ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 126 คำชี้แจงของท่านลุง
งานเลี้ยงฉลองผ่านไปครึ่งทาง สาวใช้กลับมาแล้วเอ่ยกระซิบกระซาบข้างใบหูนางหวัง หลังจากนั้นนางหวังก็ลุกขึ้นและกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ทุกท่านเชิญตามสบายนะเจ้าคะ ข้าขอตัวก่อนสักประเดี๋ยว หลินหลันช่วยข้าดูแลแขกเรื่อที่นะ”
หลินหลันขานรับอย่างอ่อนน้อม แล้วมองดูนางหวังหายเข้าไปในห้องโถงด้านหลัง สาวใช้เมื่อครู่คงตรวจพบเรื่องอันใดเข้าอย่างแน่นอน
“หญิงชราและสาวใช้ที่คอยเฝ้าประตูชั้นรองทุกบานถูกส่งไปทำงานในส่วนอื่นๆ เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เองเจ้าค่ะ”
“ผู้ใดเป็นคนสั่งการ”
สาวใช้พึมพำ “เป็นต้าเส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ…”
นางหวังได้ยินดังกล่าวก็อดโมโหขึ้นมาไม่ได้ ตั้งแต่นางจัดงานงานเลี้ยงมาไม่เคยมีเรื่องผิดพลาดเช่นนี้มาก่อน นางหรงนี่เกิดเป็นบ้าอันใดขึ้นมาอีก
สาวใช้มีท่าทีลังเลใจก่อนจะกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เมื่อครู่นี้หลิงอินที่อยู่ในห้องของคุณหนูซินเอ๋อร์พาหมอหนึ่งท่านเข้ามาในบ้านเจ้าค่ะ ข้าน้อยเข้าไปขวางแล้วเอ่ยถามสองสามประโยค หลิงอินก็คุกเข่าให้ข้าน้อยแล้วร้องไห้ออกมาพร้อมกับเอ่ยว่าน้องสาวกำลังแย่แล้ว… ข้าน้อยเคลือบแคลงใจว่านางอาจพูดโกหก จึงตามไปถึงอาคารซิ่วโหรว…ผลปรากฏว่า หลิงอวิ้นหน้าผากแตกจนเลือดไหลแล้วหมดสติไป คุณหนูเอ่ยว่าหลิงอวิ้นไม่ทันระวังจึงไปชนเข้ากับมุมหัวโต๊ะ ทว่าข้าน้อยพบสิ่งนี้ตกอยู่บนพื้นเจ้าค่ะ…”
สาวใช้แบมือออก ปรากฏเศษกระเบื้องหนึ่งชิ้นในใจกลางฝ่ามือ
นางหวังสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ บุตรสาวของตนเองมีนิสัยเอาแต่ใจเพียงใด นางรู้ดียิ่งกว่าใครๆ การแต่งงานครานี้ซินเอ๋อร์คัดค้านหัวชนฝา ด้วยเหตุอันใดนั้น นางเองก็รับรู้เช่นกัน ทว่านี่เป็นความประสงค์ของท่านแม่สามี ผู้ใดจะกล้าขัดขืนหรือ หากทำลายเรื่องสำคัญใหญ่หลวงของตระกูลเยี่ย อย่าว่าแต่ซินเอ๋อร์จะแบกรับผลที่ตามมาไม่ไหวเลย กระทั่งนางเองในฐานะผู้เป็นมารดาก็ยากจะหลุดพ้นจากการถูกตำหนิติเตียนไปได้
“หลิงอวิ้นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ และมีหลิงอินคอยดูแลนางอยู่เจ้าค่ะ”
นางหวังกล่าวด้วยน้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “เจ้าไปคอยจับตาดูที่อาคารซิ่วโหรวไว้ อย่าให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก เรื่องนี้อย่าเพิ่งให้เหล่าเหยียรับรู้เข้า ไว้รองานเลี้ยงเลิกราแล้วข้าจะไปเอ่ยถามด้วยตนเอง”
“เจ้าค่ะ…” สาวใช้ขานรับแล้วถอยออกไป
นางหวังสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วชักรอยยิ้มให้ปรากฎขึ้นบนใบหน้าอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป
งานเลี้ยงเพิ่งเลิกรา หลี่หมิงอวินเข้ามาหาหลินหลันก่อนที่ทั้งสองจะพากันไปกล่าวล่ำลานางหวัง เมื่อออกจากจวนเยี่ยไปหลินหลันจึงกล่าวขึ้น “เรายังไม่ได้ล่ำลาท่านลุงเลย จะมิเป็นไรหรือ”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มจางๆ “ข้าบอกกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
หลินหลันลังเลใจชั่วขณะแต่สุดท้ายก็กล่าวขึ้น “เรื่องนั้นจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้หรือ”
หลี่หมิงอวินยังคงเผยรอยยิ้มดั่งเดิม ทว่านัยน์ตากลับเผยความเย็นชาแพร่กระจายออกมา “บางเรื่องที่ปิดบังไว้ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป”
รอจนกระทั่งแขกเรื่องกลับไปจนหมดแล้ว นางหวังถึงได้เรียกนางหรงเข้ามาเพื่อเอ่ยถามนางเป็นอันดับแรก “เป็นเจ้าที่ให้หญิงชราที่ค่อยพลัดเปลี่ยนเฝ้าหน้าประตูชั้นรองไปช่วยงานที่ครัวเช่นนั้นหรือ”
นางหรงร้อนตัวและรีบกล่าวอธิบายหัวชนฝา “ลูกแค่เกรงว่าทางห้องครัวจะยุ่งจนจัดการไม่ทันเจ้าค่ะ…”
นางหวังจ้องมองนางแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันมากขึ้นหลายเท่าตัว “สาวใช้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสวนหลังบ้านก็ได้รับมอบหมายจากเจ้าให้ไปรินน้ำชาใช่หรือไม่”
นางหรงมีสีหน้าตื่นตูมมากยิ่งขึ้น “ลูกแค่…แค่เห็นว่ามีแขกเป็นจำนวนมากเจ้าค่ะ…”
นางหวังขึ้นเสียงสูงตะคอกออกไป “เจ้ายังเตรียมเรื่องไร้สาระไว้ปกปิดข้าอีกเท่าใด”
ใบหน้าขาวนวลของนางหรงกลับแดงกล่ำและไม่กล้าโต้แย้งใดๆ ขึ้นมาอีก
“หากเจ้าตั้งใจจริงที่จะช่วยข้าแบ่งเบาภาระ ต่อให้ทำได้ไม่ดีข้า ข้าก็จะไม่ตำหนิเจ้าแม้แต่นิดเดียวเพราะมิใช่ผู้ใดเกิดมาก็จะเป็นแม่บ้านแม่เรือนได้ทันที ทว่าเจ้าทำลงไปด้วยเหตุอันใดกันแน่ ความสัมพันธ์ของเจ้ากับซินเอ๋อร์ที่มีต่อกันมายาวนานหลายปี และตอนนี้ก็ได้ตบแต่งเข้ามาอยู่ในสถานะพี่สะใภ้น้องสะใภ้กัน นี่ถือว่าเป็นเรื่องดีงาม ทว่าเจ้าก็ไม่สามารถทำอันใดตามที่นางต้องการอยู่ตลอดเช่นนี้ เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่นี่เป็นการช่วยเหลือนางเช่นนั้นหรือ เจ้ากำลังทำร้ายนางต่างหาก เจ้าก็ไม่ไตร่ตรองเสียหน่อยว่าหากเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต ซินเอ๋อร์จะมีหน้าไปเจอผู้ใดได้อีก จะอธิบายกับตระกูลร่วนได้อย่างไร แล้วยังเป็นการสร้างความลำบากให้แก่หมิงอวินอีกเท่าใดเจ้าเคยนึกบ้างหรือไม่ เรื่องเหล่านี้ยังไม่เท่ากับเจ้าเองก็รู้ทั้งรู้ว่างานแต่งครานี้ผู้ใดเป็นคนจัดหา เจ้าคิดว่าการแต่งงานหากล้มเหลวไป เรื่องเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการในปีหน้าจะเป็นผลสำเร็จได้เช่นนั้นหรือ ความเหน็ดเหนื่อยของเหล่าเหยียและซือเฉิงที่พยายามกันมาสามปีนี้ก็จะเป็นอันสูญเปล่ารู้ไว้ด้วย…” นางหวังตำหนิชุดใหญ่จนรู้สึกปวดหัวจนแทบระเบิด
