ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 304 จุดจบของเรื่องราว
วันรุ่งขึ้น ยังไม่ทันฟ้าสาง เฉินจื่ออวี้ก็มาถึงจวนอย่างเร่งรีบ โดยเอ่ยว่าเมื่อคืนกลางดึก ผู้อาวุโสตระกูลเขาถูกเรียกไปเข้าเฝ้าในพระราชวัง ผู้อาวุโสตระกูลเฉินเป็นชายชราผู้ดำรงอยู่มาสามยุคสมัย จากนั้นจึงบอกลาตำแหน่งแล้วอยู่แต่บ้านมาเป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว ในแต่ละวันปกติแล้วจะเข้าวังเพื่อไปพูดคุยเป็นเพื่อนฮ่องเต้บ้างเป็นครั้งคราว ทว่าการมีพระราชโองการเรียกให้ไปพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้ากลางดึกปานนี้ เพิ่งปรากฏขึ้นครั้งแรกในรอบสามปีที่ผ่านมา
หลินหลันแอบคาดเดาอะไรบางอย่างได้ แต่กลับไม่กล้าฟันธง จึงเอ่ยถามเฉินจื่ออวี้ “พระราชโองการจากทางพระราชวัง ได้บอกกล่าวหรือไม่ว่าด้วยเรื่องอันใด”
เฉินจื่ออวี้กล่าว “ในส่วนนั้นมิได้บอกกล่าวแต่อย่างใด ทว่าข้าคาดการณ์ว่าอาจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่จะได้รับการแก้ไขแล้ว เกรงว่าพี่สะใภ้จะร้อนรนใจ จึงมาบอกกล่าวพี่สะใภ้ไว้ก่อน”
หลินหลันคิดเห็นเช่นเดียวกัน “เช่นนั้นรบกวนเจ้าไปสอดส่องดูอีกที ทันทีที่มีข่าวคราวแน่นอน ก็รีบมาบอกกล่าวข้าสักหน่อย”
เฉินจื่ออวี้กล่าว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วขอรับ เมื่อใดที่ข้าได้รับข่าวคราว จะรีบมาบอกกล่าวพี่สะใภ้ทันที”
หลังส่งเฉินจื่ออวี้กลับไปเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันก็ไม่ได้กลับไปนอนหลับอีก นางเฝ้ารออย่างใจจดจ่อจนกระทั่งช่วงกลางวัน เฉินจื่ออวี้ส่งคนมารายงานข่าวคราว เอ่ยว่าวันนี้ฮ่องเต้ขึ้นว่าราชกิจ พระองค์อ้างว่าด้วยอายุที่สูงวัย สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง รับมือต่อภาระงานหนักๆ ไม่ไหว จึงมีพระราชโองการมอบบัลลังก์ให้องค์รัชทายาท องค์รัชทายาทเคารพฮ่องเต้เป็นไท่ซ่างหวง[1] ซึ่งยังคงพำนักในตำหนักเจาเฮอเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของบ้านเมือง
ความกังวลใจที่แบกรับไว้ตลอดหลายวันมานี้ ท้ายที่สุดก็ปล่อยวางลงได้เสียที หลินหลันสั่งการด้วยความดีใจเกินบรรยาย “ตงจึ เร็วเข้า ไปบอกกล่าวต้าเส้าเหยีย อีกไม่กี่วันเอ้อร์เส้าเหยียก็จะกลับจวนได้แล้ว แม่โจว รีบให้ทางห้องครัวเตรียมอาหารอร่อยๆ ไว้มากหน่อย เอาที่เอ้อร์เส้าเหยียชอบรับประทาน”
ตงจึกล่าวด้วยความดีใจ “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ แล้วอีกเดี๋ยวข้าน้อยกับเหล่าสวี่จะไปรอเอ้อร์เส้าเหยียที่ปากประตูวังด้วยกันขอรับ”
