ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 317 บางครอบครัวสุขสันต์ บางครอบครัวกลัดกลุ้ม
เมื่อวานหลี่หมิงอวินกลับมาแล้วบอกเล่าเรื่องราวที่พี่ใหญ่อยากหย่าร้างกับภรรยา หลินหลันก็เกิดความกังวลอยู่ตลอด ทว่าความนึกคิดที่หลี่หมิงอวินเสนอให้พี่ใหญ่ นำเรื่องนี้มอบให้ตาผู้เฒ่าและนางเฝิงไปจัดการ ก็น่าจะราบรื่นไปได้ด้วยดีอย่างยิ่งกระมัง! ตามจริงเหยาจินฮวาก็แค่ดีแต่ปาก พอเจอคู่ต่อกรของจริงเข้า นางก็ไม่อาจทำอันใดได้แล้ว จนกระทั่งคืนวันถัดไป หลินเฟิงมาเยือนถึงที่
หลินหลันมองหน้าหลี่หมิงอวินแวบหนึ่งแล้วกล่าว “เรื่องนี้ พี่ใหญ่ทำถูกแล้วเจ้าค่ะ ข้าก็แค่ไม่เอ่ยออกมาเท่านั้นเอง ตามจริง ข้าคิดจะเกลี้ยกล่อมให้พี่ใหญ่หย่าร้างกับนางตั้งนานแล้ว หากนางปฏิบัติต่อท่านด้วยใจจริง คำนึงถึงท่าน คำนึงถึงฮานเอ๋อร์ ก็คงไม่ก่อเรื่องไร้ยางอายเหล่านี้ขึ้นมาได้ สตรีที่ไร้คุณธรรมอันดีงามประเภทนี้ ไม่อาจเก็บไว้ได้เจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินกล่าว “หลันเอ๋อร์พูดถูกขอรับ สตรีเยี่ยงเหยาจินฮวาไม่ควรค่าที่จะอาลัยอาวรณ์ด้วยซ้ำขอรับ”
หลินเฟิงพยักหน้า “ข้ารู้แล้วละ ข้าเพียงแค่สงสารฮานเอ๋อร์ ที่ไม่มีมารดาแท้ๆ แล้ว”
“นี่เป็นชะตาชีวิตของฮานเอ๋อร์เช่นกัน แต่ข้าว่า ฮานเอ๋อร์มีแม่แท้ๆ เช่นนี้ มิสู้ไม่มีจะดีเสียกว่า ท่านวางใจได้ ฮานเอ๋อร์เป็นหลานชายของตระกูลหลิน มีคนมากมายรักใคร่เอ็นดูเขา ปกป้องเขา เขาจะต้องมีความสุขมากแน่นอน ภายภาคหน้าพี่ใหญ่ค่อยหาภรรยาสักคนที่มีคุณธรรมดีงามและอุปนิสัยอ่อนโยน แล้วใช้ชีวิตเป็นครอบครัวที่สุขสันต์สมบูรณ์ ดีจะตายไปเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าว
คิ้วเข้มของหลินเฟิงคลายออกเล็กน้อย “ท่านพ่อเอ่ยว่า ฮานเอ๋อร์ให้อยู่กับเขาก่อน เขาจะเป็นผู้เลี้ยงดูให้เอง”
หลินหลันเม้มริมฝีปาก “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน หากมิใช่เพราะร่างกายข้าไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ก็คงจะรับฮานเอ๋อร์มาอยู่ด้วยแล้ว”
หลินหลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้กะทันหัน “พี่ใหญ่ ท่านมั่นใจใช่หรือไม่ว่าเหยาจินฮวากลับเฟิงอานไปแล้ว นางจะไม่มาก่อความวุ่นวายอีกใช่หรือไม่” ตามจริงต่อให้เหยาจินฮวาก่อความวุ่นวาย ก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมาเช่นกัน เพียงแค่ชวนอึดอัดใจก็เท่านั้น
หลินเฟิงกล่าว “ท่านพ่อส่งคนไปด้วย โดยจัดการส่งนางกลับถึงเฟิงอานโดยตรงทันที คงไม่กลับมาอีกแล้ว”
หลินหลันถึงได้รู้สึกวางใจ “เช่นนี้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