นางหรงหน้าเสียและรู้สึกละอายแก่ใจมากยิ่งขึ้น ด้วยเห็นน้องสามีร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาน นางจึงใจอ่อนจนเกือบกระทำความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง
มองดูนางที่กำลังเผยสีหน้าละอายแก่ใจ นางหวังจึงค่อยๆ ผ่อนอารมณ์โกรธที่มีลง “ยังดีที่วันนี้ไม่เกิดเรื่องบ้าบอนั่นขึ้น มิเช่นนั้นล่ะก็ เจ้าเองก็รู้ว่าพ่อตาเจ้ามีนิสัยใจคออย่างไร”
นางหรงกล่าวเสียงสั่นคลอน “ลูกสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ”
“ไว้รอต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ซินเอ๋อร์ก็ต้องออกเรือนไปแล้ว หากเจ้าหวังดีต่อนางด้วยใจจริง ก็โน้มน้าวนางให้มากๆ เข้าไว้ หากคิดรวมหัวเล่นตุกติกอันใดขึ้นมาอีก ข้าจะไม่ให้อภัยอย่างแน่นอน” นางหวังกล่าวสั่งสอนด้วยเสียงดุดัน
นางหรงพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ลูกมิบังอาจแล้วเจ้าค่ะ”
เดิมทีนางหวังยังอยากสั่งสอนอีกสักชุด แต่กลับเห็นผู้เป็นสามีเดินหน้านิ่งเข้ามา นางฮานรู้สึกตื่นตกใจขึ้นมาทันทีทันใด ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เขาจะได้ยินที่ตนเองสั่งสอนนางหรงไปหรือไม่
เยี่ยเต๋อฮ๋วยชายตามองไปยังนางหรงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นภายใต้สีหน้าสลด ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “หลานสะใภ้เป็นอย่างไรบ้าง”
นางหวังประหลาดใจกับคำถามดังกล่าว “อะไรที่ว่าเป็นอย่างไรหรือ ก็มิได้เป็นอันใดหนิเจ้าคะ!”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยขมวดคิ้ว “มิใช่ว่านางไม่ค่อยสบายหรอกหรือ”
นางหวังกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใครว่าเจ้าคะ มิได้เป็นอันใดเลยสักนิดเจ้าค่ะ…” เมื่อพูดไปได้ครึ่งทางรอยยิ้มของนางอวี้ก็หุบลงและมองไปยังผู้เป็นสามีด้วยอาการลนลาน ด้วยเกรงว่าผู้เป็นสามีจะไปรับรู้เรื่องอะไรเข้าแล้ว
เยี่ยเต๋อฮ๋วยมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งขึ้น เมื่อครู่คำพูดที่หมิงอวินเอ่ยมีนัยยะและคลุมเครืออย่างมาก
“เมื่อก่อนหน้ามีคนมาบอกกล่าว โดยเอ่ยว่าจู่ๆ หลินหลันก็ไม่สบายขึ้นมา…เดิมทีหมิงอวินก็ว่าจะไปดูอาการเสียหน่อย ต่อมานึกขึ้นได้ว่าหลินหลันเองเป็นหมออยู่แล้ว อีกอย่าง หากไม่สบายจริงๆ ยังมีป้าสะใภ้คอยช่วยดูแล…ทว่าในใจของหลานก็ยังคงอดเป็นห่วงไม่ได้ เลยอยากรีบพาหลินหลันกลับไปพักผ่อนโดยเร็วไวจะดีกว่า…”
