ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 284 พ่อตามาเยือนถึงถิ่น
มองดูหลี่หมิงอวินเดินจากไป หลังหลินหลันตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง จึงให้หยินหลิ่วคว้าเสื้อคลุมกันลมมาให้แล้วเดินตามหลังไป
หลี่หมิงอวินทักทายหลินจื้อย่วนอย่างห่างเหินสองสามประโยคแล้วจึงหย่อนตัวลงนั่งพูดคุย
ผู้คนต่างว่ากันว่าพ่อตาเห็นหน้าลูกเขย ยิ่งเห็นจะยิ่งไม่ถูกชะตา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับลูกเขยที่เก่งกาจและดีงามเช่นนี้ จะให้หลินจื้อย่วนรู้สึกไม่ถูกใจไปได้อย่างไรกัน อีกอย่าง เขามีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือจากลูกเขยอีกด้วย! ยิ่งทำให้ท่าทีที่แสดงออกนั้นเป็นมิตรยิ่งขึ้น เขาจึงกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คนหนุ่มๆ ช่างมีพลังน่าเลื่อมใสศรัทธาจริงๆ! หมิงอวิน เจ้าถือได้ว่าเป็นซื่อหลางกรมคลังที่เยาว์วัยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์เราเคยมีมา ฮ่องเต้ทรงเห็นความสำคัญของเจ้าอย่างยิ่ง อนาคตบนเส้นทางการงานในภายภาคหน้าเจ้าต้องรุ่งโรจน์อย่างไร้ที่สิ้นสุดแน่นอน! คงต้องกล่าวว่า หลันเอ๋อร์ช่างมีแววในการเลือกสามีเสียจริง หลันเอ๋อร์ได้แต่งงานกับเจ้า นับว่าเป็นความโชคดีของนาง แน่นอนว่าเจ้าได้แต่งงานกับหลันเอ๋อร์ของข้าก็เป็นความโชคดีของเจ้าเช่นกัน”
ความเป็นมาเป็นไปของการรู้จักกันจนกระทั่งได้ครองรักกันระหว่างหลันเอ๋อร์กับหลี่หมิงอวิน หลินจื้อย่วนเคยฟังหลี่หมิงอวินบอกเล่ามาก่อนหน้าบ้างแล้ว แน่นอนว่าหลี่หมิงอวินเลือกที่จะปกปิดเรื่องสัญญาข้อตกลงอะไรนั่นเอาไว้ หลินหลันรู้จักหมิงอวินก่อนหน้าที่หมิงอวินจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ถึงอย่างไรหมิงอวินก็เป็นผู้ที่เกิดจากตระกูลขุนนาง ตอนนั้นหลันเอ๋อร์เป็นเพียงสตรีสาวชาวบ้านที่ไร้ชื่อเสียงใดๆ สถานะทั้งสองคนต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่กลับให้โอกาสซึ่งกันและกันเช่นนี้ หลินจื้อย่วนเชื่ออย่างลึกซึ้งว่า บุตรสาวของตนเองมีความสามารถในการมองจำแนกแยกแยะ ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรสาวแห่งตระกูลหลินของเขา
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มอ่อนน้อมถ่อมตน “ท่านแม่ทัพกล่าวชมกันเกินไปแล้วขอรับ การได้แต่งหลันเอ๋อร์มาเป็นภรรยานับเป็นความโชคดีที่ข้าสะสมไว้สามภพชาติน่ะขอรับ” ตราบใบที่หลันเอ๋อร์ยังไม่ยอมรับบิดาผู้นี้ เขาเองก็ไม่กล้านับเป็นพ่อตาเช่นกัน
หลินจื้อย่วนได้ยินคำพูดดังกล่าวก็เบิกบานใจนัก จึงกล่าวออกไปต่อเนื่อง “เยี่ยมๆ ข้าชอบฟังคำพูดเช่นนี้ เห็นพวกเจ้าสามีภรรยารักใคร่กันอย่างสุดซึ้ง หัวใจของข้าก็รู้สึกสบายใจยิ่งนัก”