“จริงสิ เจ้านำชุดคลุมกันลมของเอ้อร์เส้าเหยียติดไปด้วยล่ะ ระมัดระวังอย่าให้ตากลมเย็นระหว่างทาง” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แม่โจวยกสองมือขึ้นประกบกัน แล้วกล่าวอมิตาภพุทธ นางรู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้ง “ช่างเป็นข่าวดีที่ยิ่งใหญ่จริงๆ เจ้าค่ะ พระเจ้าปกปักษ์คุ้มครอง ในที่สุดเอ้อร์เส้าเหยียก็ปลอดภัยแล้วนะเจ้าคะ”
หลินหลันรอคอยจนกระทั่งยามเซินผ่านพ้นไป แต่ก็ยังคงไม่เห็นหมิงอวินกลับมา นางจึงเอ่ยถามหยินหลิ่วด้วยความร้อนรนใจ “นาฬิกาหยดน้ำนั่นมันเสียแล้วหรือไม่ เหตุใดถึงเดินไวเพียงนี้”
หยินหลิ่วบ่นอุบอิบด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านเพิ่งบ่นไปหยกๆ ว่านาฬิกาเดินช้า ยามนี้ดันมาว่ามันเดินไวเสียแล้ว”
หลินหลันชำเลืองมองนางตาขวาง “ก็เจ้าน่ะพูดมาก ยังไม่รีบไปสอดส่องดูแถวปากประตูอีก ดูสิว่าเอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วหรือไม่”
หรูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะว่าอวิ๋นอิงไปคอยอยู่ที่ปากประตูจวนตั้งแต่แรกแล้วน่ะเจ้าค่ะ”
พูดไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงอวิ๋นอิงตะโกนมาตลอดทางด้วยความตื่นเต้นดีใจ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ มาแล้ว มาแล้วเจ้าค่า เอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้วเจ้าค่า…”
หลินหลันลุกขึ้นยืนทันทีด้วยความกระตือรือร้น เตรียมจะออกไปต้อนรับ แต่กลับไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับหัวมุมโต๊ะ รู้สึกเจ็บปวดจนต้องสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ท่านระวังหน่อยสิเจ้าคะ! โขกโดนตรงไหนแล้วหรือเจ้าคะ” หยินหลิ่วซักถามด้วยความกังวลเมื่อเห็นสภาพดังกล่าว
หลินหลันกัดฟันแน่น “ไม่เป็นไร รีบประคองข้าออกไปที”
ยังไม่ทันพ้นประตูออกไป ม่านมู่ลี่ก็ถูกเลิกเปิดออก หลี่หมิงอวินเดินก้าวยาวเข้ามาภายใน เมื่อเห็นหลินหลันกำลังตัวขดตัวงอกุมบริเวณหัวเข่าอยู่ จึงกล่าวด้วยความฉงนสงสัย “นี่เป็นอันใดไปแล้วหรือ”
หยินหลิ่วกล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายได้ยินว่าเอ้อร์เส้าเหยียกลับมาแล้ว จึงเดินอย่างรีบร้อน ก็เลยชนมุมโต๊ะเข้าให้เจ้าค่ะ”
“เหตุใดถึงไม่ระมัดระวังเยี่ยงนี้ล่ะ หยินหลิ่วรีบไปหยิบยาดองมาเร็วเข้า” หลี่หมิงอวินประคองหลินหลันเดินไปนั่งบนเตียงเตา
“ไม่ต้องๆ หยินหลิ่วเจ้ารีบไปห้องครัว ให้กุ้ยซ่าวทำกับข้าวกับปลาให้เรียบร้อย แล้วรีบจัดโต๊ะอาหาร เอ้อร์เส้าเหยียน่าจะหิวแล้วละ” หยินหลิ่วกล่าวสั่งการ
หลี่หมิงอวินกล่าวเชิงตำหนิเบาๆ “ดูเจ้าสิ เจ็บจนหน้าซีดหมดแล้ว คงต้องชนเข้าอย่างแรงเป็นแน่ ไม่สลายเลือดคั่งใต้ผิวหนังออกไปจะได้อย่างไรกัน หยินหลิ่ว เจ้ายังมัวตะลึงงันอันใดอีก รีบไปหยิบยาดองมาเร็วเข้า”
หยินหลิ่วตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าควรเชื่อฟังคำพูดของคุณชายรอง หรือคำพูดของนายหญิงสะใภ้รองก่อนดี
หรูอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าน้อยจะไปห้องครัว ส่วนหยินหลิ่ว เจ้าไปหยิบยาดองมาแล้วกัน” หรูอี้จับมือหยินหลิ่วแล้วพากันถอยออกไป
หลี่หมิงอวินเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของหลินหลัน จึงยื่นมือจะไปเลิกเปิดกระโปรงของนางเพื่อตรวจดูร่องรอยบาดเจ็บ ทว่าหลินหลันกลับคว้ามือของเขาไว้ “เจ้าอย่าเพิ่งสนใจเลย ข้ามิเป็นไรจริงๆ…”
“ยังจะพูดว่าไม่เป็นไรอีก เจ้าดูสิ เจ็บจนน้ำตาแทบจะไหลอยู่แล้ว” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความสงสาร
หลินหลันโอบกอดเขากะทันหัน แล้วซุกใบหน้าอยู่ในอ้อมกอดของเขา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “ข้าเจ็บที่ไหนกันเล่า ข้าดีใจต่างหาก เจ้าไม่รู้ว่าข้าร้อนรนใจมากมายเพียงใด ร้อนรนใจแทบแย่แล้ว…”
หลี่หมิงอวินโอบกอดนางขณะกล่าวปลอบประโลม “มิเป็นไร มันผ่านพ้นไปแล้ว เจ้าดูข้าสิ นี่ก็มิได้สบายดีอยู่หรอกหรือ”
“หมิงอวิน การเป็นขุนนางนี่ เราอย่าทำมันอีกเลย การต้องคอยหวาดเกรงอยู่ตลอดเช่นนี้ ทำให้ข้าแทบจะเป็นโรคหัวใจแล้วก็ว่าได้ หากมีเรื่องประเภทนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ข้าต้องเป็นบ้าแน่ๆ…” หลินหลันสะอึกสะอื้น
“ตกลงๆ เราไม่ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ขุนนางอะไรพวกนี้แล้ว ข้าล้วนเชื่อฟังเจ้า ดีหรือไม่ เด็กดี ให้ข้าดูร่องรอยบาดเจ็บของเจ้าเร็วเข้า” หลี่หมิงอวินปลอบประโลมนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลินหลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาปรากฏหยาดน้ำตาเอ่อคลอ จ้องมองเขาอย่างรู้สึกเหนือความคาดหมาย “เจ้าพูดจริงหรือ”
หลี่หมิงอวินปาดคราบน้ำตาบนใบหน้านางอย่างอ่อนโยน พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยโกหกเจ้าเมื่อใดกัน ระยะนี้ข้าก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด ตั้งใจว่ากลับมาค่อยพูดคุยกับเจ้าอย่างละเอียดอีกที”
ตอนอยู่ในวังเขาก็ได้ยินพ่อตาเอ่ยว่า หลันเอ๋อร์ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้จริงๆ แล้วยังถูกองค์รัชทายาทหมายหัว ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างยิ่ง หัวใจเขาถึงกับเต้นระรัวด้วยความตระหนกตกใจ และรู้สึกละอายแก่ใจอย่างยิ่ง หลายต่อหลายครั้งที่เขาเข้าสู่สถานการณ์ยากลำบาก ล้วนเป็นหลันเอ๋อร์ที่เสี่ยงชีวิตช่วยเขาให้รอดพ้นจากอันตราย นี่จะให้เขาไม่ละอายแก่ใจได้อย่างไร ให้ชีวิตสงบสุขแก่หลันเอ๋อร์ไม่ได้ แล้วยังทำให้นางต้องลำบากอยู่เสมอ ทั้งยังได้รับความกังวลและหวาดกลัว ช่างทำหน้าที่ในฐานะสามี ได้ไม่เหมาะสมเอาเสียเลย เขาคิดได้แล้วว่า ใต้หล้ามีตระกูลผู้สูงศักดิ์มากมาย ใต้หล้ามีผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และความสามารถมากมาย ขาดเขาหลี่หมิงอวินไปสักคนก็คงไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปได้ ส่วนพวกชื่อเสียงเกียรติยศอะไรพวกนั้น ช่างมันเถอะ! จากนี้เขาขอแค่ได้ดูแลหลันเอ๋อร์ ใช้ชีวิตกันอย่างมั่นคงสงบสุขก็พอ
