ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 209 เหนียวแน่น
หลินหลันเคยคิดว่าหากเรื่องราวดำเนินไปถึงขั้นเลวร้าย นางจะไปขอความช่วยเหลือจากเฉียวอวิ๋นซี เฉียวอวิ๋นซีมีความสนิทสนมกับพระชายาขององค์ชายสาม รวมไปถึงบรรดาเหนียงเหนียงในราชวงศ์ อย่างน้อยๆ ก็คงช่วยเหลืออะไรได้บ้าง คาดไม่ถึงว่าเฉียวอวิ๋นซีกลับเป็นฝ่ายตามหานาง ทางด้านเผยจื่อชิ่งก็ให้รั่วเอ๋อร์มาบอกกล่าวเช่นกัน เอ่ยว่านางได้ขอให้อู่หยางจวิ้นจู่ไปถามไถ่ข่าวคราวเบื้องลึกแล้ว ให้นางอย่าได้หุนหันพลันแล่น นอกจากนั้นเฝิงซูหมิ่นยังมาพบนางที่บ้านหลังเล็กนี้เพื่อปลอบใจนางด้วยตนเอง เอ่ยว่านางจะช่วยติดต่อสหายที่มีไมตรีจิตสามสี่คน ดูว่าจะช่วยเหลือสิ่งใดได้บ้าง สำหรับสิ่งเหล่านี้ หลินหลันรู้สึกประทับใจอย่างยิ่ง ใครๆ ก็ว่ามนุษย์เราพบเจอผู้ที่ร่วมสุขกันได้ง่ายนัก ทว่าการจะพบเจอผู้ที่ยินดีร่วมแบ่งเบาความทุกข์นั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง พวกนางยินดีเอื้อมมือเข้ามาช่วยเหลือในยามที่นางลำบากและต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด บุญคุณนี้เพียงคำว่าขอบคุณยังน้อยไปด้วยซ้ำ
หลินหลันรู้ดีเช่นกันว่าเรื่องนี้ไม่อาจแก้ไขได้โดยเร็ววันอย่างแน่นอน มันจำเป็นต้องอาศัยเวลาสักระยะหนึ่ง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่หมิงอวินได้วิเคราะห์ไว้ด้วยตนเองเช่นกัน หากราบรื่นไปได้ก็คงเป็นเวลาประมาณเดือนกว่าๆ หากไม่ราบรื่นอาจลากยาวไปหลายเดือนก็เป็นได้ ดังนั้น ตอนนี้นางทำได้เพียงกลั้นใจอดทนรอคอยต่อไป
สามวันถัดมา ผู้ดูแลร้านผ้าไหมฝั่งตรงข้ามเดิมมาเรียนเชิญหลินหลัน
เฉินจื่ออวี้อยู่ด้วยเช่นกัน จากข่าวคราวที่เฉินจื่ออวี้สืบเสาะมา ในวันที่สองหลังเข้าคุก หลี่จิ้งเสียนรับสารภาพว่าช่วงเวลาที่ตนทำหน้าที่ควบคุมการขนย้ายสินค้าที่เทียนจิน ได้รับสินบนจากบรรดาพ่อค้าเพื่อความสะดวกในการขนย้ายเข้าเมืองจริง ส่วนคำกล่าวหาการกระทำผิดอื่นๆ ที่ใต้เท้าหยางฟ้องร้องไว้ หัวเด็ดตีนขาดเขาก็ไม่ยอมรับมัน ฮ่องเต้จึงสั่งการคนให้ตรวจสอบต่อไป
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวด้วยความอึดอัดใจ “หากมิใช่เพื่อหมิงอวิน ข้าคงนำหลักฐานทั้งหมดส่งไปให้ที่ว่าการกรมยุติธรรมแต่แรกแล้ว ให้ตายเถอะ ตอนนี้กลายเป็นว่าต้องมาตามเช็ดล้างความชั่วให้ไอ้สารเลวผู้นี้อีก เขามันตัวหายนะจริงๆ”
