ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 42 ตามหาหมอกลางดึก
ยังไม่ทันฟ้าสาง หลินหลันและหลี่หมิงอวินถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงเคาะประตูอย่างกะทันหัน
เป็นเพราะฝนตกอยู่ตลอดเวลาซึ่งก่อให้เกิดเสียงสายฝนที่ดังซู่ซ่า จึงทำให้อวี้หลงเคาะประตูเรียกมาเป็นเวลาชั่วครู่หนึ่งแล้ว หากไม่ใช่เหวินซานที่เอาแต่ทำหน้าทำตาส่งสัญญาณมาให้นางอยู่ตลอดเวลา นางก็คงไม่กล้ารบกวนเวลานอนหลับฝันดีของเส้าเหยียและเส้าฟูเหรินเช่นนี้หรอก
หลี่หมิงอวินรีบร้อนลุกขึ้นจากเก้าอี้นวมตัวยาวแล้วคว้าเอาผ้าห่มโยนขึ้นไปบนเตียงนอน ก่อนส่งเสียงออกไป “มีเรื่องอันใด”
“เส้าเหยีย มีเด็กน้อยเกิดป่วยกะทันหันบนเรือลำข้างหน้า ครอบครัวนั้นจึงร้อนใจตามหาหมอรักษาทั่วสารทิศ จนกระทั่งขึ้นมาถามบนเรือของพวกเราแล้วขอรับ ซึ่งข้าน้อยเองก็ไม่กล้าตัดสินใจ…” เหวินซานกระแอมสองสามทีแล้วตะโกนกล่าวสุดเสียง
หลี่หมิงอวินหันไปมองยังหลินหลัน
ขณะที่หลินหลันลุกขึ้นสวมใส่ชุดตั้งแต่ที่ได้ยินว่ามีเด็กน้อยกำลังป่วย แล้วพูดผ่านม่านที่กั้นกลางเอาไว้ “ข้าจะลองไปดูเสียหน่อย”
การรักษาและช่วยชีวิตผู้ป่วยถือเป็นเรื่องใหญ่ หลี่หมิงอวินจึงกล่าวตอบกลับไป “เหวินซาน เจ้าไปบอกครอบครัวนั้นว่าอีกประเดี๋ยวเส้าฟูเหรินจะไปหา”
เหวินซานส่งเสียงขานรับ แล้วรีบวิ่งไป
หลินหลันเมื่อสวมใส่ชุดเรียบร้อยก็ลงจากเตียง ขณะเดียวกันก็เห็นว่าหลี่หมิงอวินกำลังจัดแจงสวมใส่ชุดอยู่เช่นกัน
“เจ้าไม่นอนต่ออีกสักหน่อยหรือ”
หลี่หมิงอวินผูกเชือกคาดเอวเรียบร้อย กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”
หลินหลันนึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย “เจ้าไม่รู้ทักษะการรักษาอาการเจ็บป่วยเสียหน่อยแล้วจะไปทำไมกัน”
หลี่หมิงอวินหาสนใจที่นางพูดไม่ เมื่อสวมใส่รองเท้าเรียบร้อยแล้วก็เปิดประตูออกไป โดยมีอวี้หลงยืนรออยู่ด้านนอกอยู่แล้ว
“รีบไปนำน้ำมาสักกะลังมังหนึ่ง แล้วเรียกหยินหลิ่วให้มาช่วยเส้าฟูเหรินจัดแต่งผมเพร้า” หลี่หมิงอวินเอ่ยสั่งการ
ทุกคนต่างตระเตรียมสิ่งของด้วยความรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หยินหลิ่วรับหน้าที่ช่วยถือกล่องยาให้นายหญิงของตน ขณะที่อวี้หลงถือร่มกระดาษน้ำมันมาสองสามคัน “ด้านนอกฝนตกหนักมากเจ้าค่ะ”
หลังออกจากใต้ท้องเรือแล้ว หลี่หมิงอวินจึงถือร่มและโอบกอดเอวคอดของหลินหลันเอาไว้ ขณะนั้นทั้งคู่ก็พากันพุ่งฝ่าสายฝนออกไป
หลินหลันมองเห็นเหวินซานกำลังพูดคุยกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งบริเวณหัวเรือ และตงจึก็กำลังวิ่งเข้ามา “เส้าเหยีย เป็นครอบครัวนั้นแหละขอรับที่ก่อนหน้านี้พยายามจะแย่งเรือของพวกเราที่ท่าเรือหลินอาน”