เดือนหก วันที่ยี่สิบสอง เป็นวันดีที่หมิงจูจะออกเรือน เพราะหลินหลันตั้งครรภ์ เรื่องราวต่างๆ ในช่วงก่อนหน้าล้วนเป็นติงหลั้วเหยียนที่คอยจัดการ ออกเรือนในวันนี้ ในฐานะพี่สะใภ้คนหนึ่ง แน่นอนนางว่าต้องไปร่วมด้วย
หมิงจูสวมใส่ชุดสีแดงสด ซีเหนียงเปิดผ้าคลุมหน้าให้นาง ทุกอย่างล้วนตระเตรียมอย่างครบครัน เหลือแค่รอให้ถึงฤกษ์งามยามดีให้ฝ่ายชายมาสู่ขอ
หมิงจูรู้สึกประหม่าอย่างยิ่งจนใจกลางฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อตลอดเวลา
ติงหลั้วเหยียนเผยรอยยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวปลอบขวัญนาง “อย่ากลัวไปเลย พี่ใหญ่และพี่รองเจ้าล้วนเคยพบเห็นซ่งเหยียนมาแล้ว เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์และพึ่งพิงได้คนหนึ่ง เจ้าแต่งออกไปแล้ว ก็ต้องไปอยู่กับเขาที่ฮวยโจว ซึ่งพ่อสามีแม่สามีมิได้ติดตามไปด้วย เจ้าเพียงแค่ต้องดูแลบุตรของเขาให้ดีๆ เท่านั้น ซ่งเหยียนก็จะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีแน่นอน”
หลินหลันกล่าวเสริม “หมิงจู พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าพูดถูกอย่างยิ่ง เจ้ามิจำเป็นต้องกังวลเกินไป ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็พอ ข้าเชื่อมั่นว่า เจ้าจะต้องมีความสุขแน่นอน”
หมิงจูขบเม้มริมฝีปาก เสมือนได้ตัดสินใจครั้งใหญ่หลวง แล้วจึงเอ่ยปากขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง ขอบคุณพวกท่านมากนะเจ้าคะ เรื่องราวในอดีตเหล่านั้นที่ข้าทำไม่ถูกต้อง พวกท่านช่วยลืมๆ ไปเถิดนะเจ้าคะ! คิดเสียว่าตอนนั้นข้ายังเยาว์วัยนัก จึงไม่ประสีประสา หลังจากนี้ ข้าจะใช้ชีวิตอย่างดีกับเขา ไม่ทำให้พวกท่านต้องกังวลใจ ข้า…” ขณะกล่าว ดวงตาของหมิงจูค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้นมา
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ล้วนเป็นเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปแล้วทั้งสิ้น ข้าลืมไปนานแล้วละ เจ้ายังจะเอ่ยถึงมันอีกทำไมกัน”
คนอย่างหมิงจูที่ทะนงตนเช่นนี้เอ่ยปากขอโทษได้ หมายความว่านางรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้วอย่างแท้จริง รู้สึกนึกผิดแล้วกลับตัวถือเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมอย่างใหญ่หลวง ไม่เหมือนเหยาจินฮวา จะให้เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้จักเสียใจในสิ่งที่กระทำลงไป ถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น
“ใช่แล้ว! วันนี้เป็นวันดีของเจ้า ห้ามร้องไห้เป็นอันขาด ดูเจ้าสิ เครื่องประทินความงามเลือนหมดแล้ว เสี่ยวเฮอ รีบมาช่วยเติมเครื่องประทินความงามให้คุณหนูเร็วเข้า” ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ด้านนอกครื้นเครงสุขสันต์กันใหญ่โต ทั้งเสียงกลองเสียงฆ้องดังอึกทึก
