ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 4 ช่วยให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่น่าอับอาย
ผู้ชายบางส่วนเมื่อแสดงท่าทีน่าสงสารก็มีแต่จะทำให้ผู้อื่นที่พบเห็นรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ทว่าเมื่อเป็นคนที่หล่อเหลาและสง่างาม เป็นชายหนุ่มซึ่งดูเป็นสุภาพบุรุษ ขอเพียงแค่ขมวดคิ้วและเผยสีหน้าที่ดูโศกเศร้าออกมาเล็กน้อย ก็เป็นเรื่องง่ายดายมากที่จะปลุกสัญชาตญาณของเพศหญิงที่เปี่ยมไปด้วยความปรารถนาในการปกป้องขึ้นมา
เขาถึงกับเอ่ยปากขอความช่วยเหลือแล้ว หลินหลันจึงรู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะแกล้งทำเป็นเหตุบังเอิญ “เอ๋? เป็นหลี่ซิ่วฉายเองหรือเนี่ย ถ้าเจ้าไม่เรียกข้า ข้าก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น! แล้วท่านผู้นี้คือ…”
หลี่ซิ่วฉายถือโอกาสช่วงที่แม่นางจางกำลังประหลาดใจ รีบปัดมือของนางออกไป แล้วทำทีเอ่ยแนะนำตัว “ท่านผู้นี้คือแม่นางของจางต้าฮู่”
ที่แท้ก็เป็นหญิงสาวจากตระกูลจางต้าฮู่ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้ สมกับที่เป็นลูกไม้ตกไม่ไกลต้นเสียจริง นางปีศาจทางเพศที่กล้าลวนลามผู้ชายตอนกลางวันแสกๆ หลินหลันชักเริ่มไม่ถูกชะตาแม่นางจากตระกูลจางผู้นี้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว
แม่นางจางมองหลินหลันด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ผู้หญิงทุกคนที่สวยกว่านางล้วนถือเป็นศัตรูของนางทั้งสิ้น โดยเฉพาะผู้หญิงสวยที่รู้จักกับหลี่ซิ่วฉาย ยิ่งเพิ่มความเกลียดชังขึ้นไปอีก
เมื่อรู้สึกถึงความเป็นปรปักษ์อย่างรุนแรงที่แผ่รังสีออกมาจากแม่นางจาง ทันใดนั้นหลินหลันก็ส่งเสียงอ่อขึ้นมา ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามหลี่ซิ่วฉาย “หลี่ซิ่วฉาย แผลพุพองบนตัวเจ้าหายดีแล้วหรือยัง”
อารมณ์ของหลี่ซิ่วฉายรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ ทั้งอธิบายไม่ถูก อับอายเบาๆ แล้วก็ยังรู้สึกโกรธขึ้นมานิดๆ เขาไปมีแผลพุพองตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ไม่ทันให้หลี่ซิ่วฉายเอ่ยตอบกลับ หลินหลันก็พูดต่อไปทันที “แต่ท่านหมอฮู๋ก็บอกไว้แล้วว่า แผลตามร่างกายไม่ใช่แผลธรรมดาทั่วไป หากยังไม่หายสนิทจะออกมาตากลมไม่ได้ ถ้าหากอาการแย่ลงล่ะก็ จะทำให้เป็นหนองทั่วทั้งตัว และเน่าเฟะจนถึงตายได้ น่ากลัวที่สุดคือยังสามารถแพร่เชื้อได้อีกด้วย…”
สีหน้าของแม่นางจางเปลี่ยนไปอย่างมาก และสายตาของนางที่มองไปยังหลี่ซิ่วฉายก็เสมือนกับมองเห็นเทพเจ้าแห่งโรคระบาดอย่างไงอย่างงั้น ใครจะไปรู้ว่าชายที่รูปหล่อเหลาผู้นี้จะมีบาดแผลที่น่าเกลียดน่าชังซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าของเขา เมื่อนึกไปถึงเมื่อครู่ที่นางดึงเขาไว้ และได้สัมผัสเขากับผิวหนังของเขา ขณะนั้นเองทั้งตัวก็รู้สึกคันคะเยอขึ้นมาเสียดื้อๆ
