ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 43 ละทิ้งหน้าที่ตามอำเภอใจ
เมื่อหลินหลันเดินออกมาก็เห็นว่าหลี่หมิงอวินซึ่งอยู่ในท่าทางมือไพล่หลังเดินวกไปวนมา และคิ้วเข้มของเขาก็กำลังขมวดเข้าหากันจนเป็นปม เผยให้เห็นสีหน้าอันแสนเคร่งเครียด
เหวินซานเป็นคนแรกที่มองเห็นนายหญิงของตน และใบหน้าของเขาก็เผยความดีใจขึ้นมาพร้อมกับรีบร้อนเอ่ยขึ้น “เส้าฟูเหรินออกมาแล้วขอรับ”
หลี่หมิงหวินเงยหน้าขึ้นมองในทันทีและเดินเข้าไปให้การต้อนรับ “เป็นอย่างไรบ้าง”
ชายวัยกลางคนซึ่งอยู่ด้านข้างก็มองไปทางหลินหลันด้วยใบหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นกังวล
แม่ฟางท่านป้าผู้นั้นรับหน้าที่ออกมาส่งหลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข “ทักษะการรักษาของหลี่ฟูเหรินนั้นล้ำเลิศยิ่งนัก ขณะนี้คุณชายน้อยอาการทรงตัวแล้ว และก็ไม่มีอาการละเมอพร่ำเพ้ออีกแล้วด้วยเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินถอนหายยาวเฮือก แล้วใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อยออกมา
หลินหลันมองเห็นเขาที่เสื้อผ้าทั้งตัวยังคงเปียกชื้นอยู่เช่นเดิม เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้กลับไปเปลี่ยนชุดและทันใดนั้นเองความรู้สึกหงุดหงิดใจอันน่าประหลาดก็ปะทุขึ้นมา “เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก เสื้อผ้าเปียกชื้นไปหมดจนแนบเข้าหาลำตัวเช่นนี้ ไม่รู้สึกไม่สบายตัวบ้างหรือไง หากความชื้นเข้าในร่างกายจนเป็นหวัดขึ้นมาจะทำอย่างไร”
ชายวัยกลางคนรีบร้อนกล่าวขอโทษขอโพย “เป็นความผิดข้าน้อยเองที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบขอรับ”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มบางๆ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ในเมื่อคุณชายน้อยปลอดภัยแล้ว เช่นนั้นพวกเราคงต้องขอตัวลากลับก่อนแล้ว”
เหวินซานเข้าไปช่วยหยินหลิ่วถือกล่องยาอย่างเบิกบานใจ โดยมีชายวัยกลางคนรับหน้าที่ส่งทั้งสี่คนออกจากเรือ
เมื่อเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป ท้องฟ้าก็สว่างโล่งเสียแล้ว อีกทั้งหยาดสายฝนก็ได้หยุดลงแล้วเช่นกัน สภาพอากาศภายนอกสดใสเป็นพิเศษหลังจากที่ฝนหยุดตก และให้ความรู้สึกหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย เหล่านกกระยางหลายตัวบินโฉบผ่านแม่น้ำและร่อนลงบนเสากระโดงเรือ พวกมันส่งสายตาจับจ้องไปยังพื้นผิวน้ำและเตรียมพร้อมที่จะพุ่งกระโจนลงไปตะครุบเหยื่อในแม่น้ำได้ทุกเมื่อ
“เสี่ยวเจี่ยะ ท่านดูนั่นสิ บนนั้นมีนกตัวใหญ่ตั้งหลายตัวแหนะเจ้าค่ะ” หลิงอวิ้นชี้ไปที่เสากระโดงเรือด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“แม่นาง นั่นคือนกกระยางต่างหากล่ะ” หญิงซึ่งรับหน้าที่คุมกรรเชียงประจำเรือถือถังน้ำสกปรกแล้วสาดลงไปในแม่น้ำ หลังจากนั้นจึงหันมาบอกกล่าวหลิงอวิ้นด้วยรอยยิ้ม
เยี่ยซินเอ๋อร์ซึ่งดูเหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น เอาแต่จ้องมองไปยังสองคนเบื้องหน้าที่กำลังเดินเข้ามา
ชายหนุ่มลูกพี่ลูกน้องของนางกำลังใช้แขนข้างหนึ่งโอบประครองหลินหลันเอาไว้ในท่าทีที่คอยให้การระมัดระวัง ช่างเป็นภาพที่แสนบาดตาและยิ่งไปกว่านั้นคือมันช่างทิ่มแทงหัวใจของนางให้เจ็บปวดเสียยิ่งนัก หากมิใช่เพราะท่านพ่อและท่านแม่ของนางไปอยู่ในเมืองหลวงเสียแล้ว ทำให้ในบ้านนั้นไม่มีใครเป็นเสาหลักช่วยนางได้ มิเช่นนั้นแล้วคนที่ยืนเคียงข้างลูกพี่ลูกน้องของนางในตอนนี้ก็ควรจะเป็นนาง ที่ผ่านมานางมักคิดอยู่ตลอดว่ายังคงมีโอกาส ต่อให้เขาต้องการพูดถึงเรื่องหมั้นหมายแต่งงานอย่างไรก็ต้องรอหลังจากครบกำหนดการไว้อายลัยแด่มารดาไปเสียก่อน แต่คาดไม่ถึงเลยว่า ทันทีที่ครบกำหนดการไว้อาลัยลูกพี่ลูกน้องของนางก็พาหลินหลันกลับมาด้วยเสียแล้ว พังทลายความหวังแสนสวยงามทั้งหมดของนางจนราบคราบ แล้วจะให้นางทำใจยอมรับได้อย่างไร