เมื่อครู่ดันได้ยินนางหวังอบรมลูกสะใภ้เช่นนั้นอีก พอนำเรื่องมาประติบประต่อกันก็พอจะเป็นอันเข้าใจถึงความเป็นจริงขึ้นมาได้ นางหรงผลักไสคนอื่นออกมาก่อน หลังจากนั้นซินเอ๋อร์สร้างเรื่องลวงว่าหลินหลันไม่สบาย เพื่อหลอกหมิงอวินไปหา หากหมิงอวินถูกหลอกเข้า เกรงว่าซินเอ๋อร์คงจะทำเรื่องที่สามารถทำให้เขาถึงขั้นกระอักเลือดขึ้นมาได้ เวลานี้ภายในใจของเยี่ยเต๋อฮ๋วยจึงคับคั่งไปด้วยอารมณ์โทสะ เขาตบมือลงไปบนโต๊ะดัง ‘ปึง’ แล้วลุกขึ้นยืน สะบัดชายชุดอย่างแรงแล้วสาวท้าวยาวเดินมุ่งออกไป
นางหวังรีบเร่งตามไปติดๆ “เหล่าเหยีย ท่านจะไปไหนหรือ”
หลินหลันและหลี่หมิงอวินเมื่อกลับมาถึงจวนหลี่ก็ไปพบพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเป็นอันดับแรก ปรากฏว่าได้รับแจ้งให้ทราบว่าพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายคุกเขาเป็นเพื่อนหมิงเจ๋ออยู่ตลอดทั้งคืน และกลับเป็นหลี่หมิงเจ๋อที่เดินโซซัดโซเซไปยังจวนติงเสียแล้ว
เฮ้อ! กลับเป็นความซวยของพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอาย ครั้งนี้คงอับอายขายหน้าไม่เหลือชิ้นดี แต่จะโทษผู้ใดได้ล่ะ เช่นนี้ที่เขาเรียกกันว่าลูกไม้ตกไม่ไกลต้น หลินหลันรู้สึกเอือมระอา ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าหมิงอวินก็เป็นลูกไม้ของท่านพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายเช่นกันนี่ จึงอดชายตามองไปที่เขาไม่ได้ แสงพระอาทิตย์อันแสนอบอุ่นท่ามกลางฤดูหนาวอันเย็นยะเยือกกระทบลงบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ทำให้เขายิ่งดูอบอุ่นและสง่างามมากยิ่งขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าบรรพบุรุษบางคนของต้นตระกูลหลี่ได้สะสมคุณงามความดีอันน้อยนิดไว้ในตอนที่ยังมีชีวิต จึงยังพอโชคดีหลงเหลือต้นกล้าอันแข็งแกร่งและมีความสามารถไว้ให้ตระกูลหลี่หนึ่งต้น
ทั้งสองมุ่งไปยังห้องของหญิงชราเป็นลำดับถัดไป ซึ่งนี่ก็เป็นอีกกฎระเบียบที่กำหนดไว้ว่า จะออกไปไหนมาไหนต้องล่ำลาและบอกกล่าวให้ทราบ
หญิงชรามีสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าเมื่อว่าเล็กน้อย แต่ยังดูไม่ค่อยมีกะจิตกะใจเท่าไหร่นัก จึงถามไถ่เพียงไม่กี่ประโยคก็ให้ทั้งสองกลับไปได้
ใกล้ถึงช่วงเวลามื้อค่ำ ชุ่ยจือสาวใช้ข้างกายแม่มดชรามาส่งข่าวว่าหญิงชราไม่ค่อยสบาย จึงให้ทุกคนแยกย้ายรับประทานอาหารกันเอง
เป็นไปดั่งความคาดหวังของหลินหลัน นานมากแล้วที่ไม่ได้รับประทานอาหารอย่างสุขสงบ นางให้กุ้ยซ่าวทำอาหารจำนวนหลายอย่างที่อยากรับประทานมาให้
ระหว่างกำลังรับประทานอาหารอยู่นั้น จิ่นซิ่วเข้ามารายงานโดยเอ่ยว่าสะใภ้ใหญ่ของบ้านกลับมาแล้ว