เฉินจื่ออวี้กล่าว “ท่านลุง ลำพังคดีความรับสินบนนี่ก็โทษหนักพอให้หลี่เหล่าเหยียได้รับบทเรียนแล้วละขอรับ ตามจริง ผู้เป็นขุนนางมีไม่กี่คนหรอกขอรับที่ซื่อตรงใสสะอาด ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ฮ่องเต้เองก็มิใช่ว่าไม่รู้ เพียงแต่ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้างก็เท่านั้นเอง ขอเพียงเจ้าไม่ถูกคนเขาจับได้คาหนังคาเขาก็เป็นพอ หากตนทำเรื่องสกปรกแล้วทิ้งร่องรอยไว้ เช่นนั้นก็คงทำได้เพียงยอมรับความหายนะที่จะตามมา ยังดีที่ตัวบทกฎหมายของราชวงศ์เราอันมีต่อเรื่องการกระทำผิดโดยการรับสินบทนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงใหญ่โต มิเช่นนั้น การที่หลี่เหล่าเหยียรับสินบนมามากถึงหนึ่งล้านตำลึงเงิน ไม่เพียงเขาไม่อาจรักษาชีวิตของตนเองได้ แต่ยังจะถ่ายทอดความหายนะไปถึงเก้าชั่วโคตรอีกด้วย ครั้งนี้ แม้หลี่เหล่าเหยียไม่ถึงตายแต่ก็ปางตายละขอรับ”
หลินหลันเอ่ยถาม “ท่านลุง ท่านมีความมั่นใจว่าจะทำให้กรมยุติธรรมไม่อาจตรวจพบหลักฐานการกระทำความผิดอื่นๆ ของท่านพ่อได้หรือไม่เจ้าคะ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวด้วยความมั่นใจ “หลานสะใภ้ เจ้าวางใจเถิด! เรื่องนี้ลุงวางแผนไว้เรียบร้อยแต่แรกแล้ว ก็มีแค่ของที่อยู่ในห้องลับของบ้านในเทียนจินหลังนั้น ซึ่งข้าก็ขนย้ายออกมาทั้งหมดแล้ว ดังนั้นต่อให้กรมยุติธรรมตรวจสอบพบบ้านที่เทียนจินก็เหลือเพียงบ้านที่มีแต่ห้องโล่งๆ เท่านั้น ไม่มีอันใดต้องเป็นกังวลไป”
หลินหลันพยักหน้า “เช่นนั้นก็ค่อยเบาใจหน่อยเจ้าค่ะ”
เฉินจื่ออวี้กล่าว “พี่สะใภ้ เรื่องของพี่ใหญ่ ข้าจะพยายามทุกวิถีทาง มหาบัณฑิตเผยร่วมมือกับคณะขุนนางทั้งหมดในสำนักฮ่านหลิน เตรียมเสนอรายชื่อเพื่อขอความเห็นใจให้พี่ใหญ่แล้วขอรับ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าว “ทางด้านกรมยุติธรรมนั่นข้าเองก็ไหว้วานมิตรไมตรีไว้แล้วเช่นกัน หมิงอวินอยู่ในห้องขังโดยปลอดภัยแน่นอน”
“อ้อ จริงสิ วันนี้ยังมีข่าวดีอีกเรื่องหนึ่ง กองทัพผิงหนานและกองทัพตะวันตกเฉียงเหนือที่กระจายกำลังอยู่ในเตียนซี[1] เอาชนะพวกทิเบตทางแถบพื้นที่กานซูได้แล้ว พวกทิเบตล้มตายและบาดเจ็บสาหัส ผนวกกับในทิเบตเกิดการก่อกบฏ ยามนี้ทิเบตจึงเผชิญทั้งศึกนอกและในจนท้ายที่สุดต้องยอมถอยทัพกลับไป” เฉินจื่ออวี้กล่าว
หลินหลันดีใจเป็นอย่างยิ่ง “เช่นนั้นพี่ชายข้ากับหนิงซิ่งก็จะกลับมาแล้วใช่หรือไม่”
เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “รายงานการสู้รบที่ส่งมาถึงเมืองหลวงในวันนี้กล่าวว่ากองทัพผิงหนานกำลังเคลื่อนทัพกลับมา คาดว่าอย่างช้าสุดคงอีกเดือนกว่าๆ ก็จะกลับมาถึงเมืองหลวง”