พูดเช่นนี้ในเวลาแบบนี้หมายความว่าอย่างไรกัน หรือว่าจะให้แก้แค้นโดยไม่ต้องไปช่วยชีวิตคนเช่นนั้นหรือ
หลี่หมิงอวินชักสีหน้าเย็นชา “ช่วยแยกแยะเป็นเรื่องๆ ไปด้วย”
ตงจึยิ้มแฮะๆ แล้วกล่าวออกไป “ไม่ใช่ว่าข้าน้อยต้องการห้ามเส้าเหยีย เพียงแต่อยากเอ่ยเตือนเส้าเหยียเอาไว้ก็เท่านั้นขอรับ”
หลี่หมิงอวินจ้องเขม่งใส่เขาไปหนึ่งที เจ้าคิดอะไรอยู่ภายในใจกันแน่ มีหรือที่นายอย่างข้าจะไม่รู้ทัน
“ไปกันเถอะ!” หลี่หมิงอวินใช้ท่อนแขนของเขาโอบรัดไว้ที่รอบเอวของหลินหลัน และหลินหลันก็ถูกเขาพาโดยวิ่งมุ่งหน้าไปยังหัวเรือ
เมื่อเห็นว่าเส้าเหยียและเส้าฟูเหรินออกมาแล้ว เหวินซานจึงเชื้อเชิญชายวันกลางคนผู้นั้นเข้ามาทักทาย
ชายผู้นั้นโน้มตัวลงโค้งต่ำท่าแสดงการคาราวะอย่างนอบน้อม “ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ที่มารบกวนท่านชายและภรรยาในยามเช่นนี้ ด้วยเพราะอาการของลูกชายครอบครัวข้าซึ่งน่าเป็นห่วงจริงๆ ”
หลินหลันกล่าว “อย่ามัวมากพิธีอยู่เลย เรื่องตรวจดูอาการป่วยสำคัญกว่า”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าติดต่อกันพลางผายมือออกแสดงท่าเชื้อเชิญ “เรือของครอบครัวข้าอยู่ลำข้างหน้านี้ขอรับ”
หวินซานเข้าไปช่วยหยินหลิ่วถือกล่องยา “ให้ข้าถือเถอะ!”
แผ่นกระดานสำหรับเดินข้าวระหว่างสองเรือได้ถูกวางเทียบเข้าหากันไว้เรียบร้อยแล้ว ชายวัยกลางคนเป็นผู้เดินข้ามไปก่อน แล้วเอ่ยสั่งการสองสามประโยคต่อข้ารับใช้ซึ่งรออยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนที่ข้ารับใช้จะวิ่งเข้าไปในใต้ท้องเรือ
ด้วยความที่บนไม้กระดานเปียกโชก จึงอดไม่ได้ที่ฝ่ามือของหลี่หมิงอวินจะคอยประครองอย่างแนบแน่นเอาไว้กันการเกิดความผิดพลาด พลางเอ่ยกระซิบ “เดินอย่างระมัดระวังด้วย”
หลินหลันส่งเสียงอืม ขณะที่ในใจเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พวกเขาไม่เคยอยู่ในระยะที่ใกล้กันขนาดนี้มากก่อน ใกล้จนขนาดที่สามารถรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของกันและกัน ร่มที่เขาถือเอาไว้มักจะโน้มเข้ามาทางด้านนางเสมอ มือของเขาโอบจับไว้อย่างแน่นและมีพละกำลัง ให้ความรู้สึกที่ปลอดภัย เขาเผยความเป็นห่วงเป็นใยออกมาอย่างธรรมชาติ ราวกับว่านางเป็นภรรยาสุดที่รักของเขาจริงๆ แต่หลินหลันก็รู้ดีว่าการดูแลอย่างเป็นห่วงเป็นใยและความรักไม่ใช่เรื่องเดียวกัน บางทีนี่อาจเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของเขา และอันที่จริงหลี่หมิงอวินก็เป็นคนที่ละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