เยี่ยซินเอ๋อร์ดึงสายตาหมองหม่นกลับคืนมา แล้วทอดสายตาไปยังแม่น้ำสายยาว และขณะนั้นเองความคิดอันชั่วร้ายก็เกิดขึ้นในจิตใจ ถ้าหาก…ถ้าหาก…หลินหลันหายลับไปแล้วล่ะก็ ความกังวลใจทั้งหมดนี้ก็จะหมดสิ้นไป!
แล้วจู่ๆ นางก็ลุกขึ้นยืนกะทันหัน พร้อมกับมองไปยังสองคนนั้นที่เดินห่างออกไป
หลิงอวิ้นยังไม่ทันได้ถามแม่นางประจำเรือเกี่ยวกับเรื่องนกกระยางกินอะไรเป็นหาร ก็หันไปเห็นว่าคุณหนูของตนเดินจากไปแล้ว ตนจึงรีบร้อนตามไปในทันที
“ผู้ดูแลจงไม่ต้องส่งแล้วล่ะ ท่านรีบกลับไปเถอะ!” เมื่อมาถึงยังเรือของตนเอง หลี่หมิงอวินก็หันกลับไปพูดกับชายวัยกลางคนผู้นั้น
ผู้ดูแลจงโค้งตัวลงต่ำให้การคารวะอีกครั้ง “รอให้คุณชายน้อยอาการป่วยดีขึ้นมาอีกหน่อย ข้าน้อยจะกลับมาให้การขอบคุณทั้งสองท่านอีกครั้ง”
หลี่หมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวออกไป “การใช้ชีวิตในต่างถิ่นแดนไกลไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ดังนั้นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันจึงเป็นเรื่องที่ควรพึงกระทำอยู่แล้ว”
ผู้ดูแลจงกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นโดยมือซ้ายวางไว้บนหมัดขวา “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลาก่อนแล้วขอรับ”
ทันทีที่ผู้ดูแลจงจากไป หลินหลันก็บ่นตำหนิขึ้นมาในทันที “ทำไมจะต้องรอข้าด้วย เจ้าไม่เชื่อมั่นในฝีมือการรักษาของข้าขนาดนั้นเชียวหรือ”
หลี่หมิงอวินฉีกยิ้มเล็กน้อยขณะมองนาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าช่างจู้จี้เสียจริง”
“โทษว่าข้าจู้จี้แต่เจ้าก็ยังรอข้าเนี่ยหรือ” หลินหลันเหลืบตามองไปที่เขา
“ข้าเพียงแค่เป็นกังวลอาการป่วยของเด็กน้องผู้นั้นต่างหาก” หลี่หมิงอวินกล่าวตอบอย่างขอไปที
หลินหลันรู้สึกโมโห “แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นห่วงว่าเจ้าจะป่วยขึ้นมางั้นรึ ข้าเพียงแค่เป็นกังวลว่าเจ้าหากเกิดป่วยขึ้นมาแล้วก็ต้องลำบากข้าไปด้วยอีก”
หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยท่าทีที่จริงจัง “เจ้าเป็นภรรยาของข้า ดังนั้นการที่ข้ารอเจ้านั่นคือสิ่งที่ควรกระทำ และหากข้าป่วยขึ้นมา การที่เจ้าดูแลข้านั่นก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำเช่นกัน”
หลินส่งเสียงสบถฮึออกมาหนึ่งที “นี่ไม่ได้อยู่ในสัญ…”
หลินหลันอยากจะพูดว่านี่ไม่ได้อยู่ในสัญญาของเรา และก็นึกขึ้นมาได้ว่าเหวินซานและหยินหลิ่วยังคงติดตามอยู่ด้านหลัง! จึงรีบกลืนคำพูดกลับลงไปในทันที
หลี่หมิงอวินอดไม่ได้ที่จะนึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินนางเกือบจะหลุดปากเผยความลับออกมา และทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เจ้ารับรู้ไว้ก็เป็นพอ”
หยินหลิ่วและเหวินซานได้แต่ฝืนยิ้ม เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเส้าเหยียและเส้าฟูเหรินต่างเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน แล้วยังจะไม่ยอมปริปากเอ่ยความจริงออกมา นี่ไม่เท่ากับว่าหาเรื่องให้ตนเองรู้สึกไม่พอใจอยู่หรอกหรือ
“ท่านพี่ พี่สะใภ้ พวกท่านกลับมาแล้ว!”