หลันเอ๋อร์ฉีกยิ้มทั้งน้ำตา แต่แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นกะทันหัน “ไม่ได้สิ! หน้าที่ขุนนางนี้ เจ้ายังจำเป็นต้องทำไปอีกสักระยะหนึ่ง”
หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วและกล่าวด้วยความสงสัย “ทำไมหรือ”
หลินหลันจับมือเขาให้นั่งลงแล้วเอ่ย “เจ้าลองคิดดูสิ! ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าก็ลาออกเสียแล้ว ในใจฮ่องเจ้จะพึงพอใจได้หรือ คงได้คิดว่าเจ้าไม่พอใจที่เขาเป็นฮ่องเต้! ถึงตอนนั้นคงสรรหาเหตุผลสักอย่างมาลงโทษเจ้า แล้วจะทำอย่างไรเล่า อีกอย่าง บิดาของพี่สะใภ้ใหญ่ถูกจับแล้ว จึงจำเป็นต้องขอแรงจากเจ้าช่วยเหลือ ดังนั้น ตำแหน่งขุนนางนี่ เจ้ายังต้องทำไปอีกสักระยะ ไว้รอคลื่นลูกใหญ่สงบลงแล้ว เจ้าค่อยลาออกก็ยังไม่สาย”
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “ที่เจ้าพูดออกจะไม่สมเหตุสมผลเท่าใด บอกตามตรง วันนี้องค์รัชทายาทยังแอบส่งสัญญาณลับให้ข้าว่า ต้องการใช้งานข้าเป็นสำคัญ การลาออกในยามนี้จึงไม่เหมาะสมจริงๆ”
หรูอี้หยิบยาดองเข้ามาและกล่าวรายงาย “ต้าเส้าเหยียมาแล้ว กำลังรอพบเอ้อร์เส้าเหยียอยู่เจ้าค่ะ!”
หลี่หมิงอวินแตะหลังมือของหลินหลันอย่างเบามือแล้วกล่าว “ข้าไปเดี๋ยวเดียว หยินหลิ่ว เจ้าช่วยทายาดองให้เอ้อร์เส้าหน่ายนายก่อนแล้วกัน”
หลี่หมิงเจ๋อได้ยินว่าน้องรองกลับมาแล้ว จึงรีบมาให้เห็นกับตา เมื่อได้เห็นน้องรองปลอดภัยดี จึงรู้สึกโล่งใจ หลังพี่ใหญ่กลับไปแล้ว ขณะหลี่หมิงอวินเตรียมกลับเข้าห้อง ก็เห็นเหยาจินฮวาเดินออกมาจากห้องปีกตะวันตก แล้วเอ่ยทักทายเขาด้วยรอยยิ้มประจบสบพลอ “ไอ้หยา! น้องเขย ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว พี่สะใภ้เป็นห่วงเจ้าเหลือเกินเชียวละ!”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มจางๆ แล้วกล่าวอย่างห่างเหิน “ขออภัยที่ทำให้พี่สะใภ้เป็นกังวลใจขอรับ”
“เป็นคนครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น แล้วจะไม่กังวลใจได้ที่ไหนเล่า หลายวันก่อนข้ายังได้ยินว่าน้องเขยอาจกลับมามิได้แล้ว ข้าล่ะกลัดกลุ้มจนกินข้าวกินปลาไม่ลง” เหยาจินฮวากล่าวขณะแสดงสีหน้าอาการห่วงใย
แม้จะอยู่ภายในห้อง หยินหลิ่วก็ยังได้ยิน จึงอดบ่นอุบอิบไม่ได้ “ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ในจวนแห่งนี้ ก็มีแต่นางกับป้าหลิวที่กินได้มากที่สุดอย่างกับหมู ยังจะมาตีหน้าซื่อเล่นบทคนดีอยู่ได้…”