หลินหลันกำลังแอบฟังผ่านผนังห้องด้านนอก พลางบ่นตำหนิอยู่ภายในใจ ใครเป็นบุตรสาวตระกูลเจ้าหรือ เจ้าเคยทำหน้าที่บิดาด้วยหรือ ตอนนี้คิดจะมาเป็นบิดาคนเขาง่ายดาย ไม่มีทางเสียหรอก
หลี่หมิงอวินรำพึงรำพันในใจขณะเผยรอยยิ้ม ท่านมาในวันนี้ก็เพื่อกล่าวสิ่งนี้น่ะหรือ ท่านเกรงว่าพอข้าประสบความสำเร็จใหญ่โตในหน้าที่ทางราชสำนักแล้วจะทอดทิ้งหลันเอ๋อร์หรือไร
หลินจื้อย่วนจิบน้ำชาด้วยความพึงพอใจ แต่แล้วกลับขมวดคิ้วขึ้นกะทันหัน “เรื่องของซานเอ๋อร์ ข้ารับรู้แล้ว พวกเจ้าวางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน หากตระกูลฉินกล้าแตะต้องพวกเจ้าแม้แต่นิดเดียว ข้าจะเล่นงานเขากลับคืนอย่างที่พวกเขาทำ ตระกูลฉินพวกเขาจะมีไท่โฮ่วหนุนหลังหรือได้รับความโปรดปรานของฮ่องเต้ก็ช่าง”
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วเล็กน้อย “ท่านแม่ทัพอย่าได้ร้อนใจไปเลยขอรับ ฮ่องเต้แยกแยะถูกผิดในใจได้ชัดเจน ตระกูลฉินไม่กล้าก่อความวุ่นวายอันใดขึ้นมาหรอกขอรับ”
หลินจื้อย่วนเบิกดวงตาโต กล่าวด้วยเสียงดังขึ้นมา “มาลักพาตัวคนเขาไปถึงที่แล้ว ยังจะกล่าวว่าไม่กล้าก่อความวุ่นวายอีกหรือ ข้าจะต้องทวงคืนความยุติธรรมนี้จากตระกูลฉินให้จงได้”
หลี่หมิงอวินครุ่นคิดชั่วขณะก่อนกล่าวออกไป “ข้าเองก็ต้องการปรึกษาหารือกับท่านแม่ทัพด้วยเรื่องนี้อยู่พอดีขอรับ หลันเอ๋อร์ปล่อยข่าวคราวที่ว่าซานเอ๋อร์ถูกลักพาตัวออกไปภายนอกแล้ว เรื่องนี้ฮ่องเต้กำลังตรวจสอบ คนของจิ้งปั๋วโหว์จับตัวเว่ยจื่อได้แล้ว ตอนนี้กุมขังไว้อย่างลับๆ ไว้เดี๋ยวข้าจะให้จ้าวจัวอี้นำตัวคนส่งมอบให้ท่านแม่ทัพจัดการนะขอรับ หากท่านแม่ทัพสืบสาวได้ความเพิ่มเติมจนได้หลักฐานยืนยันว่าตระกูลฉินเป็นผู้บงการ จะได้กล่าวได้ง่ายยิ่งขึ้นยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ขอรับ”
หลินจื้อย่วนลุกพรวดขึ้นกะทันหัน “จับตัวได้แล้วหรือ ยอดเยี่ยมไปเลย เจ้านำตัวคนส่งมอบให้ข้าคืนนี้เลยแล้วกัน ต่อให้ไม่มีหลักฐาน ข้าก็จะให้เขาทำหลักฐานออกมาให้จงได้”
หลี่หมิงอวินกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แอบถอนหายใจอยู่ลึกๆ ยังคงเป็นพ่อตาที่มีความหาญกล้าและมีประสบการณ์โชกโชน เขาและจิ้งปั๋วโหว์ยังคงพยายามตามสืบเสาะอย่างหนักเพื่อตามหาหลักฐาน ทว่าพ่อตากลับจะทำให้มันบังเกิดขึ้นมาเสียเลย ทว่าตระกูลฉินกระทำเรื่องที่ไร้คุณธรรมไว้มาก การต่อกรกับพวกไร้คุณธรรมผิดมนุษย์ จะใช้กลวิธีไร้คุณธรรมบ้างก็หาใช่เรื่องผิดไม่
หลินหลันสดับรับฟังอยู่ก็อดกลอกตามองบนไม่ได้เช่นกัน ที่แท้พวกเป็นทหารนักรบก็พอๆ กับพวกอันธพาลนี่เอง