“แม่นางจาง เมื่อครู่คงไม่ได้ถูกตัวเขาหรอกใช่หรือไม่ หากไม่ระวังแล้วไปสัมผัสผิวหนังของเขาเข้าให้ อ่อ! จริงสิ สัมผัสโดนเสื้อก็ไม่ได้ด้วย ข้าแนะนำให้เจ้ารีบกลับบ้านไปเตรียมน้ำยาสมุนไพรเพื่อแช่ตัวอาบซะ แล้วก็ใช้ใบโกฏจุฬาจีนรมควันอีกซักสองชั่วโมงขึ้นไป ไม่เช่นนั้นหากถูกแพร่เชื้อใส่ล่ะก็ คงน่าอนาจแย่ เจ้าที่สวยงามเสียขนาดนี้ หากบนหน้าเกิดแผลพุพองขึ้นมา…” หลินหลันเอ่ยเตือนแม่นางจางอย่างจริงจังด้วยความหวังดี
แม่นางจางไม่ทันรอให้นางเอ่ยจบก็หันไปโวยด่าใส่หลี่ซิ่วฉายหนึ่งประโยค “ตัวซวยจริงๆ” หลังจากเอ่ยจบก็จากไปทันที โดยขึ้นรถม้าซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลนัก สาวใช้ทั้งสามรีบตามไปติดๆ เพียงช่วงเวลาอันสั้นรถม้าก็ห่างออกไปไกลแล้ว
หลินหลันหันไปเห็นใบหน้าของหลี่ซิ่วฉายที่เกือบจะกลายเป็นสีตับหมูอยู่แล้ว ซึ่งนั่นแสดงถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก หลินหลันเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เอ้! ข้าช่วยเจ้าหลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าอับอายนั่นเจ้ายังไม่เอ่ยขอบคุณซักคำก็ช่าง แล้วยังจะมาถลึงตาใส่ข้า? คนที่ขืนใจเจ้าก็ไม่ใช่ข้าเสียหน่อยไม่ใช่หรือ”
หลี่ซิ่วฉายขยับริมฝีปาก ‘ขืนใจ’ คำนี้มันช่างบาดหูมาก แต่ก็เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่เจ้าก็ไม่ควรบอกว่าข้ามีแผลพุพอง” หลี่ซิ่วฉายขมวดคิ้วแน่น
หลินหลันนิ่งเงียบ ข้าไม่บอกว่าเจ้าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก็ดีแค่ไหนแล้ว
“นี่เจ้าคงไม่ได้กำลังกล่าวโทษว่าข้าทำลายเรื่องดีๆ ของเจ้าหรอกใช่ไหม เมื่อครู่แม่นางจากครอบครัวจางฉุดรั้งเจ้าไว้ไม่ยอมปล่อย ก็ไม่เห็นเจ้าจะดุขนาดนี้เลย!” หลินหลันมองหลี่ซิ่วฉายด้วยความรู้สึกสงสัย
หลี่ซิ่วฉายถูกนางตำหนิต่อหน้าต่อตาเสียขนาดนั้น จึงเพียงแต่รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง สมกับที่คนสมัยก่อนกล่าวไว้ว่าผู้หญิงและผู้ชายสองสิ่งนี้เป็นอะไรที่เข้ากันได้ค่อนข้างยาก คนสมัยก่อนนี่พูดถูกเสียจริง
“ไม่ใช่” หลี่ซิ่วฉายเอ่ยอย่างหงุดหงิด
หลินหลันยังคงอารมณ์เสีย “หากไม่ใช่แล้วทำไมเจ้าจะต้องแสดงท่าทางอย่างกับจะเขมือบคนได้ทั้งคนเช่นนั้นด้วย ข้าก็มีปัญญาแค่นี้แหละ เจ้าอยากให้ข้าช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนั้น แล้วยังจะให้เอ่ยออกไปอย่างสวยหรูสง่างามอีก ข้าทำไม่ได้ คราวหลังคราวหน้าหากเจ้าเจอเรื่องวุ่นวายอะไรอีก ก็อย่าได้เรียกหาข้าแล้วกัน”