เยี่ยซินเอ๋อร์ก็ตื่นขึ้นด้วยเช่นกัน โดยนางตื่นตั้งแต่ตอนที่อวี้หลงเคาะประตูห้องแล้วด้วยซ้ำ และได้มอบหมายให้หลิงอวิ้นไปสอบถามดูว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
ไม่นานนักหลิงอวิ้นก็กลับมารายงาน “มีคนป่วยอยู่บนเรือลำข้างหน้าเจ้าค่ะ จึงเชิญให้เส้าฟูเหรินไปตรวจดูอาการป่วย โดยมีเส้าเหยียไปเป็นเพื่อนเส้าฟูเหรินด้วยเจ้าค่ะ”
เยี่ยซินเอ๋อร์เมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็นึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาอย่างแรงกล้า ท่านพี่ชอบอะไรในตัวของหลินหลันกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นการประดิษฐ์ตัวอักษร การเล่นเครื่องดนตรี หรือการเล่นหมากรุก หลินหลันล้วนไม่สามารถทำได้สักอย่าง จะว่าเป็นเพราะรูปลักษณ์ที่งดงาม หลินหลันก็ไม่ได้งดงามเสียขนาดนั้นสักหน่อย จะมีก็เพียงแค่สามารสั่งจ่ายยาได้ และมีคำพูดคำจาที่ดูมีไหวพริบไม่กี่คำก็เท่านั้น เมื่อไหร่กันที่รสนิยมของท่านพี่ต่ำลงไปเสียขนาดนี้ อย่าว่าแต่นางที่รู้สึกเหลือเชื่ออยู่ในใจเลย เกรงว่าผู้หญิงในเมืองหลวงเหล่านั้นที่ชื่นชมและคลั่งไคล้ท่านพี่ เมื่อได้รับรู้เข้าก็คงจะพากันงงงวยและอึดอัดใจอยู่เช่นกัน
ความนึกคิดของเสี่ยวเจี่ยะ หลิงอวิ้นมองออกเป็นอย่างดี เมื่อก่อนนางก็หวังไว้ว่าเสี่ยวเจี่ยะจะได้หมั้นหมายแต่งงานกับคุณชาย ชายหนุ่มรูปงามกับหญิงสาวแสนสวย ช่างเหมาะสมกับดั่งคู่ที่สวรรค์สรรสร้างเอาไว้ ทว่าในปัจจุบันนี้คุณชายได้มีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้ว แต่เสี่ยวเจี่ยะก็ยัง…
นับแต่วันนั้นที่ได้ตบรางวัลเป็นปิ่นปักผมทองให้แก่อวี้หลงไป แล้วต่อมายังยังตบรางวัลด้วยกำไลหยกให้แก่หยินหลิ่วอีก ทังหมดนั้นล้วนอยู่ในสายตาของหลิงอวิ้น ซึ่งในใจของนางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง การที่เสี่ยวเจี่ยะกระทำเช่นนี้มีความต้องการอะไรกันแน่
เยี่ยซินเอ๋อร์เป็นทุกข์ใจอย่างยิ่ง ระยะเวลาสองเดือนบนเรือถือเป็นโอกาสเดียวของนาง หากความปรารถนาของนางไม่อาจลุล่วงได้ เกรงว่าคงเป็นการยากที่จะได้พบหน้าลูกพี่ลูกน้องชายผู้นี้ของนางอีกครั้งเมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้ว สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือหลี่หมิงอวินคอยแต่จะหลบเลี่ยงนาง โอกาสที่นางพยายามไขว้คว้ามาด้วยตัวเองกลับถูกทำลายโดยหลินหลันจนไม่เหลือชิ้นดี หลินหลันผู้นี้มองดูเหมือนจะซื่อบื้อไร้ซึ่งพิษสรง ทว่าใครจะรู้ว่าที่จริงแล้วนางเพียงแค่แสร้งซื่อบื้อหรือว่าเป็นเช่นนั้นจริงในบางครั้งกันแน่ ดูเหมือนว่านางจำเป็นต้องใช้ความพยายามให้มากยิ่งขึ้นอีกถึงจะได้เรื่อง