หลินหลันเมื่อได้ยินดังกล่าวก็มองไปที่หลี่หมิงอวิน “ข้าคิดว่าตระกูลติงจะเล่นตัวสักระยะเสียอีก คาดไม่ถึงว่าจะยอมใจอ่อนไวปานนี้”
หลี่หมิงอวินดื่มน้ำแกงภายใต้อากัปกิริยาอันสง่างาม ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉย “ตระกูลติงพาตัวนางกลับไปก็เพื่อต้องการให้ตระกลูหลี่ทำอะไรสักอย่าง ขอเพียงตระกูลหลี่รับปากว่าจะไม่ให้ปี้หรูเหยียบเข้าบ้าน ไม่ให้เด็กในท้องปี้หรูขึ้นชื่อว่าเป็นหลานของตระกูลหลี่ ตระกูลติงก็เป็นอันยอมอ่อนข้อแล้วล่ะ และการจะโวยวายไปถึงขั้นหย่าร้างกันจริงๆ มีแต่จะพาลให้ทั้งสองฝ่ายเสียหน้า และผู้ที่ขาดทุนมากที่สุดก็คือพี่สะใภ้ใหญ่”
หลินหลันครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ติงฮูหยินจะเสนอให้ตระกูลหลี่ยกเลิกกฎไร้สาระเหล่านั้นหรือไม่ นี่สิเป็นเป้าหมายสูงสุดของนาง
หลี่หมิงอวินโบกมือเป็นสัญญาณในจิ่นซิ่วออกไป
“เจ้าว่าแม่มดชราจะจัดการปี้หรูอย่างไรหรือ” หลินหลันกล่าวถาม ความจริงแล้วก็พอเดาได้ แม่มดชราคนจิตใจอำมหิตเช่นนั้น ใครเป็นเสี้ยนหนามนาง นางไม่มีทางปล่อยเอาไว้อย่างแน่นอน ปี้หรูใช้เด็กในท้องของนางเป็นเครื่องมือ เมื่อใดที่ตระกูลหลี่ตัดสินใจว่าจะไม่เอาเด็กคนนี้ไว้ เจ้าซึ่งมีตัวตนเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาๆ ผู้หนึ่งยังจะสามารถทำอันใดได้อีก ความหายนะกำลังไปเยือนปี้หรูเสียแล้ว
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้วเล็กน้อย “นี่มิใช่เรื่องที่เราต้องเป็นกังวลไป”
ปี้หรูน่าสงสารหรือ หากมิใช่นางจงใจใช้แผนการเช่นนี้ ก็คงไม่ตรงมาอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว จะว่าไปแล้ว เด็กที่ไม่มีโอกาสได้ลืมตามาดูโลกนั่นต่างหากที่โชคร้ายมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม หนึ่งชีวิตที่ไม่ได้เกิดจากความยินดีปรีดา จนเรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่ไม่อาจถูกยอมรับได้ การไม่ต้องกำเนิดเกิดมาบนโลกนี้ยังจะเป็นทางเลือกที่ดีเสียกว่า มิใช่ว่าเขาเลือดเย็น เพียงแต่มันคือความเป็นจริง
บรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นหม่นหมองขึ้นมาเล็กน้อย หลินหลันอยากผ่อนคลายบรรยากาศให้ดีขึ้น จึงเอ่ยถามหน้าระรื่น “เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวเราไปแสดงความห่วงใยสักหน่อยดีหรือไม่”
หลี่หมิงอวินกล่าวโดยอมยิ้มเล็กน้อย “เจ้าอยากไปแสดงความห่วงใยจริงๆ หรืออยากไปดูความสนุกเท่านั้น”
หลินหลันกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “แน่นอนว่าเพื่อแสดงความห่วงใยสิ แต่ว่าหากมีเรื่องสนุกๆ ให้ดูก็เป็นผลพลอยได้ล่ะนะ!”