“เยี่ยมไปเลย กองทัพผิงหนางขจัดความขัดแย้งกับชาวชนกลุ่มน้อยได้ ทั้งยังเอาชนะพวกทิเบตได้อีก ฮ่องเต้จะต้องพอพระทัยอย่างยิ่งแน่นอน นี่ก็เป็นผลดีต่อหมิงอวินอย่างใหญ่หลวงด้วยเช่นกัน” หลินหลันกล่าวด้วยความดีใจ
“ใช่แล้ว ดังนั้น พี่ใหญ่ข้าเดินหมากตัวนี้ไว้ได้เวลาพอเหมาะพอเจาะเสียจริง” เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เยี่ยเต๋อฮ๋วยส่งเสียงหัวเราะร่าพร้อมปรบมือก่อนกล่าวขึ้น “สมกับคำกล่าวที่ว่า ฟ้าดินเป็นใจต่อผู้มีคุณธรรม หมิงอวินจะต้องผ่านด่านนี้ไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน”
จะว่าไปแล้วมันก็แปลกเช่นกัน หลี่จิ้งเสียนดำรงตำแหน่งขุนนางปฏิบัติหน้าที่เพื่อราชสำนักมาเนิ่นนานหลายปี ถือได้ว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งและได้รับความสำคัญยิ่ง ทว่าหลังเกิดเรื่อง ผู้ที่ยินดีเสนอตัวออกมาพูดแทนเขากลับเห็นอยู่ไม่กี่คน ในทางกลับกัน บรรดาขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นฝ่ายบู๊ล้วนทยอยกันเข้าร่วมขอความเมตตาเพื่อหลี่หมิงอวิน ไม่เพียงแต่ในท้องพระโรง บรรดาพระสนมวังหลังก็คอยเป่าหูเกลี้ยกล่อมอยู่เป็นระยะๆ เช่นกัน โดยท่ามกลางคนเหล่านี้ บางส่วนเป็นเพราะสัมพันธ์ส่วนตัว บ้างก็ได้รับการไหว้วาน บ้างก็เพราะเสียดายผู้มีพรสวรรค์ความสามารถอย่างแท้จริง แน่นอนว่าก็มีบางคนที่มีความประสงค์อื่นแอบแฝง คนขององค์รัชทายาทและองค์ชายสี่ล้วนอยากใช้โอกาสนี้สร้างบุญคุณให้หลี่หมิงอวิน เพื่อจะได้ง่ายต่อการดึงเขามาร่วมทัพของตนในภายภาคหน้า
วันนี้เฉียวอวิ๋นซีให้คนมาส่งข่าว เอ่ยว่าในพระราชวังมีข่าวว่าฮ่องเต้เตรียมตัดสินโทษใต้เท้ากรมโยธาและกรมคลังทั้งสองท่านแล้ว
หลินหลันรีบไปยังจวนเยี่ยอีกครั้ง เยี่ยเต๋อฮ๋วยได้รับข่าวคราวจากกรมยุติธรรมแล้วเช่นกัน ทางกรมยุติธรรมได้ส่งมอบหนังสือกำหนดบทลงโทษของใต้เท้าราชเลขาทั้งสองท่านไปยังพระราชวังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้ฮ่องเต้พิจารณาตัดสิน
ใต้เท้าอวี๋ราชเลขาแห่งกรมโยธา เพราะฉ้อราษฎร์บังหลวง เงินที่ใช้ในการทำนุบำรุงสิ่งก่อสร้างในพระราชวังและการขุดลอกลำคลอง จึงกำหนดให้ตัดสินโทษไปตามตัวบทกฎหมายที่ระบุไว้แล้ว ทว่าหลี่จิ้งเสียนเป็นเพียงการรับสินบนซึ่งมีความแตกต่างออกไป ทั้งยังยินยอมสารภาพผิดแต่โดยดี ดังนั้นจึงกำหนดให้ถูกเนรเทศไปอยู่ในถิ่นทุรกันดารและกลับมายังพื้นที่ตอนกลางไม่ได้อีกตลอดไป
หลินหลันอดทอดถอนใจไม่ได้ ใต้เท้ากรมโยธานี่ช่างละโมบโลภมากจริงๆ จะยักยอกเงินอะไรก็ไม่ยักยอก ดันมายักยอกเงินที่ใช้ดำเนินการปรับปรุงในพระราชวัง เงินของราชวงศ์เจ้ายังกล้ายักยอกได้ มิใช่การรนหาที่ตายเห็นๆ หรอกหรือ