เบื้องหน้า เยี่ยซินเอ๋อร์กำลังเข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส
หลินหลันเมื่อมองเห็นเยี่ยซินเอ๋อร์กำลังเข้ามาหา ภายในใจก็เกิดความคิดเล็กคิดน้อยขึ้นมา หลี่หมิงอวินเจ้าไม่ชอบเปี่ยวเหม่ยคนตรงหน้าผู้นี้มิใช่หรือ วันนี้ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว เชิญเจ้าจัดการปัญหานี้เองก็แล้วกัน
หลินหลันเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่แต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้ม “เปี่ยวเหม่ยตื่นเช้าขนาดนี้เชียวรึ!”
เยี่ยซินเอ๋อร์มองไปยังลูกพี่ลูกน้องของนางซึ่งกำลังเผยนัยน์ตาที่แสนเย็นชา แล้วในใจก็รู้สึกราวกับว่าถูกใครนำมีดมากรีดเข้าให้ โดยความเจ็บปวดเช่นนี้ มีเพียงนางผู้เดียวเท่านั้นที่รู้สึกได้ ทำไมทุกครั้งที่เขาเห็นนาง เป็นต้องปั้นหน้าราวกับว่าอย่าได้เข้ามาใกล้เป็นอันขาด นางช่างน่ารำคาญเสียขนาดนั้นเชียวหรือ ดังนั้นภายใต้น้ำเสียงที่กล่าวออกไปเผยความเศร้าหมองปะปนอยู่ด้วยเล็กน้อย “พอดีว่าตื่นเช้าไปหน่อย แม้จะพยายามนอนต่อก็นอนไม่หลับ จึงลุกออกมาเดินเล่นเจ้าค่ะ จริงสิ ได้ยินมาว่าพี่สะใภ้ไปให้การรักษาคนป่วยมา คนป่วยผู้นั้นคงไม่เป็นอะไรมากแล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
หลินหลันพยักหน้า “น่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วล่ะ เล่นเสียข้าเหนื่อยพอตัวเลย ขอตัวก่อนแล้วกัน ข้าจะกลับไปนอนพักต่ออีกสักประเดี๋ยว”
ในขณะนี้หลินหลันอยู่ห่างจากขอบเรือเพียงไม่กี่ก้าว ตราบใดที่นางแกล้งลื่นไถลและไปเข้าไปกระแทกชนเข้า หลินหลันก็จะตกลงไปในน้ำ…แต่ทว่า หลินหลันกลับบอกว่านางขอตัวก่อนเสียแล้ว…
เพียงชั่วครู่เดียวที่มัวลังเลใจอยู่ หลินหลันก็แยกตัวออกจากหลี่หมิงอวิน และเดินผ่านเยี่ยซินเอ๋อร์ไป
หลี่หมิงอวินมองหลินหลันที่เอ่ยว่าจะไปก็ไปเสียดื้อด้วยความตกตะลึง นี่นางโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว?
หยินหลิ่วรีบเข้าไปรับกล่องยากลับคืนมาแล้วเดินตามนายหญิงของต้นกลับท้องเรือไป
“ย๊า! ท่านพี่ เสื้อผ้าของท่านเปียกชื้นไปหมดแล้ว” เสียงคำพูดที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยจากเยี่ยซินเอ๋อร์ลอยเข้ามาจากทางด้านหลัง
หลินหลันมุ่ยปาก เยี่ยซินเอ๋อร์เจ้าตั้งใจทำคะแนนให้ดีๆ แล้วกัน!