หลินหลันกล่าวตำหนิเบาๆ “เจ้าจะไปสนใจอันใดกับคนอย่างนางหรือ มิใช่ไม่รู้ว่านางเป็นคนเช่นไรเสียหน่อย”
“ข้าน้อยก็แค่ไม่อาจคุ้นชินกับคำพูดเสแสร้งของนางได้เจ้าค่ะ” หยินหลิ่วกล่าวด้วยความหงุดหงิด
หลินหลันดึงถุงเท้าขึ้น แล้วปล่อยชายกระโปรงลง จากนั้นเอ่ยสั่งการ “ไม่คุ้นชินก็ไม่ต้องไปฟัง เอาละ ไม่ต้องทาแล้ว รีบไปเตรียมน้ำร้อนให้เอ้อร์เส้าเหยียเถิด”
หลังรับประทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย หลี่หมิงอวินนั่งเอนกายอยู่บนเตียงเตาที่อบอุ่น พลางเอื้อนเอ่ย “ไม่รู้ว่ายามนี้จิ้งปั๋วโหว์จะรู้สึกเช่นไร วันนี้ยามที่ออกจากวัง ข้าเห็นสีหน้าเขาหดหู่เอาการ”
หลินหลันหน่อยตัวลงนั่งแล้วพิงเขา “ต้องการให้ส่งคนไปสอดส่องที่จวนโหว์หรือไม่”
หลี่หมิงอวินส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก พรุ่งนี้ข้าจะไปหาด้วยตนเองสักครั้ง สถานการณ์การของโหว์เหยียกับข้าแตกต่างกัน ข้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น องค์รัชทายาทจึงไม่จำเป็นต้องตั้งรับมือกับข้าอย่างเคร่งครัดแต่อย่างใด ทว่าโหว์เหยียกอบกุมกำลังทหารไว้ในมือ…เดิมทีองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับโหว์เหยีย แต่หลังจากเรื่องราวนี้ องค์รัชทายาทก็เกิดความเคลือบแคลงใจต่อโหว์เหยีย เกรงว่าจะไม่ใช้งานโหว์เหยียอีกครั้งน่ะสิ”
หลินหลันจับรอยย่นที่กลางคิ้วทั้งสองของเขา แล้วกล่าวอย่างอ่อนหวาน “จวนจิ้งปั๋วโหว์ก่อร่างสร้างมาเกือบร้อยปี จักต้องมีวิธีการแก้ไขปัญหาในแบบฉบับของตนเองแน่นอน หลายปีมานี้ โหว์เหยียชนะใจฮ่องเต้อย่างลึกซึ้ง ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่รุ่งเรืองอย่างยิ่ง หากครั้งนี้จะได้รับความไม่พึงพอใจจากองค์รัชทายาท เพราะต้องการตอบแทนพระคุณฮ่องเต้ นั่นคงดูเป็นเรื่องไม่ดี องค์รัชทายาทมีนิสัยขี้ระแวงอย่างยิ่งมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้แรกเริ่มจิ้งปั๋วโหว์สนับสนุนเขา เกรงก็แต่ว่าการที่เขาได้รับอำนาจมาก ก็จะทำให้องค์รัชทายาทเกิดความหวาดระแวงใจอยู่ดี มิสู้ค่อยๆ ร่นถอย แล้วรักษาตนไว้ให้รอดปลอดภัยจะดีเสียกว่า”
หลี่หมิงอวินจ้องมองหลินหลันอย่างประหลาดใจ ตามด้วยถอนหายใจออกมา “เจ้าเองก็มองได้อย่างทะลุปรุโปร่งทีเดียวเชียว ข้าเพียงแค่เสียดายแทนโหว์เหยีย โหว์เหยียเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ ความคิดอ่านมองการณ์ไกล ช่างเป็นผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ยากพบเจอยิ่งนัก”