ซีเหนียงมาเร่งเร้าด้วยสีหน้าเบิกบาน “ถึงฤกษ์งามยามดีแล้วเจ้าค่ะ เจ้าสาวควรขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวได้แล้วนะเจ้าคะ”
ทุกคนพากันห้อมล้อมเจ้าสาวเดินพ้นประตูออกไป หลินหลันมองเห็นซ่งเหยียนผู้เป็นเจ้าบ่าว หน้าตาเกลี้ยงเกลาดูดีทีเดียว และยังมีดวงตาที่ดูจิตใจดีอีกด้วย เรือนร่างสูงโปร่งสง่างาม ถือว่าเป็นลักษณะที่ดีงามเช่นกัน และเมื่อมองไปยังอากัปกิริยา การพูดการจาของเขาที่ดูสุขุมและสง่างามผ่าเผย นางถึงได้เชื่อคำที่หมิงอวินพรรณนาไว้
หลังส่งหมิงจูเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันและติงหลั้วเหยียนจึงหย่อนตัวลงนั่งพูดคุยกัน ติงหลั้วเหยียนถอนหายใจยาว “ในที่สุดก็ได้โล่งอกโล่งใจเสียที”
หลินหลันกล่าวขออภัย “ทำให้พี่สะใภ้ต้องยุ่งวุ่นวายอยู่คนเดียว ข้ารู้สึกผิดจริงๆ เจ้าค่ะ”
ติงหลั้วเหยียนชำเลืองมองนางเชิงตำหนิ “มีอันใดให้ต้องรู้สึกผิดไป ยามนั้นที่เหล่าไท่ไทสิ้นใจ ข้าก็ตั้งครรภ์เซวียนเอ๋อร์อยู่เช่นกัน ทั้งหมดจึงเป็นเจ้าจัดการคนเดียวมิใช่หรือ เรื่องราวในยามนั้นต่างหากถึงเรียกได้ว่าวุ่นวาย!”
หลินหลันหัวเราะเบาๆ ติงหลั้วเหยียนเป็นคนที่มีประเด็นหนึ่งดีงามอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือรู้จักเข้าอกเข้าใจ สิ่งดีๆ ที่คนอื่นปฏิบัติต่อนาง นางล้วนจดจำไว้ขึ้นใจ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี อีกทั้งยังมีอุปนิสัยอ่อนโยนและไม่คิดเล็กคิดน้อย ตอนแรกหมิงอวินช่วยเหลือหมิงเจ๋อ หลินหลันยังแอบบ่นอยู่ในใจ ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว โชคดีที่ตอนแรกไม่ได้ปากมาก มิเช่นนั้น เกรงว่าหลั้วเหยียนและหมิงเจ๋อคงไม่มีวันรักใคร่กันอย่างสุดซึ้งเฉกเช่นทุกวันนี้ และไม่แน่ว่า คงเลิกรากันไปนานแล้ว นางก็จะไม่มีพี่สะใภ้ที่ดีงามเพียงนี้ ดังนั้น คนเราในบางครั้งต้องรู้จักใจกว้างเข้าไว้
“ตอนนี้ข้ากำลังกลัดกลุ้มเรื่องของอวี๋อี๋เหนียง เฮ้อ! น้องสะใภ้ ทางด้านท่านลุงตระกูลเยี่ยมีข่าวคราวบ้างหรือไม่” ติงหลั้วเหยียนเอ่ยถาม
หลินหลันส่ายหน้า “มันไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้นน่ะสิ! เร่งรีบส่งอวี๋อี๋เหนียงออกไป เกิดว่าชีวิตในภายภาคหน้าของนางไม่อาจมีความสุขได้ เจ้าและข้าก็คงไม่อาจสบายใจได้เช่นกัน”
“ทว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วน่ะสิ!” ติงหลั้วเหยียนอดไม่ได้ที่จะร้อนรนใจ
หลินหลันกล่าว “เรื่องนี้ ข้าได้คิดมาบ้างแล้ว หรือไม่ก็จัดการให้อวี๋อี๋เหนียงไปพักอาศัยภายนอกก่อน เมื่อท่านพ่อกลับมา พวกเราแค่บอกกล่าวเพียงว่าอวี๋อี๋เหนียงแต่งงานใหม่ไปกับพ่อค้าผู้ร่ำรวยแล้ว ท่านพ่อจะยังมัวถามถึงคนเขาจากพวกเราอีกหรือ หากเขาต้องการตัวคน ก็ให้เขาไปหาลุงใหญ่และอาสามเองไป”