หลินจื้อย่วนปรับสภาพอารมณ์ให้กลับมาดีดังเดิมอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ซานเอ๋อร์กล่าวกับข้าว่า พี่หลันเอ๋อร์ของเขาปฏิบัติต่อเขาอย่างดีมากเสมือนพี่สาวแท้ๆ เลยทีเดียว คงเพราะเอ็นดูเขา เห็นได้ชัดว่าสัมพันธ์ทางสายเลือดเป็นสิ่งที่ธรรมชาติรังสรรค์ไว้แล้วจริงๆ…”
หลี่หมิงอวินกล่าวเสริม “หลันเอ๋อร์ชื่นชอบเด็กมากมาแต่ไหนแต่ไรแล้วขอรับ โดยเฉพาะเด็กที่ว่านอนสอนง่ายเช่นซานเอ๋อร์”
หลินหลันยกยิ้มมุมปาก ตอบได้ดีทีเดียวเชียว
หลินจื้อย่วนชะงักไปชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เดิมทีข้าคิดว่าจะรอให้อะไรต่อมิอะไรเข้าที่เข้าทางแล้ว ค่อยให้คนไปหูโจวเพื่อเชิญป้าใหญ่มายังเมืองหลวง จะได้ถามไถ่เรื่องราวในตอนนั้นให้ชัดเจน คาดไม่ถึงว่านางเฝิงได้เชิญคนเขามาตั้งนานแล้ว ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดถูกการถามไถ่กระจ่างแจ้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ป้าใหญ่นางช่างกระทำเรื่องเหลวไหลจริงๆ เพราะไม่ถูกชะตากับมารดาของหลินหลัน นางก็เลยหยิบยกคนเขามาพูดว่าเสียชีวิตไปหมดแล้ว เรื่องนี้ข้าบอกกล่าวกับเจ้าไว้ก่อนแล้วกันว่าวันหน้าข้าจะให้ป้าใหญ่มาบอกกล่าวให้กระจ่างชัดแจ้งถึงที่ และให้หลินหลันตัดสินใจว่าจะจัดการป้าใหญ่นางอย่างไร”
“อ้อ? ป้าใหญ่สารภาพแล้วหรือขอรับ” หลี่หมิงอวินถามด้วยความประหลาดใจ
หลินจื้อย่วนสบถฮึอย่างดุดัน “นางหรือจะกล้าไม่ยอมรับ เฟิงเอ๋อร์กลับไปหาข้าที่หูโจวในเดือนสาม นางโกหกเฟิงเอ๋อร์ว่าข้าเสียชีวิตไปแล้ว พอเดือนสี่ข้ากลับไปหูโจว นางก็โกหกข้าว่านางเฉินพร้อมลูกๆ เสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว พูดเสมือนไปเห็นมากับตาตนเอง ด้วยความรู้ไม่เท่าทันชั่ววูบ จึงหลงเชื่อเป็นจริงเป็นจัง ถึงได้นำมาซึ่งสถานการณ์เลวร้ายในปัจจุบันนี้ ความผิดของป้าใหญ่เขามันใหญ่หลวงยิ่งนัก เป็นความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้”
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วโดยไม่รู้ตัว เขาเองก็รู้สึกอ่อนใจเช่นกัน “หากเป็นเช่นนี้ ญาติมิตรประเภทนี้ ไม่นับญาติจะดีเสียกว่าขอรับ”
“เป็นญาติกับคนประเภทนี้ เท่ากับเป็นความหายนะทางสายเลือดแปดชั่วโคตรก็ว่าได้ ไว้ข้าจัดการเรื่องตระกูลฉินให้เรียบร้อยแล้ว ค่อยมาสะสางเรื่องในครอบครัว วันนี้ข้าแค่มาส่งข่าวคราวกับเจ้าไว้ล่วงหน้า ทางด้านหลันเอ๋อร์นั่น คงจำเป็นต้องให้เจ้าช่วยข้า…” หลินจื้อย่วนพยักพเยิดหน้าใส่หลี่หมิงอวิน
หลี่หมิงอวินพยักหน้าอย่างเป็นอันเข้าใจได้