หลิงอวิ้นมองดูเสี่ยวเจี่ยะซึ่งกำลังขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา แม้จะอยากโน้มน้าวแต่ก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดจากตรงไหนดี และถึงอย่างไรก็ตามเสี่ยวเจี่ยะก็ไม่เคยรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเลย หลังจากลังเลใจอยู่สักพัก หลิงอวิ้นก็ตัดสินใจยอมแพ้ นางเลือกที่จะลองดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
“เสี่ยวเจี่ยะ เวลานี้ฟ้ายังไม่สางเลย นอนต่ออีกสักประเดี๋ยวดีไหมเจ้าคะ”
เยี่ยซินเอ๋อร์เอนกายนอนลงอย่างอ่อนล้าในจิตใจ จ้องมองไปที่มุ้งกระโจมอย่างเหม่อลอย นางควรจะทำอย่างไรดี
หลี่หมิงอวินและหลินหลันขึ้นไปบนเรือลำนั้นเป็นที่เรียบร้อย เห็นเพียงฮูหยินผู้หนึ่งอายุประมาณสี่สิบปีซึ่งมีหน้าตาสง่างามและดูสูงส่งมาให้การต้อนรับ นางมีใบหน้าที่งดงามเพียงแต่ด้วยความวิตกกังวลจึงทำให้สีหน้าซีดเซียวไปเล็กน้อยอย่างเห็ดได้ชัด
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนกำลังพาหลินหลันและหลี่หมิงอวินก้าวเข้ามาเบื้องหน้า ความกระตือรือร้นในดวงตาของฮูหยินก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
ชายวัยกลางคนก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าแล้วปฏิบัติตามทำเนียมโดยเอ่ยแนะนำเป็นอันดับแรก “ฟูเหริน ท่านผู้นี้คือคุณชายหลี่ ส่วนท่านผู้นี้คือภรรยาของคุณชายหลี่ ภรรยาของคุณชายหลี่มีความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เมื่อได้ยินมาว่านายน้อยป่วย จึงยอมฝ่าสายฝนมาถึงที่นี่ขอรับ”
เมื่อได้ยินคำว่าเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ดวงตาของฮูหยินก็กระตือรือร้นขึ้น และเปี่ยมไปด้วยความหวังอันแรงกล้า
“ทำให้ทั้งสองท่านต้องลำบากไปด้วยเสียแล้ว” ฮูหยินย่อตัวคำนับเล็กน้อยให้แด่ทั้งสองท่าน
“ฮูหยินอย่ามัวมากพิธีรีตองอยู่เลย ให้ภรรยาข้าได้รีบไปดูอาการเด็กเถิด!” หลีหมิงอวินกล่าวอย่างสุภาพ
ฮูหยินมองไปทางหลินหลัน “เช่นนั้นก็รบกวนหลี่ฟูเหรินด้วย”
ขณะที่หลินหลันหันไปเรียกหยินหลิ่ว กลับเห็นว่าหลี่หมิงอวินเปียกปอนไปเกือบทั้งตัวแล้ว “เจ้ากลับไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า แล้วเอ่ยกำชับด้วยเสียงกระซิบ “หากรักษาได้จะเป็นการดีที่สุด ทว่าหากเกินเยียวยา ช่วยรักษาให้อาการป่วยทรงตัวไว้ก่อนก็ยังดี พรุ่งนี้ก็ถึงซูโจวแล้ว”
หลินหลันเข้าใจความหมายของเขาดี นี่คงเป็นเพราะไม่ค่อยมั่นใจในทักษะฝีมือการรักษาของนางเท่าไหร่นัก แต่นางก็เข้าใจเช่นกันว่าคำกำชับของหลี่หมิงอวินนั้นเป็นเพราะด้วยความเป็นห่วงที่มีต่อนาง