“เช่นนั้นหมิงอวินกับหมิงเจ๋อล่ะเจ้าคะ” หลินหลันเป็นห่วงความปลอดภัยของหมิงอวิน การลงโทษในสมัยโบราณที่ทำให้คนปวดสมองมากที่สุดก็คือ การที่คนคนหนึ่งกระทำผิดแล้ว กลายเป็นว่าคนในครอบครัวต้องร่วมทุกข์ระทมไปด้วย
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าว “กรมยุติธรรมมิได้ออกบทลงโทษให้หมิงอวินและหมิงเจ๋อ โดยเอ่ยว่าฮ่องเต้ให้ออกบทลงโทษแด่หลี่จิ้งเสียนเท่านั้น”
หลินหลันถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เมื่อเป็นเช่นนี้เห็นทีว่าฮ่องเต้คงตั้งใจจะไม่ถือโทษเอาความกับหมิงอวิน ซึ่งเป็นดั่งการคาดเดาของหมิงอวิน อย่างมากก็คงปลดเขาออกจากตำแหน่งงาน
เยี่ยเต๋อฮ๋วยมองดูหลินหลันที่หนึ่งเดือนมานี้วิ่งเต้นไปนู่นมานี่ จนคนทั้งคนผอมแห้งลงไปเป็นเท่าตัว เขาจึงกล่าวด้วยความห่วงใย “หลานสะใภ้เอ๋ย! อีกไม่นานเรื่องราวก็เป็นอันจบสิ้นแล้ว เจ้าก็ทำใจให้สบายๆ ได้แล้ว พักผ่อนให้มากๆ มิเช่นนั้นพอหมิงอวินออกมาแล้วเห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้ คงเจ็บปวดใจน่าดูเลย”
หลินหลันเผยรอยยิ้มแสนหวาน “ขอบพระคุณท่านลุงที่ห่วงใยกันเจ้าค่ะ หลินหลันยังกระปรี้กระเปร่าอยู่เลยเจ้าค่ะ! ข้าจะกลับไปบอกกล่าวพี่สะใภ้เดี๋ยวนี้ นางจะได้ดีใจไปด้วยกันเจ้าค่ะ”
หลังได้ฟังข่าวคราวดังกล่าว ติงหลั้วเหยียนทั้งดีใจทั้งเป็นกังวล ดีใจเพราะหมิงอวินและหมิงเจ๋อไม่มีโทษอันใด กังวลคือพ่อสามีต้องถูกเนรเทศไปอยู่ในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว ตระกูลหลี่…ตระกูลหลี่ก็คงเป็นอันดับสูญแล้วสินะ
“เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกกล่าวเหล่าไท่ไทจะดีกว่า อาการป่วยของนางเพิ่งดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความกังวล
“อืม ไว้รอหมิงอวินและพี่ใหญ่กลับมาค่อยว่ากันอีกที!” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แม่เหยาเดินเข้ามารายงานด้วยท่าทีตื่นตระหนก “ต้าเส้าหน่ายนาย เอ้อร์เส้าหน่ายนาย แย่แล้วจ้าค่ะ”
หลินหลันหุบยิ้มแล้วหันไปกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เบาๆ หน่อย อย่าทำให้เหล่าไท่ไทตื่นตกใจไปด้วย”
ติงหลั้วเหยียนกล่าว “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
แม่เหยากล่าว “อนุภรรยาหลิวเจ้าค่ะ อนุภรรยาหลิวหายไปเจ้าค่ะ…”
สีหน้าของติงหลั้วเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร”
