ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 50 ท่าสุดท้าย (ต้น)
เรือล่องมุ่งหน้าต่อไปทางทิศเหนือ ระยะนี้เยี่ยซินเอ๋อร์ไม่ได้แวะเวียนมาร้องขอให้หลินหลันช่วยถ่ายทอดวิชาบ่อยเท่าตอนแรกอีกแล้ว โดยบางครั้งก็จะส่งหลิงอวิ้นมาบอกกล่าวด้วยเหตุผลต่างๆ นานา และบางครั้งก็ไม่มีการบอกกล่าวใดๆ ซึ่งนี่ส่งผลให้หลี่หมิงอวินไม่อาจหนีหน้าออกไปได้อย่างทันถ่วงที
ทุกๆ ครั้งที่เป็นเช่นนั้น หลินหลันจึงใช้ข้ออ้างที่ว่าหลี่หมิงอวินต้องการอ่านตำราหนังสือ เพื่อเชื้อเชิญเยี่ยซินเอ๋อร์ออกไปด้านนอกห้อง
และในทุกๆ ครั้ง เยี่ยซินเอ๋อร์ก็จะเปลี่ยนไปด้วยการเอ่ยถามไถ่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ภายใต้น้ำเสียงอันนุ่มนวลไพเราะมากเป็นพิเศษ
ทว่าหลินหลันก็หาได้สนใจไม่ ต่อให้เยี่ยซินเอ๋อร์แสดงออกสักเพียงใด หลี่หมิงอวินก็ไม่รู้สึกสนใจนางขึ้นมาอยู่ดี เพียงแค่ไม่เปิดโอกาสให้นางได้กระทำอะไรที่เป็นการไม่เหมาะสมกับหลี่หมิงอวินเท่านั้นก็เป็นพอ และความจริงแล้วในประเด็นนี้นางไม่จำเป็นต้องกังวลใจไปด้วยซ้ำ ด้วยผู้คนรอบกายนางต่างก็ช่วยกันเฝ้าระวังพฤติกรรมของเยี่ยซินเอ๋อร์เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันตัวหลี่หมิงอวินก็ระมัดระวังตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร โดยเขาจะหลีกเลี่ยงการต้องอยู่ลำพังเพียงผู้เดียว
นอกจากสถานการณ์ชวนให้อัดอึดอย่างอธิบายไม่ถูกจากการทะเลาะกับหลี่หมิงอวินเมื่อครั้งก่อนนั้น ตลอดการเดินทางนี้สำหรับทั้งสองก็ถือว่าค่อนข้างราบรื่นไปด้วยดี
ทุกครั้งที่หลี่หมิงอวินขึ้นฝั่งล้วนพานางติดตามไปด้วยเสมอ หรือไม่ก็จะพานางไปชื่นชมวิวทิวทัศน์ในสถานที่ขึ้นชื่อเรืองนาม ไม่ก็พานางไปร้านขายยาเพื่อเลือกซื้อวัตถุดิบยา และในบางครั้งขณะที่นางออกไปรับบทบาทเป็นหมอกระดิ่ง [1] ชั่วคราวตามทางเดินตรอกซอกซอยเขาก็จะติดตามไปเป็นเพื่อนนาง ยามใดที่ไม่ได้ขึ้นฝั่ง เขาก็จะจดจ่ออยู่กับการอ่านตำราหนังสือ และเมื่อมีเวลาว่างก็จะสรรหาหัวข้อมาสนทนามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับหลินหลัน เริ่มแรกเขามักถูกคำพูดอภิปรายอย่างรุนแรงของนางเล่นงานจนพูดไม่ออก ต่อมาภายหลังเขาก็เริ่มเรียนรู้จากสิ่งที่นางกระทำและปรับเอามาใช้ในการเอาตัวรอด ถึงสามารถกอบกู้สถานการณ์กลับคืนมาได้ อรรถรสในการโต้แย้งเต็มไปด้วยความน่าสนใจซึ่งนั่นทำให้ทั้งสองต่างฝ่ายต่างเพลิดเพลินไปกับมัน
ในสายตาคนภายนอก การแข่งขันของทั้งสองเป็นเสมือนกาวใจของคู่รักสามีภรรยา