ติงหลั้วเหยียนครุ่นคิด “ก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้วละ”
บางครั้งเรื่องราวต่างๆ ก็ช่างประจวบเหมาะเสียเหลือเกิน งานมงคลทางนี้เพิ่งเสร็จสิ้นไป ตระกูลเยี่ยก็ส่งคนมาหาหมิงอวิน กล่าวว่าตระกูลหร่วนต้องการขอหย่าร้างภรรยา
ป้าสะใภ้ใหญ่ดันไม่อยู่ในเมืองหลวง ลุงใหญ่จึงทำได้เพียงมาปรึกษาหารือกับหมิงอวิน
“ซินเอ๋อร์ช่างไม่เอาไหนเกินไปแล้ว มิน่าละตระกูลหร่วนถึงต้องการหย่าร้าง แต่ต่อให้ซินเอ๋อร์ไม่ดีเพียงใด ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ข้าจะมองดูนางเป็นสตรีที่ถูกทอดทิ้งคงมิได้ เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ของซินเอ๋อร์ก็คงเป็นอันจบสิ้นแล้ว” เยี่ยเต๋อฮ๋วยถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า กลัดกลุ้มเสียยิ่งอะไรดี
หลี่หมิงอวินถือถ้วยน้ำชาขึ้นมาแล้ววางมันลงอีกครั้ง แม้ว่าตอนแรกลุงใหญ่จะพอมีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหร่วนอยู่พอตัว แต่นั่นก็เพื่อคำนึงถึงแผนการกิจการของวงศ์ตระกูล ทว่าคุณชายตระกูลหร่วนท่านนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่คู่ควรกับเยี่ยซินเอ๋อร์เช่นกัน หากเยี่ยซินเอ๋อร์ปล่อยวางและใช้ชีวิตกับครอบครัวเขาอย่างสงบสุขไปวันๆ ก็คงไม่ตกมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
“ตัวเปี่ยวเหม่ยเอง ว่าอย่างไรบ้างหรือขอรับ” หลี่หมิงอวินเอ่ยถาม
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกัดฟันแน่นด้วยความเดือดดาล “ไอ้ลูกดื้อรั้นคนนี้ นางหรือจะรู้จักเรื่องใดสำคัญหรือไม่สำคัญ และตระกูลหร่วนก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าต้องการหย่านาง”
หลี่หมิงอวินแอบถอนหายใจอย่างไร้เสียง หากเป็นเช่นนี้ ก็คงไม่มีวิธีแก้ไขอันใดได้แล้ว ต่อให้ครั้งนี้เกลี้ยกล่อมตระกูลหร่วนได้ ก็ไม่ได้ช่วยให้ได้อะไรขึ้นมาเช่นกัน
“ท่านลุง หลานขอกล่าวตามตรงนะขอรับ ทางเดียวในตอนนี้ มีเพียงลองดูว่าพอจะจากกันด้วยดีได้หรือไม่ขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ถูกขอหย่าร้างกับแยกกันอยู่ด้วยดี ถือว่ามีความแตกต่างกัน สตรีที่ถูกหย่าร้าง นั่นเป็นเรื่องที่อับอายขายหน้าที่สุด ซึ่งจะหมายความว่าความผิดทั้งหมดอยู่ที่ตัวเยี่ยซินเอ๋อร์ ทว่าแยกกันอยู่ด้วยดี ถึงอย่างไรก็น่าฟังขึ้นมาหน่อย เพราะมีความหมายว่าต่างฝ่ายต่างมีความผิดคนละครึ่ง เป็นการดีต่อทั้งสองฝ่าย สำหรับวิธีการที่ทำอันใดอื่นไม่ได้แล้ว