ใบหน้าของหลี่ซิ่วฉายชะงักไปเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงอาการทำตัวไม่ถูก ลองมาคิดดูดีๆ แล้ว หลินหลันนางเป็นเพียงแค่หญิงสาวคนหนึ่งในหมู่บ้าน แม้ว่าจะมีทักษะทางด้านการแพทย์อยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนหยาบคายผู้หนึ่ง? สามารถไล่แม่นางจางไปได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว พอนึกไปถึงแม่นางจางที่กลับไปแล้วจะต้องใช้ใบโกฏจุฬาจีนรมควันสองชั่วโมงขึ้นไป คงถูกรมควันจนน้ำหูน้ำตาไหลกันไปข้างเป็นแน่ และนี่ก็ทำให้อารมณ์ของหลี่ซิ่วฉายดีขึ้นมาหน่อย สีหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าตอนแรกแล้ว แต่ถึงอย่างไรการถูกขนานนามว่ามีแผลพุพองทั่วร่างกาย นั่นยังทำให้เขาไม่สามารถปล่อยเลยตามเลยไปได้ ทันใดนั้นเองเขาก็ยกสองมือขึ้นมาประสานกันต่อหน้าด้วยท่าทางอ่อนน้อม “เรื่องวันนี้ ขอบใจมาก”
หลินหลันมุ่ยปากแสดงท่าทีไม่แยแส “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าหาเรื่องให้ข้า”
สีหน้าของหลี่ซิ่วฉายเปลี่ยนไปเล็กน้อย นัยน์ตาของเขาเยือกเย็นลง นางยังมีหน้ามาเอ่ยถึงเรื่องครั้งก่อนอีก
ด้วยท่านยายป่วยเป็นโรคไขข้อ เมื่อถึงวันที่มีฝนตกความเจ็บปวดก็ทวีขึ้นจนยากจะทนไหว แม้กระทั่งจะเดินเหินก็เป็นปัญหา ได้ยินท่านหมอฮู๋บอกไว้ว่างูดอกไม้ขาวแช่ในยาดองนั้นมีผลอย่างน่าอัศจรรย์ต่อโรคนี้ แต่งูดอกไม้ขาวนั้นหายากมากในแถบนี้ เขาเดินวนไปมาในภูเขาอยู่หลายวัน ยากลำบากยิ่งนักกว่าจะได้พบซักตัวหนึ่ง ทันทีที่ตามองไปเห็นและกำลังจะยื่นมือออกไปเพื่อจับ แต่แล้วก็ไม่รู้ว่ามีดทำครัวบินออกมาจากแห่งหนใด สับโดนงูออกเป็นสองท่อน ทำให้เขารู้สึกเสียใจและโกรธเป็นอย่างมาก ไม่ทันได้หายตกใจหัวของงูที่ตกลงมาก็กัดเข้าให้หนึ่งที จนเกือบเอาชีวิตไปทิ้งที่หวงฉวน เขาได้แต่นอนโทรมอยู่สองสามวัน แม้กระทั่งวันเกิดของท่านยายเขาก็ต้องพลาดไป เขาเองก็ไม่กล้าบอกความจริงกับท่านยายของเขา ด้วยเกรงว่าท่านยายจะกังวล เรื่องนี้ทำให้เขาโดนท่านยายดุมาจนถึงทุกวันนี้ หลี่ซิ่วฉายเหลือบมองผู้กระทำผิดที่หวังดีผู้นี้อย่างไม่แยแส ขี้เกียจเกินกว่าจะต่อปากต่อคำ เขากลับหลังแล้วเดินจากไป ทำเพียงทิ้งเงาแผ่นหลังสูงโปร่งให้หลินหลัน
หลินหลันอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เขาหมายความว่าอย่างไรกัน เคยมีคนเอ่ยไว้ว่าในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากแม้ว่าคุณจะได้รับความช่วยเพียงเหลือเล็กน้อยจากผู้อื่น คุณก็ควรตอบแทนเขาสองครั้งในอนาคต แล้วนี่เขาไม่ตอบแทนก็ช่าง แต่ยังจะมาจะชักสีหน้าใส่นางอีก ซิ่วฉายผู้นี้มีดีขนาดไหนเชียวหรือ หลินหลันนางในชีวิตที่ก่อนหน้าเป็นถึงนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัยการแพทย์เชียวนะ! มีอะไรให้น่าดูถูกกันนัก…หลินหลันพึมพำสองสามคำก่อนจะหันกายเดินต่อไปพร้อมกับอารมณ์โกรธ