“วันนี้หลิวอี๋เหนียงเอ่ยว่าอยากรับประทานเหอเถาอบกรอบของร้านฉิ่นฟาง จึงให้เจี่ยนชิวไปซื้อให้ เจี่ยนชิวก็ไปตามคำสั่ง ปรากฏว่าพอนางกลับมาแล้วถึงพบว่าหลิวอี๋เหนียงไม่อยู่ในบ้าน จึงออกตามหาทั่วทุกบริเวณแต่กลับไร้วี่แววเจ้าค่ะ เมื่อครู่นางเพิ่งมาแจ้งบ่าว บ่าวเอ่ยถามข้ารับใช้ทั้งหมดแล้ว ชุ่ยผิงเอ่ยว่าประมาณบ่ายสามโมงเห็นหลิวอี๋เหนียงออกจากบ้านไปเจ้าค่ะ ตอนนั้นนางเอ่ยถาม หลิวอี๋เหนียงเอ่ยเพียงว่าอยู่ในบ้านรู้สึกอึดอัดจึงอยากเดินเล่นรับอากาศบริสุทธิ์เสียหน่อย ชุ่ยผิงจะไปเป็นเพื่อนนาง ทว่าหลิวอี๋เหนียงไม่ยินยอมให้ไปด้วยเจ้าค่ะ” แม่เหยาบอกกล่าวในรวดเดียวจบ
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความร้อนใจ “นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ คงไม่เดินไปได้ไกลหรอกกระมัง เจ้ารีบนำคนออกไปตามหาดูให้ทั่ว มิใช่ว่าไปหกล้มอยู่ที่ไหนจนลุกไม่ไหวเสียแล้ว”
แม่เหยากล่าวตอบ “บ่าวสั่งคนให้ไปตามหาโดยทั่วแล้วเจ้าค่ะ”
หลินหลันครุ่นคิดก่อนกล่าวขึ้น “ชุ่ยผิงเห็นนางออกไปตอนช่วงเวลาประมาณบ่ายสามโมง ยามนี้ก็ใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้ว หลิวอี๋เหนียงเป็นหญิงตั้งครรภ์จะเดินได้ไกลสักแค่ไหนกันเชียว หากออกไปเดินเล่นก็น่าจะกลับมาตั้งนานแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่า?” ติงหลั้วเหยียนมองหลินหลันด้วยความลังเลใจ นางพอจะคาดเดาความนึกคิดของหลินหลันได้ เพียงแต่…มันจะเป็นไปได้หรือ อนุภรรยาหลิวตั้งครรภ์บุตรของท่านพ่อนี่!
หลินหลันเม้มปากก่อนชายตาขึ้นแล้วกล่าว “แม่เหยา เจ้าพาคนออกไปตามหาดูและสอบถามให้ทั่ว เดี๋ยวข้าจะออกไปข้างนอกสักประเดี๋ยวหนึ่ง”
หลินหลันเรียกหาเหวินซาน ให้เขาควบรถม้ามุ่งไปตามถนนตอนใต้ของเมืองโดยเร็ว ในยามนี้ห้องแถวร้านค้าที่ขนาบสองข้างระหว่างทางล้วนทยอยปิดทำการแล้ว กระทั่งถึงหน้าร้านหนึ่ง หลินหลันจึงให้เหวินซานหยุดรถม้า
“ฮูหยิน ท่านมาได้ประจวบเหมาะเสียจริง ข้าน้อยกำลังจะปิดร้านพอดีเลยขอรับ! ฮูหยินต้องการซื้อสิ่งใดหรือขอรับ” บริกรที่กำลังจะปิดประตูร้านเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลินหลันกล่าว “ไม่ทราบว่าร้านของพวกท่านนี้เป็นการเช่าหรือว่าเป็นของตนเองหรือ”
บริกรของร้านกล่าว “เมื่อก่อนเช่าขอรับ ทว่าก่อนหน้านี้เจ้าของร้านพวกเราซื้อห้องแถวนี้เอาไว้แล้วขอรับ”
เหวินซานเดินเข้ามาหลังเพิ่งจอดรถม้าไว้เป็นที่เรียบร้อย “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย นี่มัน…”
หลินหลันยกมือขึ้นเป็นสัญญาณหยุดคำถามของเขาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ไม่รบกวนแล้วเจ้าค่ะ” นางกลับไปขึ้นรถม้าทันทีหลังเอ่ยจบ เหวินซานลูบศีรษะด้วยความมึนงง ทำได้เพียงรีบเดินตามไปยังรถม้า
