่อนหน้านี้ท่านย่ามีอาการป่วยอะไรบ้างหรือไม่”
“มิเคยมีเจ้าค่ะ…” แม่จู้กล่าว
หลินหลันเร่งฝีก้าวยิ่งขึ้น ท่านย่าด้วยวัยปูนนี้เป็นลมขึ้นมาสิ่งที่เกรงกลัวที่สุดก็คืออาจเป็นอาการจากหลอดเลือดสมอง เหตุใดถึงไม่เป็นแม่มดชราที่เป็นลมล้มไปนะจะได้ฝังเข็มให้นางเป็นอัมพฤกษ์นอนติดเตียงไปตลอดกาลเสียเลย ทว่าคนประเภทไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนขนาดที่มีดดาบยังฟันไม่เข้าประเภทนี้ การต่อสู้ระดับทั่วไปคงทำอะไรไม่ได้
จนกระทั่งหลินหลันไปถึงโถงจาวฮุย นางฮานและนางอวี๋กำลังร้อนใจจนสติกระเจิดกระเจิง นางอวี๋ร้องเรียก “ท่านแม่” ทั้งน้ำตาด้วยสีหน้าทุกข์ระทม เสมือนกับหญิงชราจากโลกนี้ไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“หมอล่ะ เหตุใดหมอถึงยังไม่มาอีก…” นางฮานกล่าวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย
แม่จู้เดินเข้าไปเบื้องหน้า “ฮูหยินเจ้าคะ ให้คนไปเรียนเชิญหมอมาแล้วเจ้าค่ะ ทว่าอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งกว่าจะมาถึง บ่าวนึกขึ้นได้ว่าเอ้อร์เส้าหน่ายนายก็มีทักษะการรักษาจึงไปเรียนเชิญเอ้อร์เส้าหน่ายนายมาก่อนเจ้าค่ะ”
นางฮานชายตามองไปยังหลินหลันแล้วจึงเอ่ยกับแม่จู้ “อย่างไรก็ตามรีบเร่งหมอมาให้เร็วที่สุดจะดีกว่า”
นางอวี๋เมื่อเห็นหลินหลันมาด้วยจึงกล่าวสวนขึ้นทันควัน “หลินหลัน เจ้ามาพอดีเลย รีบเข้ามาดูท่านย่าของเจ้าเร็วเข้าว่าเป็นอันใดไป จู่ๆ ก็เป็นลมล้มพับไป เรียกอย่างไรก็ไม่มีการตอบสนองทั้งสิ้น…”
หลินหลันมองไปยังนางฮานและกล่าวเสียงอ่อน “ท่านแม่ เรื่องนี้เร่งด่วน ยังไงก็ให้ลูกลองดูก่อนนะเจ้าคะ! หากมัวชักช้าอยู่อาจทำให้อาการป่วย…”
นางอวี๋ดึงนางเข้ามา “เร็วเข้าๆ อย่ามัวรีรออยู่เลย”
หลินหลันเปิดเปลือกตาหญิงชราเพื่อตรวจดูอาการ ยังดีที่รูม่านตาไม่ได้ขยายใหญ่และไม่มีเลือดคั่งตามเส้นเลือดฝอยแต่อย่างใด หลังจากนั้นจึงหันไปจับชีพจรซึ่งให้สัมผัสเสมือนกำลังจับสายพิณที่มีความแข็งและทรงพลัง หลินหลันเบาใจขึ้นเล็กน้อยด้วยรับรู้ว่ามิใช่อาการขั้นร้ายแรงที่สุด นางให้หยินหลิ่วหยิบเข็มเงินออกมา และฝังเข็มให้หญิงชราสองจุด เพียงชั่วครู่ถัดมาหญิงชราก็ส่งเสียง “อื้ม” ค่อยๆ ได้สติฟื้นคืน
นางอวี๋น้ำตาไหลพรากด้วยความดีใจอย่างยิ่ง “ฟื้นแล้วๆ เหล่าไท่ไท ในที่สุดท่านก็ฟื้นเสียที เล่นเอาลูกตกใจแทบแย่เจ้าค่ะ…”
หญิงชรามึนงงไม่รู้ใครเป็นใคร นัยน์ตายังคงเต็มไปด้วยอาการพร่ามัวและรู้สึกงุนงงอย่างมาก
หลินหลันหันไปกล่าวกับป้าสะใภ้ใหญ่ “ท่านป้าเจ้าคะ ทางที่ดีให้ทุกคนในห้องออกไปก่อนนะเจ้าคะ การที่ทุกคนรายล้อมอยู่ตรงนี้ จะส่งผลให้ท่านย่าหายใจไม่สะดวก หลานเองก็จะได้มีสมาธิมากขึ้นเพื่อช่วยรักษาท่านย่าเจ้าค่ะ”
นางอวี๋เห็นหลินหลันฝังเข็มให้หญิงชราเพียงสองจุดก็ทำให้ฟื้นขึ้นได้ แล้วไฉนจะไม่เชื่อใจนางอีก “ทุกคนรีบออกไปก่อน แม่จู้ เจ้าอยู่กับข้าคอยปรนนิบัติเหล่าไท่ไท” นางอวี๋ด้วยความร้อนรนใจจึงลืมนึกถึงนางฮานไปเสียสนิท
นางฮานซึ่งมีสีหน้าอารมณ์ย่ำแย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอมาตอนนี้หลินหลันกับนางอวี๋ดันเข้ากันเป็นปลี่เป็นขลุ่ย กลับทำเสมือนนางเป็นคนไร้ประโยชน์จึงต้องการขับไล่ออกไป นางอดไม่ได้ที่จะจ้องเขม็งใส่หลินหลัน แม่สามีของตนเองอยู่ด้วยแท้ๆ แต่กลับไปขอความคิดเห็นจากป้าสะใภ้ใหญ่ นี่มิเท่ากับเป็นการจงใจข้ามหน้าข้ามตานางหรอกหรือ ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกโกรธเคืองนางอวี๋อยู่ไม่น้อย หลินหลันแค่ช่วยรักษาอาการนอนตกหมอนให้นางก็เห็นนางเป็นคนกันเองเสียแล้ว ไม่คิดเสียหน่อยว่าการมาของตนในครั้งนี้เพื่อเหตุอันใด ช่างโง่เง่าสิ้นดี