“ม้าดีก็จำเป็นต้องได้ผู้คุมบังเหียนที่ดีเช่นกัน ถึงจะทะยานออกไปได้ยาวไกล แม่ทัพผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ก็จำเป็นต้องพบเจอราชันผู้ฉลาดปราดเปรื่อง ถึงจะบรรลุความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้ ตามจริง เมื่อคิดได้แล้วก็เป็นอันสิ้นเรื่องแล้ว เรื่องราวมากมาย มิใช่ว่าเพียงเจ้านึกคิดหรือเจ้ามีความสามารถก็จะเป็นผลสำเร็จได้ ถอยออกมาก้าวหนึ่ง จะได้มองเห็นท้องนภาที่กว้างใหญ่ขึ้นอย่างไรล่ะ!” หลินหลันกล่าวปลอบใจ
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “มิน่าละเจ้าถึงเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ รีบบอกมาเลยว่าเจ้าพูดอันใดกับฮ่องเต้บ้าง”
หลินหลันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าหาได้มีความสามารถยิ่งใหญ่เพียงนั้นไม่ ถึงได้พูดเกลี้ยกล่องฮ่องเต้ได้ ฮ่องเต้พระองค์ทรงมองการณ์ไกล เป็นผู้ชาญฉลาดและมีความเป็นวีรบุรุษ ไยต้องให้ข้ามาพูดเกลี้ยกล่อมเล่า”
หลี่หมิงอวินบีบจมูกนางอย่างเบามือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทีนี้เจ้ากลับรู้จักถ่อมตนกับเขาเสียแล้ว ตอนแรกใครกันที่ยอมเสี่ยงอันตรายถึงขั้นหัวอาจหลุดออกจากบ่าก็ต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ให้จงได้ ยังไม่รีบสารภาพความจริงมาอีก”
หลินหลันปัดมือเข้าทิ้งขณะฉีกยิ้ม จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ามิได้พูดอันใดจริงๆ ก็แค่พูดคุยเรื่องราวในราชวงศ์ก่อนๆ กับพระองค์เท่านั้นเอง”
หลี่หมิงอวินหรี่ตามองนางอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มขมขื่นก็ปรากฏขึ้นบนมุมปาก “ฮ่องเต้ช่างเป็นผู้ทรงพระปรีชาสามารถและมีความเป็นวีรบุรุษจริงๆ การตัดสินใจเช่นนี้ได้ไม่ง่ายดายเอาเสียเลย!”
หลินหลันนึกไปถึงวันนั้น เรือนร่างฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ในตำหนักเจาเฮอตามลำพังอย่างโดดเดี่ยว ในใจจึงเกิดความรู้สึกเศร้าโศกเช่นกัน หวังว่าองค์รัชทายาทจะปฏิบัติต่อพระองค์อย่างมีเมตตาจิต ให้เขาได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข ทว่าหลินหลันก็เข้าใจดีเช่นกันว่า ชีวิตหลังจากนี้ของฮ่องเต้จะไม่มีวันสุขสบายไปได้ ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ ไท่ซ่างหวงที่ถูกบีบบังคับให้สละบัลลังก์ อย่างเช่นหลี่หลงจี ฮ่องเต้ซวนจงแห่งราชวงศ์ถัง วัยชราของเขามีเพียงความว่างเปล่า ปราศจากบุคคลที่น่าเชื่อถืออยู่รอบตัวเขา ขนาดสิ้นพระชนม์ในส่วนลึกสุดของพระราชวังยังไม่มีผู้ใดรับรู้ด้วยซ้ำ
“ช่างเถอะ ไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว รีบนอนหลับพักผ่อนแต่หัววันเถอะ! ดูเจ้าสิ รอบตาคล้ำหมดแล้ว” หลี่หมิงอวินลูบพวงแก้มที่ซูบผอมของนางอย่างทะนุถนอม พลางแอบสาบานในใจ เมื่อถึงช่วงเวลาอันเหมาะสม เขาจะพานางไปให้ไกลจากสถานที่แห่งนี้ ไม่ให้นางต้องใช้ชีวิตอย่างเป็นกังวลและหวาดกลัวอีก
[1] ไท่ซ่างหวง (太上皇) เป็นสมัญญาของจักรพรรดิจีนที่สละราชสมบัติ