เอ่อ! ไม่ใช่สิ นี่มันทางกลับบ้าน หลินหลันหันไปมองเจ้าของแผ่นหลังที่ค่อยๆ เลือนหายไป จัดแจงแบกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นหลัง แล้วเร่งฝีเท้า เพิ่มความเร็วรีบไปให้ทัน
หลินหลันเดินผ่านหลี่ซิ่วฉายด้วยใบหน้าหยิ่งจองหอง จนกระทั่งเดินนำหน้าหลี่ซิ่วฉายไปหลายสิบก้าวจึงค่อยๆ ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง แสดงท่าทีเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ชนบท พลางฮัมเพลงเบาๆ แล้วยังเด็ดดอกหญ้าข้างทางมาเล่น ใครทำให้นางหดหู่และอึดอัด นางก็จะทำให้เขาผู้นั้นหดหู่และอึดอัดยิ่งกว่า
หลี่ซิ่วฉายมองดูหลินหลันที่เดินส่ายไปมาอยู่เบื้องหน้าอย่างตกตะลึง ได้ยินเสียงนางที่กำลังร้องฮัมเพลงอย่างมีความสุข อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากเข้าหากันจนเป็นเส้น นางยังคงไม่ยอมเสียเปรียบเลยจริงๆ ชายร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวตัวเล็กๆ จะมองยังไงก็ดูขัดตาไปหมด เขาก็ไม่ได้อยากสู้กับนางเสียหน่อย ไม่รู้ว่าจะก้าวต่อไปหรือถอยหลังดี ทำได้เพียงรักษาท่าทีที่เหมาะสมไว้ หลี่ซิ่วฉายจึงหยุดเดินไปชั่วขณะและรอให้นางเดินจากไปก่อน
หลินหลันไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเบื้องหลังอีกต่อไป อดทนที่จะไม่หันกลับไปมอง หากนางหันกลับไปมองนั่นก็หมายความว่านางใส่ใจ ผีเท่านั้นแหละที่จะใส่ใจ แต่ว่าก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆ เหมือนกัน หลินหลันเลิกคิ้วเรียวบาง ลบความคิดที่จะแกล้งเขาออกไป แล้วหันไปตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไป
เมื่อเห็นนางค่อยๆ ไกลออกไป หลี่ซิ่วฉายก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อครู่เขากังวลจริงๆ ว่าหลินหลันจะเล่นงานเขาไม่ปล่อย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะจัดการหญิงนางนี้
หลินหลันที่เพิ่งจะเลี้ยวจากถนนสายเล็กเพื่อไปยังถนนสายใหญ่ ก็ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนอย่างตื่นเต้นมาแต่ไกล “หลินหลัน หลินหลัน ข้าอยู่ทางนี้…”
ขณะนั้นเองหลินหลันรู้สึกราวกับถูกสาปให้แช่แข็ง ถอนหายใจมาด้วยความเศร้าใจ จบกัน สุดท้ายก็ยังถูกเป่าจู้ตามจับจนได้
เป่าจู้ทางด้านนั้นกำลังวิ่งเข้ามาพร้อมกับในมือที่ถือตะกร้าไข่เป็ดเอาไว้
“หลินหลัน ทำไมวันนี้เจ้าถึงมาสายเช่นนี้ ข้ารอเจ้าอยู่ตั้งนานแล้ว” เป่าจู้ยิ้มออกมาอย่างสดใส ราวกับกำลังป่าวประกาศว่าเขาฉลาดหลักแหลมเพียงใด ไม่ว่าหลินหลันจะไปทางไหนก็จะถูกเขาดักรออยู่ทางนั้น
ริมฝีปากของหลินหลันกระตุกเล็กน้อย เป็นความรู้สึกที่พยายามฉีกยิ้มออกไป “พี่เป่าจู้ พี่รอข้ามีเรื่องอะไรงั้นหรือ”
เป่าจู้เอ่ยขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติเฉกเช่นมันเป็นเรื่องธรรมดา “ก็เข้าเมืองไปพร้อมกับเจ้าไงล่ะ!”