“เช่นนั้น ข้าขอตัวกลับก่อนแล้วกัน” หลินจื้อย่วนเข้าใจดีว่าเรื่องของความรู้สึกจะรีบร้อนไม่ได้ ทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีกับบุตรเขยให้ได้เสียก่อน แล้วให้บุตรเขตไปเป่าหูหลันเอ๋อร์ ไม่แน่ว่าจิตใจของหลันเอ๋อร์จะค่อยๆ อ่อนข้อลง
หลินหลันได้ยินดังกล่าว จึงรีบถอยไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับถึงห้องจึงเข้าไปทำทีงีบหลับ ไม่นานนักก็ได้ยินว่าหลี่หมิงอวินกลับมาแล้ว และกำลังถามไถ่หรูอี้ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายล่ะ”
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายหลับพักผ่อนแล้วเจ้าค่ะ” หรูอี้กล่าวตอบ
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบ จากนั้นสั่งการด้วยน้ำเสียงบางเบา “นำสาส์นราชการเหล่านี้ย้ายไปในห้องฝั่งตะวันตก อย่าเสียงดังรบกวนเอ้อร์เส้าหน่ายนายล่ะ”
หลินหลันห่มผ้าหันหน้าเข้าด้านใน ภายในใจรู้สึกสับสนวุ่นวายอย่างยิ่ง นางหวาดกลัวเล็กน้อย หากตาผู้เฒ่าหยิบยกเหตุผลที่แท้จริงออกมาเพื่อทำให้นางยอมให้อภัยจนได้ นางควรทำเช่นไรหรือ ตาเฒ่านั่นไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ สักนิดเลยหรือ จะปล่อยผ่านความทุกข์ระทมที่มารดาได้รับไปดื้อๆ เช่นนั้นหรือ จะให้ถือว่าเป็นความโชคร้ายของมารดานางเท่านั้นหรือ ป้าใหญ่ผู้นั้น สตรีที่จิตใจชั่วร้ายต่ำทรามเยี่ยงนี้ นางจะจัดการอย่างไรให้สาสมดีล่ะ ลำพังขับไล่กลับบ้านเกิด จากนั้นไม่ให้ไปมาหาสู่กับตาเฒ่านั่นอีกเลย เช่นนั้นจะไม่ธรรมดาเกินไปหน่อยสำหรับคนอย่างป้าใหญ่หรอกหรือ
ม่านมุ้งเปิดออกอย่างไร้เสียง ไม่ต้องคาดเดาก็รู้ได้ว่าเป็นหมิงอวิน หลินหลันปิดเปลือกตาสนิท แสร้งหลับใหล ยามนี้นางไม่อยากพูดคุยเรื่องนี้กับหมิงอวินเลยสักนิด นางกำลังรู้สึกสับสนวุ่นวายใจอย่างยิ่ง
หลี่หมิงอวินรู้ดีว่านางยังไม่หลับ ด้วยนิสัยของนาง ไม่มีทางข่มตานอนหลับไปได้ในยามนี้เป็นแน่ ทว่านางหันหลังให้เขาและไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด หลี่หมิงอวินจึงนั่งเช่นนั้นอยู่พักหนึ่ง หลังช่วยนางจัดผ้าห่มให้เข้าที่เข้าทาง จึงโน้มลงไปจุมพิตบนใบหน้าของนาง จากนั้นปลดผ้าม่านห้อยลงอย่างเบามือและดับไฟ แล้วจึงไปอ่านสาส์นราชการในห้องด้านตะวันตก
หลินหลันไม่อยากพูดคุยกับหลี่หมิงอวินถือเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าหลี่หมิงอวินไม่พูดอะไรทั้งนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน ความนึกคิดของสตรี บางครั้งก็มีความขัดแย้งกันเช่นนี้ ทันทีที่หลี่หมิงอวินเดินออกไป หลินหลันก็ตลบผ้าห่มเปิดออก ท่ามกลางความมืดมิด ดวงตากลมโตเบิกกว้าง อึดอัดใจเสียยิ่งอะไรดี