หยินหลิ่วตามนายหญิงของตนขึ้นมาติดๆ และบ่นอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ “เส้าฟูเหริน เหตุใดท่านถึงได้ทิ้งเส้าเหยียไว้เช่นนั้นเจ้าคะ ไม่กลัวว่า…”
หลินหลันกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “เส้าเหยียก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ประสีประสาอะไรมิใช่หรือ และยิ่งไปกว่านั้นเหวินซานก็อยู่ด้วยแล้วยังมีอะไรให้ต้องกลัวอีก”
‘แอ่ด’ เสียงประตูท้องเรือซึ่งอยู่ข้างๆ ดังขึ้นขณะเปิดออก และตามมาด้วยแม่โจวที่เดินออกมา
หยินหลิ่วเมื่อมองเห็นแม่โจว จึงสะกิดเรียกส่งสัญญาณออกไป
แม่โจวส่งเสียงโอ้ะภายใต้สีหน้าที่เรียบเฉย และพูดกับหลินหลัน “ในเมื่อเส้าฟูเหรินเหนื่อยแล้ว ก็รีบกลับไปนอนหลับพักผ่อนเถิด!”
หลินหลันได้แต่ยิ้มแฮะๆ ขณะที่ในใจรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อยที่แม่โจวดันบังเอิญมาได้ยินคำพูดของนางเข้าเสียแล้ว เห็นทีว่าคราวหน้าคราวหลังต้องระวังคำพูดคำจาไว้ให้มากเสียหน่อย หน้าตามีหูประตูมีช่อง แล้วยิ่งกับการอยู่บนเรือเช่นนี้ ที่มีเพียงไม้กระดานบางๆ กันเอาไว้ ช่างไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย
“เส้าฟูเหรินกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ แล้วเส้าเหยียล่ะเจ้าคะ ข้าให้ทางห้องครัวอุ่นอาหารเช้ารอเส้าเหยียแลเส้าฟูเหรินกลับมาอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ” อวี้หลงเอ่ย
หลินหลันหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้โดยเอนหลังเข้าหาพนักพิง แล้วถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างหดหู่
หยินหลิ่ววางกล่องยาลง “เส้าเหยียยังอยู่ข้างนอกนู้นแหนะ! เดาว่าตอนนี้คงกำลังพูดคุยกับเสี่ยวเจี่ยะรองอยู่” หยินหลิ่วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังและไม่เบาจนเกินไป ซึ่งประโยคดังกล่าวก็ลอยไปเข้าหูของนายหญิงพอดีด้วยเช่นกัน
หลินหลันเหลือบตาขึ้นและมองไปด้านบน จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ! เขาก็ไม่ได้ขอให้นางช่วยทำอะไรให้สักหน่อย และนางก็ไม่ใช่ภรรยาสุดที่รักตัวจริงของเขาด้วย แล้วจะต้องใส่ใจอะไรนักหนาไปทำไมกัน
อวี้หลงรู้สึกประหลาดใจ “แล้วเหตุใดจึงไม่กลับมาพร้อมกันล่ะ”
หยินหลิ่วหันมองไปทางด้านนายหญิงของตนซึ่งกำลังทำปากเบะ แล้วขยับริมฝีปากสื่อสารกับอวี้หลง “ทั้งสองโกรธงอนกันอยู่น่ะสิ”
อวี้หลงอดไม่ได้ที่จะร้อนใจขึ้นมา ถึงจะโกรธงอนกันแต่ก็ไม่ควรทิ้งให้เส้าเหยียอยู่ข้างนอกเช่นนั้น! นั่นเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้เสี่ยวเจี่ยะรองได้อยู่ใกล้ชิดกับเส้าเหยียเชียวนะ!
“เดี๋ยวข้าออกไปดูเสียหน่อย” อวี้หลงเอ่ยพลางเตรียมเดินออกไปด้านนอก
ทันทีที่เปิดประตูออกก็เห็นเส้าเหยียยืนอยู่ด้านหน้าบานประตู โดยที่บนใบหน้าของเขามีหยดน้ำไหลลงมา
อวี้หลงถอยหลีกเปิดทางให้ “เส้าเหยีย…”
หลี่หมิงอวินสาวเท้ายาวเดินเข้ามา แล้วกล่าวโดยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ออกไป”
หยินหลิ่วและอวี้หลงรับรู้โดยปริยายว่าคุณชายของพวกนางกำลังบอกให้ผู้ใดออกไป ทั้งสองคนจึงรีบร้อนออกไปพร้อมกับง้างบานประตูปิดลง และยืนรออยู่ด้านนอกด้วยจิตใจที่แสนว้าวุ่น
อวี้หลงเอ่ยกระซิบ “ดูเหมือนเส้าเหยียจะโกรธเป็นอย่างมาก”
หยินหลิ่วพยักหน้าและพูดอยู่ในใจ เส้าฟูเหรินก็โกรธมากเช่นกัน
อวี้หลงพูดขึ้นอีก “พวกเขาจะมีปากเสียงกันขึ้นมาไหม”
หยินหลิ่วได้แต่ส่ายศีรษะไปมาพร้อมกับเผยสีหน้าที่ให้ความรู้สึกว่าจนปัญญาแล้วจริงๆ