“เข้าใจแล้ว เจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ อย่ามัวทนหนาวอยู่เลย” หลินหลันตอบรับอย่างเชื่อฟัง แล้วเดินตามฮูหยินท่านนั้นเข้าไปด้านในห้องพร้อมกับมีหยินหลิ่วติดตามไปด้วย
“เมื่อวันก่อนหลงเอ๋อร์เห็นคนกำลังตกปลาอยู่บนเรือ ก็อยากจะตกปลากับเขาบ้าง ด้วยไม่ทันได้ระวังจึงบังเอิญตกลงลงไปในแม่น้ำ โชคยังดีที่เขาได้รับการช่วยเหลือถ่วงทันเวลา ตอนนั้นข้าจึงสั่งให้คนปรุงซุปขิงมาให้หลงเอ๋อร์ดื่ม ทว่าในกลางดึกหลงเอ๋อร์ก็เกิดอาการไอขึ้นมา จนกระทั่งเมื่อวานยิ่งเกิดตัวร้อนขึ้นมาอีก เดิมทีคิดว่าจะสามารถฝืนอดทนเอาไว้ได้จนถึงซูโจว…” ฮูหยินพูดขึ้นระหว่างเดินไปด้วย จนในท่อนสุดท้ายของคำพูดที่ถูกกลืนลงไป และหยาดน้ำตาก็ไหลรินลงมาแทน ด้วยการแบกรับความรู้สึกทุกข์และวิตกกังวลเอาไว้
“แล้วอาการตอนนี้ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง” หลินหลันเอ่ยถามต่อ
ฮูหยินเช็ดน้ำตาเปียกชื้นที่มุมหัวดวงตาแล้วเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนกลางดึก อาการไข้แย่ลง แล้วยังมีอาการอาเจียน และพร่ำบอกตลอดเวลาว่ารู้สึกหนาว ข้าจึงเช็ดตัวเขาด้วยเหล้าขาวและใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเย็นวางแช่ลงบนหน้าผากของเขา แต่กลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับยิ่งเป็นไข้ตัวร้อนหนักมากขึ้น ตอนนี้ข้าได้แต่จนปัญญาแล้ว…”
“ฮูหยิน แย่แล้ว แย่แล้วเจ้าค่ะ นายน้อยกระตุกเกร็งแล้วเจ้าค่ะ…” สาวรับใช้ผู้หนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นตระหนกออกมา
สีหน้าของฮูหยินเปลี่ยนไปในทันที แล้วส่งเสียงตะโกนเรียกด้วยความเจ็บปวด “หลงเอ๋อร์…” ละทิ้งหลินหลันไว้แล้วเดินสาวเท้าอย่างรวดเร็วเข้าไปในห้อง
หลินหลันเองก็ตามเข้าไปติดๆ
เห็นกลุ่มสาวรับใช้ที่กำลังมุงตัวกันอยู่รอบเตียง คอยเช็ดถูมือและเท้าให้ และต่างส่งเสียงตะโกนเรียกนายน้อยกันอยู่ในนั้นด้วยความกังวลและร้อนรนใจ
ฮูหยินเมื่อเห็นเด็กคนนั้นร่างกายกระตุกไม่หยุด อีกทั้งยังมีอาการฟองฟูฟ่องออกมาทางปากและดวงตาเหลือกขึ้น สองขาของนางจึงอ่อนทรุดลงแล้วเป็นลมไปในที่สุด
ยังดีที่หลินหลันเหลือบไปเห็นอาการแล้วประครองฮูหยินเอาไว้ได้ ก่อนจะรีบเอ่ยสั่งการออกไป “พวกเจ้ารีบประครองฮูหยินไปนอนลงก่อนแล้วบีบนวดตามลำตัวของนาง และไปหาชาร้อนๆ มาไว้ให้ฮูหยินของพวกเจ้าดื่มเสีย ส่วนคนอื่นๆ ไปเตรียมน้ำร้อนและผ้าเช็ดหน้าสะอาดๆ มา อย่ามัวรายล้อมกันอยู่แต่ตรงนี้”
กลุ่มสาวรับใช้ต่างอยู่ในอาการตื่นตระหนกและไม่รู้จะรับมืออย่างไร ดังนั้นเมื่อมีคนออกมาสั่งการให้พวกนางทำอะไรก็ตาม มีหรือที่จะไม่เชื่อฟัง ทว่าในนี้จำนวนคนมากเกินไป แล้วแต่ละคนควรรับหน้าที่อะไรกันบ้าง