หลินจื้อย่วนกลับถึงจวนแม่ทัพ นางเฝิงล้างหน้าบ้วนปากเป็นที่เรียบร้อย และกำลังโอบกอดซานเอ๋อร์พลางเล่านิทานให้ซานเอ๋อร์ฟัง เมื่อเห็นว่าสามีกลับมาแล้ว นางเฝิงจึงเอ่ยกับซานเอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ซานเอ๋อร์เด็กดี วันนี้เล่าถึงตรงนี้ก่อนแล้วกัน เจ้ากลับไปห้องกับอาซิ่วและนอนหลับพักผ่อนเสียนะ”
ตั้งแต่ซานเอ๋อร์กลับมาจากจวนหลี่ ทุกค่ำคืนล้วนต้องเซ้าซี้ให้นางเล่านิทาน หากนางไม่ยอม ซานเอ๋อร์ก็จะพูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า พี่หลันเอ๋อร์ยังเล่านิทานให้เขาฟังทุกวันเลย พี่หลันเอ๋อร์กล่าวว่าเด็กๆ ฟังนิทานมากๆ จะฉลาดยิ่งขึ้น นางเฝิงไม่อาจโต้เถียงได้ จึงทำได้เพียงขุดเรื่องราวที่พอจดจำได้เรียบเรียงให้เขาฟัง ช่างไม่ง่ายดายเลยจริงๆ
ซานเอ๋อร์กลับเชื่อฟังอย่างไร้ข้อโต้แย้งใดๆ เขาลื่นไหลจากอ้อมกอดมารดาลงไปตามขา จากนั้นส่งเสียงเรียกท่านพ่ออย่างน่าเอ็นดู และเชิดดวงหน้าน้อยๆ ขึ้นขณะเอ่ยถามบิดา “ท่านพ่อ ท่านไปพบพี่หลันเอ๋อร์มาหรือขอรับ พี่หลันเอ๋อร์กล่าวชมว่าซานเอ๋อร์ว่านอนสอนง่ายบ้างหรือไม่ และคิดถึงซานเอ๋อร์บ้างหรือไม่ขอรับ”
หลินจื้อย่วนยิ้มเจื่อน เขาไปจวนหลี่แต่ไม่กล้าเอ่ยปากขอเจอหลันเอ๋อร์ด้วยซ้ำ ในตอนนี้หลินหลันไม่มีทางยอมพบเจอเขาเป็นแน่ ทว่าเขาไม่อยากให้ซานเอ๋อร์รับรู้ว่าเขาเป็นบิดาที่โง่เขลาอย่างยิ่งผู้หนึ่ง จึงอุ้มซานเอ๋อร์ขึ้นมา แล้วหอมลงไปบนใบหน้าเล็กๆ นุ่มนิ่มสีชมพูระเรื่อ กล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่หลันเอ๋อร์ของเจ้ากล่าวว่า ซานเอ๋อร์เป็นเด็กที่ชาญฉลาดและมีไหวพริบเป็นที่สุด พี่หลันเอ๋อร์ของเจ้ายังกล่าวอีกว่า ไว้รอคนชั่วเหล่านั้นถูกจับหมดแล้ว จะให้เจ้าไปเที่ยวเล่นทางด้านนาง”
ซานเอ๋อร์ปรบมือด้วยความดีใจ “ยอดเยี่ยมไปเลย ท่านพ่อ ท่านรีบจับคนชั่วร้ายเหล่านั้นให้หมดนะขอรับ เช่นนั้นซานเอ๋อร์จะได้ไปเล่นกับพี่หลันเอ๋อร์ได้เสียทีขอรับ”
หลินจื้อย่วนหัวเราะร่า “ตกลง พ่อจะรีบจับกุมคนชั่วเหล่านั้น ใครกล้ารังแกซานเอ๋อร์ของข้า พ่อรับประกันว่าจะทำลายเขาให้สิ้นซาก”
ซานเอ๋อร์รีบประจบประแจงยกใหญ่ “ท่านพ่อเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ เป็นแม่ทัพใหญ่ ท่านพ่อของซานเอ๋อร์กล้าหาญที่สุดเลยขอรับ”
นั่นส่งผลให้หลินจื้อย่วนยิ่งหัวเราะด้วยความสุขใจเข้าไปใหญ่ ความกลัดกลุ้มภายในใจที่มีอยู่นั้นก็มลายหายไปในชั่วพริบตาด้วยเช่นกัน หลังส่งมอบซานเอ๋อร์ให้อาซิ่วเป็นที่เรียบร้อย อาซิ่วจึงพาซานเอ๋อร์เดินจากไป
นางเฝิงเข้าไปช่วยสามีสระผมด้วยตนเอง สามีภรรยาไม่ได้พบเจอกันเนิ่นนานหลายปี เป็นธรรมดาที่ต้องคลอเคลียใกล้ชิดกันบ้าง