หลี่หมิงอวินอดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปบีบแก้มของนาง “รีบกินเร็วเข้า”
“กินเสร็จแล้วเราค่อยไปกันใช่หรือไม่” ดวงตากลมโตคู่สวยของหลินหลันเปล่งประกายระยิบระยับ มองไปที่เขาด้วยความคาดหวัง
หลี่หมิงอวินส่งเสียงฮึฮึ “วันนี้ยังมิได้ฝึกฝนคัดตัวอักษรเลย! เจ้าคอยช่วยฝนหมึกให้ข้าจะดีกว่า”
หลินหลันรู้สึกโกรธขึ้นมาชั่ววูบ “มิใช่เจ้าเอ่ยว่าหากข้าอยู่ข้างๆ เจ้าก็จะเขียนได้ไม่ดีมิใช่หรือ ข้าว่าข้าไม่รบกวนเจ้าจะดีกว่า”
“นี่แสดงให้เห็นว่าทักษะความจดจ่อของข้ายังไม่ดีพอ จึงจำเป็นต้องฝึกฝนให้มากเข้าไว้ เมื่อใดที่ข้าสามารถเมินเฉยต่อเจ้าได้ การประดิษฐ์ตัวอักษรของข้าจะสามารถก้าวไปอีกขั้นได้อย่างแน่นอน” หลี่หมิงอวินกล่าวหน้าเลิศหน้าลอย
หลินหลันถลึงตากลมโตใส่ “เจ้ากล้าหรือ”
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หลี่หมิงอวินไปยังสำนักฮ่านหลิน ส่วนหลินหลันไปฉิ่งอานตามธรรมเนียมปฏิบัติ เมื่อเข้าไปถึงนางเห็นแม่มดชรากำลังเกาะแขนติงหลั้วเหยียนอย่างใกล้ชิดระหว่างพูดคุยกัน
“ครานี้ทำให้เจ้าได้รับความทุกข์ใจเสียแล้ว หมิงเจ๋อเองก็ถูกท่านพ่อเข้าอบรมสั่งสอนอย่างรุนแรกง กระทั่งท่านย่าก็ยื่นคำขาดอย่างดุดันกับเขาไปแล้วว่าหากกระทำผิดอีกจะไม่นับเขาเป็นหลานชายอีกต่อไป…”
เมื่อเห็นหลินหลันเข้ามา แม่มดชราจึงชะงักคำพูดไว้เพียงเท่านั้นและเผยสีหน้าไม่เป็นมิตรขึ้นมา “กำลังรอเจ้าอยู่คนเดียว…”
หลินหลันมองดูนาฬิกาไขลาน ก็มาเวลานี้อยู่ทุกวัน! ที่ผ่านมาเจ้าพูดอยู่เสมอว่าเช้าไปๆ พอวันนี้ลูกสะใภ้คนโตมาไวไปแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็กลายเป็นสายไปแล้วเช่นนั้นหรือ นั่นสินะถึงได้เรียกว่าเป็นลูกสะใภ้แท้ๆ หลินหลันรำพึงรำพันในใจ ขณะเดียวกันก็เผยรอยยิ้มจางๆ ขึ้นบนใบหน้าโดยไม่ได้เอ่ยโต้แย้งใดๆ อีกทั้งกับคนอย่างแม่มดชรามีอะไรให้น่าต่อปากต่อคำเสียที่ไหนกัน
เมื่อธรรมเนียมปฏิบัติอันน่าเบื่อสิ้นสุดลง หลินหลันก็กลับไปยังเรือนหลั้วเซี๋ยจาย ทางด้านตระกูลเยี่ยส่งคนมาบอกกล่าว โดยเอ่ยว่าเยี่ยซินเอ๋อร์และนางหรงถูกกักบริเวณไปจนกว่าเยี่ยซินเอ๋อร์จะแต่งงานย้ายออกไป
หลินหลันไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับเรื่องของเยี่ยซินเอ๋อร์และนางหรง เมื่อเทียบกับความผิดที่พวกนางกระทำ การลงโทษเช่นนี้ถือว่าเป็นสถานเบามากแล้ว อย่างไรก็ตามหลินหลันรู้สึกชื่นชมวิธีการปฏิบัติของท่านลุงอย่างมาก ตามหลักแล้วท่านลุงไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวผลลัพธ์ในการจัดการให้พวกเขาให้รับทราบแต่อย่างใด ทว่าเขากลับส่งคนมาบอกกล่าวเป็นการเฉพาะ ชี้แจ้งให้พวกเขาได้รับรู้อย่างกระจ่างแจ้ง การทำอันใดอย่างเปิดอกตรงไปตรงมาเช่นนี้มิใช่คนธรรมดาๆ ทั่วไปจะทำกันได้
โชคดีที่ในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องกังวลปัญหาเกี่ยวกับเยี่ยซินเอ๋อร์อีกแล้ว