เห็นทีว่าอนุภรรยาหลิวคงไม่กลับมาเสียแล้ว พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายแอบซื้อบ้านหลังหนึ่งและห้องแถวร้านค้าสองห้องเอาไว้ให้อนุภรรยาหลิว บ้านหลังนั้นถูกทางการขุนนางตรวจพบแล้ว ซึ่งทางการขุนนางตรวจพบตั๋วเงินหนึ่งล้านตำลึงเงินในบ้านหลังนั้นนั่นเอง ทว่าห้องแถวสองห้องนี้หลุดรอดมาได้ ยามนี้ร้านค้าเปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าต้องเป็นอนุภรรยาหลิวแอบขายออกไป เมื่อได้เงินจึงเผ่นหนีไปแล้วอย่างแน่นอน หลี่หมิงอวินเคยเอ่ยไว้ก่อนหน้าว่าห้องแถวสองห้องนี้จดอยู่ภายใต้นามของลูกพี่ลูกน้องชายคนหนึ่งของอนุภรรยาหลิว เห็นทีว่าอนุภรรยาหลิวคงติดต่อกับลูกพี่ลูกน้องของนาง ขณะที่หลินหลันกำลังยุ่งอยู่กับการวิ่งเต้นเพื่อหมิงอวิน
เมื่อกลับไปถึงบ้านหลังย่อม หลินหลันเรียกเจี่ยนชิวมาถามไถ่
“ข้าขอถามเจ้าหน่อยสิ ระยะนี้หลิวอี๋เหนียงได้ให้คนออกไปพบปะใครบ้างหรือไม่”
เจี่ยนชิวครุ่นคิดชั่วครู่แล้วจึงกล่าวตอบ “มีเจ้าค่ะ หลังจากมาที่นี่ได้ไม่นานนัก หลิวอี๋เหนียงเอ่ยว่านางมีญาติอยู่ในเมืองหลวงคนหนึ่ง ยามนี้ตระกูลหลี่เกิดเรื่องขึ้น หลิวอี๋เหนียงเกรงว่าหากญาตินางรับรู้แล้วจะเป็นกังวลใจจึงสั่งให้ข้าน้อยนำจดหมายไปให้เพื่อเป็นการบอกกล่าวเจ้าค่ะ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นญาติอันใดกับหลิวอี๋เหนียงหรือ” หลินหลันเอ่ยถามอีกครั้ง
“เหมือนจะเป็นเปี่ยวเกอของหลิวอี๋เหนียงนะเจ้าคะ”
ติงหลั้วเหยียนมองดูสีหน้าจริงจังของหลินหลัน ภายในใจจึงรู้ได้ทันทีว่าการคาดเดาของตนเองไม่ผิดเพี้ยน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจหายวูบ หลิวอี๋เหนียงเป็นอนุภรรยาคนหนึ่งเท่านั้น คงไม่อาจเอ่ยไปถึงความสัมพันธ์รักใคร่อันลึกซึ้งเฉกเช่นสามีภรรยาอะไรนั่นได้ ยามนี้หลี่จิ้งเสียนตกระกำลำบาก การที่อนุภรรยาหลิวเลือกที่จะจากไปก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้เช่นกัน ทว่าปัญหาคือ เด็กที่อยู่ในท้องอนุภรรยาหลิวเป็นลูกของพ่อสามีนาง…
หลินหลันกล่าวอย่างสุภาพ “เจ้ามิต้องนำเรื่องนี้ไปพูดกับผู้ใดอีก”
เจี่ยนชิวขานรับทันควัน
“ออกไปเถอะ! บอกแม่เหยาด้วยว่ามิต้องตามหาแล้ว ให้ทุกคนไปพักผ่อนกันเถอะ!” หลินหลันรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย น่าเสียดาย! จู่ๆ น้องชายตัวน้อยของหมิงอวินก็ไปเสียแล้ว
[1]เตียนซี (滇西) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เก่าแก่มากกลุ่มหนึ่งในมณฑลยูนนานของประเทศจีน