ท่านป้าผู้หนึ่งก้าวออกมา “หงเซียง หงอวี้ พวกเจ้ารีบประครองฮูหยินเอาไว้ ชิงเฮ๋อไปเทน้ำชามา ส่วนหลันอิงไปนำน้ำร้อนมา…”
หลินหลันหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางออกมาและยัดมันเข้าไปในปากของเด็ก ขณะเดียวกันขอให้หยินหลิ่วเปิดกล่องยาออก “ช่วยหยิบเข็มเงินออกมาให้ข้าที”
หยินหลิ่วหยิบเข็มเงินออกมาแล้วส่งให้นายหญิงของตนอย่างรวดเร็ว หลินหลันรับเอาไปแล้วนับไปรนไฟเพื่อทำการฆ่าเชื้อ และทำการให้การรักษาด้วยวิธีฝั่งเข็มเพื่อทำให้เขาสงบนิ่งลงก่อน
ท่านป้าผู้นั้นหลังชี้สั่งการแต่ละคนไปเรียบร้อยแล้วก็มายืนดูหลินหลันอยู่ข้างๆ ด้วยนางเห็นว่าหลินหลันยังดูเยาว์วัย จึงเกรงว่าทักษะการรักษาของหลินหลันจะไม่เชี่ยวชาญ
สองเข็มถูกฝั่งลงไป เด็กชายผู้นี้ก็หยุดอาการชักกระตุกและนิ่งสงบลง
หลินหลันใช้หลังมือเพื่อทำการทดสอบอุณหภูมิบนหน้าผากของเด็ก ก่อนจะเปิดเปลือกตาและตรวจมองดู ตามด้วยหยิบเอาไม้แซะงัดปากให้อ้าออก เพื่อตรวจดูฝ้าของลิ้น และท้ายสุดก็ทำการจับชีพจรอย่างละเอียด
จากก่อนหน้านี้ที่ได้ยินฮูหยินเล่าถึงสาเหตุของการเจ็บป่วยของเด็ก นางก็พอจะรู้อยู่ในใจแล้วว่าอาการป่วยนี้เกิดจากความหนาวเย็นจากการถูกลมทำให้มีความชื้นเข้าไปในร่างกาย ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะดื่มน้ำเสียเข้าไปเล็กน้อยอีกด้วย และเพราะว่าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันถ่วงที จึงส่งผลให้อาการแย่ลง
“หยินหลิ่ว หยิบยาเป่าหนิงมาสองเม็ด” สีหน้าของหลินหลันเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง “ใช้น้ำอุ่นละลายแล้วป้อนเด็กดื่มลงไป”
ท่านป้าผู้นั่นรีบร้อนเอ่ยขึ้น “มา ข้าช่วยๆ ”
เวลานี้เอง ฮูหยินเริ่มค่อยๆ กลับมามีสติ และทันทีที่ตื่นขึ้นอารมณ์ของนางก็พลั่งพรูขึ้นมาอีกครั้ง “หลงเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง”
หลินหลันกดบ่าของนางเอาไว้ “ฮูหยินวางใจเถิด อาการป่วยของคุณชายน้อยแม้ดูเหมือนจะร้ายแรง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้ เพียงแต่หากยังพลักวันประกันพรุ่งไปอีกสองวันล่ะก็ เกรงว่านั่นคงจะเป็นอันตรายเสียแล้ว”
ทันทีที่ฮูหยินได้ยินว่าพูดว่าสามารถรักษาได้ จึงเอื้อมมือขึ้นไปจับมือของหลินหลันเอาไว้ แล้วกล่าวด้วยความตื่นเต้น “หลี่ฟูเหริน ขอท่านได้โปรดช่วยชีวิตหลงเอ๋อร์ด้วย ตระกูลเฉียวของพวกเราก็มีแค่หลงเอ๋อร์บุตรชายเพียงผู้เดียวคนนี้ หากเขามีอันเป็นไป ข้า…ข้าก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้…”
หลินหลันมองดูฮูหยินผู้นี้อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ขณะที่เด็กชายผู้นี้น่าจะอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบเห็นจะได้ ดูเหมือนว่าจะเป็นการให้กำเนิดในช่วงวัยกลางคน ซึ่งคงไม่แปลกหากจะเป็นความรักที่ใหญ่หลวงยิ่งนัก