เยี่ยเต๋อฮ๋วยชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงกล่าวด้วยความหดหู่ใจ “เห็นทีว่าก็คงทำได้เท่านี้แล้วละ อย่างมากข้าก็แค่จ่ายเงินออกไปมากหน่อย”
หลังตระกูลเยี่ยและตระกูลหร่วนเจรจากันอยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดตระกูลเยี่ยไม่ต้องคืนสินสอดการแต่งงานครั้งนี้ให้ เพียงแค่จ่ายเงินชดใช้ให้ตระกูลหร่วนเป็นจำนวนแปดพันตำลึงเงิน ให้ทั้งสองฝ่ายแยกจากกันด้วยดี
หลินหลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอือมระอา หลังรับรู้เรื่องราวดังกล่าว เยี่ยซินเอ๋อร์นับได้ว่าเป็นผู้ที่ขยันสร้างปัญหาให้ต้องจ่ายเงินชดใช้เสียจริง โชคดีที่ตระกูลเยี่ยมีเงินมากพอสำหรับการใช้จ่ายเพื่อกู้หน้าไว้
“เฮ้อ ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ จากนี้เจ้าไปบ้านท่านลุงให้น้อยๆ หน่อย” หลินหลันกล่าวตักเตือน เยี่ยซินเอ๋อร์ทำเยี่ยงนี้ ก็เพราะปล่อยว่างลูกพี่ลูกน้องชายหมิงอวินของนางไม่ได้ ตอนนี้ได้กลับคืนสู่ครอบครัวมารดาแล้ว ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่คิดการใดขึ้นมาอีก หลินหลันจึงจำเป็นต้องตักเตือนไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด
หลี่หมิงอวินลูบท้องของนางพลางกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เจ้านี่นะ! ช่วยกังวลใจเรื่องที่ไม่จำเป็นเหล่านี้ให้มันน้อยๆ หน่อย ข้ารู้ดีแก่ใจหรอกน่า”
หลินหลันถลึงตาใส่เขา “เจ้ารู้ดีแก่ใจ แต่คนเขาไม่แน่ว่าจะรู้ดีแก่ใจสักหน่อย นางกลายเป็นเช่นนั้นไปแล้ว ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว คงทำได้ทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงถูกผิด ใครจะยับยั้งได้หรือ บอกให้เจ้าแวะเวียนไปทางด้านนั้นน้อยๆ หน่อย ก็แค่ทำตามที่บอกก็พอ ”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างอารมณ์ดี “ขอรับๆ คำพูดของเจ้า ล้วนเป็นดั่งบัญชาของฮ่องเต้ ตกลงหรือไม่”
“เจ้าช่วยพูดอย่างขอไปทีกับข้าให้มันน้อยๆ หน่อย เรื่องนี้เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจ เกิดเจ้าถูกนางเกาะหนึบ ยามนี้ข้าคงไม่มีกะจิตกะใจไปช่วยชีวิตเจ้าหรอกรู้ไว้ด้วย ถึงตอนนั้นเจ้ามาร้องห่มร้องไห้ก็สายไปเสียแล้ว” หลินหลันกล่าวจริงจัง วิธีการของเยี่ยซินเอ๋อร์ในตอนแรก นางได้เห็นกับตาแล้ว คนที่ใจกล้าอย่างนางเช่นนี้ ช่างเป็นสตรีที่ไม่อาจพบเห็นได้มากนักจริงๆ
หลี่หมิงอวินกลับเห็นต่างอยู่เล็กน้อย เขาไม่ได้มีความนึกคิดใดๆ ต่อเยี่ยซินเอ๋อร์เลยสักนิด แต่เป็นหลันเอ๋อร์ที่วิตกกังวลไปเพียงนั้น เขาจึงทำไปตามความประสงค์ของหลันเอ๋อร์
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว จะระมัดวังแน่นอนขอรับ”