เนิ่นนานพอตัว หลังคลื่นแรงปรารถนาสงบลง ภายในห้องหลงเหลือเพียงความเงียบสงัด นางเฝิงยังคงซบอยู่ในอ้อมกอดของสามีประหนึ่งนกตัวน้อย บนใบหน้ายังคงแต่งแต้มไว้ด้วยความเขินอาย
หลินจื้อย่วนถอนหายใจออกมาอย่างพึงพอใจ จากนั้นเอื้อนเอ่ยปนความละอายใจ “หลายปีมานี้ ลำบากเจ้าแล้ว”
นางเฝิงกล่าวด้วยเสียงบางเบา “น้องมิกลัวลำบากหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่เป็นกังวลความปลอดภัยของท่านพี่ทุกวัน รสชาติแห่งความเป็นห่วงและกังวลใจไม่เป็นสุขนี่ไม่ดีเอาเสียเลยเจ้าค่ะ”
หลินจื้อย่วนยกยิ้มมุมปากพลางกระชับท่อนแขนให้แนบแน่น และตบมือลงบนหัวไหล่ของนางขณะกล่าว “กลับเมืองหลวงครั้งนี้ ในระยะอันใกล้นี้คงไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้ว ข้าเองก็อายุปูนนี้แล้ว ได้เวลาวางมือถอยออกมาแล้วละ และจะได้ให้โอกาสคนหนุ่มๆ เหล่านั้นได้มีประสบการณ์ด้วยเช่นกัน”
นางเฝิงรู้สึกยินดีปรีดาอย่างยิ่ง “เช่นนั้นก็ดีไปเลยเจ้าค่ะ ตัวน้องคิดเพียงแค่ว่าได้ดูแลท่านพี่ ดูแลซานเอ๋อร์ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปวันๆ ก็พอเจ้าค่ะ”
หลินจื้อย่วนเผยรอยยิ้มเด่นชัดยิ่งขึ้น “ตกลง จากนี้ครอบครัวเรารวมไปถึงเฟิงเอ๋อร์ หลันเอ๋อร์ จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขร่วมกัน”
นางเฝิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวออกมาด้วยเสียงกระซิบ “ท่านพี่ ท่านว่า หลันเอ๋อร์นางจะยอมรับพวกเราได้หรือไม่เจ้าคะ”
หลินจื้อย่วนกล่าวอย่างมีความมั่นใจ “วางใจเถอะ! หลันเอ๋อร์เป็นสตรีที่จิตใจดีและมีความรู้คู่คุณธรรม เมื่อความเข้าใจผิดได้รับการคลี่คลายแล้ว นางจะต้องให้อภัยเป็นแน่ ข้ากำลังคิดว่า ไว้รอเวลาผ่านไปสักระยะ จะขอโปรดเกล้าอวยยศให้นางเฉิน…”
คนที่อยู่ในอ้อมกอดสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่หนึ่งครั้ง
หลินจื้อย่วนรีบกล่าวทันควัน “ถึงอย่างไรนางเฉินก็เป็นคู่ครองเดิมของข้า จะว่าไปแล้ว ข้าเองก็กระทำผิดต่อนาง นางตัวคนเดียวเลี้ยงดูบุตรทั้งสองอย่างยากลำบากจนเติบใหญ่…”
มือข้างหนึ่งทาบลงบนกลีบปากของเขาอย่างบางเบา เขาจึงเพียงรับฟังนางเฝิงกล่าว “ท่านพี่ อย่าพูดอีกเลยเจ้าค่ะ ความหมายของท่าน ตัวน้องเข้าใจทั้งนั้น ท่านพี่เฉินทุกข์ยากลำบากเพียงนั้น ก่อนลาจากโลกนี้ไปไม่ได้แม้แต่พบเห็นหน้าท่านพี่ เมื่อเทียบกับท่านพี่เฉิน ตัวน้องโชคดีเสียเหลือเกินเจ้าค่ะ รอได้รับการอวยยศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอหลันเอ๋อร์พวกเขายอมรับเป็นต้นตระกูลแล้ว พวกเราไปเฟิงอานกันสักครั้งเถอะเจ้าค่ะ!”