“ท่านฮูหยินวางใจได้ การรักษาและช่วยชีวิตคนคือหน้าที่ของผู้เป็นหมอ ตอนนี้ข้าได้ให้ยาเม็ดเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่คุณชายน้อยไปแล้ว เพียงแต่นั่นจะช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราวเท่านั้น หากต้องการรักษาให้ดีขึ้น ยังจำเป็นต้องกินยาตัวอื่นอีกร่วมด้วย”
ฮูหยินที่เพิ่งความคุมสติอารมณ์ให้นิ่งลงได้ เอ่ยสั่งการให้คนนำปากกาหมึกมาให้ “เชิญหลี่ฟูเหรินสั่งจ่ายยาได้เลย”
หลินหลันนั่งลง ถือปากกาทำการขีดเขียนพลางเอ่ยพูดไปด้วย “อันดับแรกคือได้รับความหนาวเย็นจากลม ตามด้วยความชื้น ผู้ป่วยร่างกายของค่อนข้างอ่อนแอไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคจากภายนอกได้และมีความอ่อนไหวต่อลมตลอดจนความหนาวเย็น หากทั้งสองสิ่งมีมากขึ้นก็จะทำให้เหงื่อออกได้ง่าย และยังมีอาการของชีพจรตึงก่อให้เกิดอาการกระตุกเกร็ง ยังดีที่คุณชายน้อยเป็นแค่อาการกระตุกเกร็ง ซึ่งง่ายต่อการรักษา ใช้หม่าฮวง [1] ร่วมกับยาฟู้จื่อฝางเฟิงซ่าน [2] ”
ทั้งฮูหยินและท่านป้าผู้นั้นมองดูหลินหลันที่กำลังพูดสั่งจ่ายยาอย่างมั่นอกมั่นใจ อดไม่ได้ที่จะหันมองสบตากัน โดยที่ดวงตาคู่นั้นให้ความรู้สึกราวกับกำลังพูดว่า…หลงเอ๋อร์รอดชีวิตแล้ว
“วัตถุดิบยาเหล่านี้ที่ข้าก็ขาดแคลนอยู่เช่นกันในตอนนี้ ทำได้แค่ต้องรอจนกว่าจะถึงซูโจวแล้วค่อยเตรียมมันขึ้นมา ในระหว่างสองวันนี้ พวกท่านสามารถใช้ยาเป่าหนิงไปพลางๆ ก่อน แต่จะกินมากเกินไปไม่ได้ ให้กินสองเม็ดทุกๆ สี่ชั่วโมง และคอยป้อนน้ำให้เขาดื่มมากๆ จะช่วยลดลม [3] ภายในร่างกายของเขาได้ และหลังจากผ่านไปสองชั่วโมงแล้วหากไข้ของคุณชายน้อยลดลง พวกเจ้าค่อยเรียกข้ามาอีกครั้ง” หลินหลันนำใบสั่งจ่ายยาส่งให้แก่ฮูหยิน
ฮูหยินซาบซึ้งใจเป็นยิ่งนัก “หากหลงเอ๋อร์รอดพ้นจากเหตุการณ์ร้ายนี้ได้ หลี่ฟูเหรินจะถือเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงต่อตระกูลเฉียวของพวกเรา”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว คุณชายน้อยมีบุญวาสนา แน่นอนว่าจะต้องแคล้วคลาดปลอดภัย เป็นฮูหยินเองต่างหากที่ต้องดูแลรักษาสุขภาพให้มากๆ มิเช่นนั้นเมื่อคุณชายน้อยอาการป่วยหายดีแล้ว จะกลับกลายเป็นว่าฮูหยินดันเกิดป่วยขึ้นมาเสียอีก”
——
[1] หม่าฮวง (麻黄) เป็นยาสมุนไพร โดยใช้เป็นยาแก้ไอ แก้หอบหืด หรือขับปัสสาวะ
[2] ฟู้จื่อฝางเฟิงซ่าน (附子防风散) เป็นชื่อยาจีนแผนโบราณชนิดหนึ่ง
[3] ลมในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรค มักแสดงอาการทางการแพทย์คือ ชักกระตุก