เมื่อได้รับการรับปากของหลี่หมิงอวินแล้ว หลินหลันถึงวางใจขึ้นมา
“หลันเอ๋อร์ ท้องเจ้าใหญ่ขึ้นมากแล้ว ข้าว่ายามที่พี่สะใภ้ตั้งครรภ์สามเดือน ยังมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำ” ขณะหลี่หมิงอวินลูบคลำท้องของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล หากเด็กตัวใหญ่เกินไป ช่วงเวลาที่ต้องคลอดในวันข้างหน้าจะทุกข์ทรมานเกินไปหรือไม่
หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนหวาน “สภาพร่างกายของแต่ละคนแตกต่างกันไป บางคนก็ท้องใหญ่ค่อนข้างไว บางคนก็ท้องใหญ่ค่อนข้างช้า ถึงเจ้าจะเห็นว่าบางคนท้องใหญ่โต แต่เอาเข้าเด็กที่คลอดออกมากลับตัวเล็กเสมือนลูกแมวก็มี”
“เช่นนั้นข้ายินดีที่จะให้ลูกตัวเล็กๆ หน่อย รอเขาออกมาแล้ว พวกเราค่อยเลี้ยงดูให้ดิบดี เจ้าจะได้ไม่ต้องทรมานเกินไป”
“เช่นนั้นจะได้อย่างไรกัน เด็กเติบโตอยู่ในครรภ์มารดาอย่างจ้ำม่ำ ร่างกายถึงจะแข็งแรง หากตอนแรกเกิดยังไม่แข็งแรงพอ จะมาบำรุงในภายหลังก็เป็นอะไรที่ยากมาก” หลินหลันกล่าวโต้แย้ง
หลี่หมิงอวินกล่าว “เช่นนั้นเซวียนเอ๋อร์คลอดออกมาก็ตัวเล็กนิดเดียวมิใช่หรือ เจ้าดูเขาตอนนี้สิ จ้ำม่ำเสียยิ่งอะไรดี มือน้อยๆ ท่อนขาน้อยๆ นั่นเป็นปล้องๆ เชียว ราวกับรากบัวอ่อน แล้วไหนจะคางก็ยังมีตั้งหลายชั้นเชียว”
“แล้วไยเจ้าไม่เอ่ยบ้างว่า เซวียนเอ๋อร์ประเดี๋ยวก็เป็นไข้ตัวร้อนอยู่บ่อยๆ บ้างเล่า นั่นล้วนเป็นเพราะภูมิในร่างกายไม่แข็งแรงอย่างไรล่ะ” หลินหลันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หมิงอวินอยากให้เด็กตัวเล็กเท่าใดยิ่งดี หากนางบอกกล่าวเขาว่า ในท้องนางนี้เป็นบุตรแฝด คาดว่าหลายเดือนจากนี้เขาคงไม่เป็นกระวนกระวายใจไม่เป็นสุขตลอดเป็นแน่
นางได้จับชีพจรของตนเองแล้ว ฮว๋าเหวินไป่ก็มั่นใจด้วยเช่นกัน เพียงแต่ปิดบังหมิงอวินไว้อยู่ ทว่าท้องนี่ใหญ่โตขึ้นมากเกินไปจริงๆ หลินหลันจึงเกิดความกังวลเล็กน้อยว่าผิวหนังบริเวณท้องจะแตกลายดั่งผิวแตงโม
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยหน้าเศร้าสร้อย “เจ้าเป็นหมอ ข้าโต้เถียงเจ้ามิได้หรอก ข้าหวังเพียงแค่ลูกของเราจะไม่แพลงฤทธิ์ใส่เจ้ามากเกินไปก็พอ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่หรอกน่า! ลูกของเขาจะต้องเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่ายแน่นอน”
หลี่หมิงอวินรำพึงรำพันในใจ เด็กดี ว่านอนสอนง่ายอะไรกัน ตั้งแต่เจ้าหนูน้อยนี่วิ่งเข้ามาในท้องหลันเอ๋อร์ หลันเอ๋อร์ก็กินไม่ได้ นอนหลับก็ไม่สนิทดี นี่สามเดือนเข้าไปแล้ว ยังมีอาการแพ้ท้องหนักเพียงนี้ นี่น่ะหรือเรียกว่าว่านอนสอนง่าย เจ้าหนูน้อยนี่ ขืนเจ้าไม่เชื่อฟังเข้าไว้ เมื่อเจ้าออกมา ระวังพ่อจะตีก้นเจ้าเถอะ