แม้ว่าหลินหลันจะเพลิดเพลินไปกับการเข้ากันได้อย่างลงตัว แต่ในบ้างครั้งก็รู้สึกสับสนจนแยกไม่ออกว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ นัยน์ตาของเขา คำพูดของเขา การเอาอกเอาใจของเขา ล้วนแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังแนบเนียนเป็นยิ่งนัก ทั้งหมดนี่เป็นเพียงแค่การแสดงจริงๆ หรือ ความขัดข้องใจนี้ยากนักที่จะเข้าใจกระจ่างแจ้งได้ และหลินหลันเองก็ไม่ได้อยากจะทำความเข้าใจในส่วนนี้เสียเท่าไหร่ด้วย หากเป็นความจริงแล้วจะอย่างไร และหากเป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้นแล้วอย่างไร เรื่องอะไรต้องทำให้ตนเองวุ่นวายใจไปด้วยล่ะ! ขอเพียงแค่ตนเองเข้าใจได้ว่านี่เป็นเพียงข้อตกลงที่ทำรวมกันไว้ เพื่อในท้ายที่สุดแล้วช่วยให้เขาได้บรรลุเป้าหมายสมความปรารถนา ตลอดจนช่วยให้เป็นไปดั่งใจเหล่าฟูเหรินเยี่ยตามที่ต้องการ หลังจากนั้นนางก็รับเงินแล้วเป็นอันแยกย้าย ทุกครั้งที่คิดได้เช่นนี้ก็จะช่วยให้จิตใจของนางสงบลง
เรือยังคงค่อยๆ ล่องไปเบื้องหน้าอย่างช้าๆ ในที่สุดก็มาถึงยังท่าเรืองปักกิ่ง-เทียนจิน หลังจากผ่านไปเป็นระยะเวลาสองเดือน
เช้าตรู่ หลินหลันถูกหลี่หมิงอวินปลุกจากการหลับใหล
“รีบตื่นได้แล้ว” หลี่หมิงอวินสวมใส่เสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย โดยอยู่ในชุดคลุมแขนยาวสีขาวลวดลายเงาพระจันทร์เข้มและผูกด้วยไหมสีน้ำเงินซึ่งมีไพลินหนึ่งชิ้นห้อยไว้กับเชือกคาดเอว รูปร่างสูงโปร่งภายใต้ลักษณะท่าทางอันแสนสง่างามนั่นช่างดึงดูดใจยิ่งนัก
หลินหลันหันมองดูสีท้องฟ้าที่อยู่นอกหน้าต่าง แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้งก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเกียจคร้าน “เช้าขนาดนี้ ข้ายังง่วงอยู่เลย!” เมื่อคืนมัวถกเถียงกับเขาด้วยเรื่องจึเฟยอวี๋ [2] จนดึกดื่น เขาก็ยังข้องใจสงสัยไม่จบไม่สิ้น ขณะที่นางทั้งง่วงง้าวหาวนอนจนน้ำหูน้ำตาไหลก็แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นคงต้องขอชื่นชมในพลังการต่อสู้อันแกร่งกล้าของเขาที่ไม่ยอมลดละ ท้ายที่สุดนางจึงยอมรับว่าสู้เขาไม่ได้และขอยอมสิโรราบแต่โดยดี เพื่อที่นางจะได้นอนหลับพักผ่อนเสียที
“เรือล่องมาถึงท่าปักกิ่ง-เทียนจินแล้ว นี่เป็นท่าสุดท้ายก่อนเข้าเมืองหลวง ข้าจะไปวัดว่านซง หากเจ้าง่วงอยู่จริงๆ เช่นนั้นก็นอนต่อเถอะ! ข้าไปเอง” หลี่หมิงอวินเปิดม่านมุ้งกระโจมแล้วโยนผ้าห่มที่พับไว้แล้วเข้าไป
“รอเดี๋ยว ถึงเทียนจินแล้ว?” อาการง่วงหงาวหาวนอนของหลินหลันมลายหายไปจนหมดสิ้น
“ใช่น่ะสิ! ท่าสุดท้ายแล้ว” หลี่หมิงอวินกล่าวเน้น
ช่างเป็นเพียงไม่กี่คำพูดแต่ทว่ามีอนุภาคทำลายล้างแรงสูงยิ่งนัก นั่นกำลังหมายความว่าเมื่อผ่านท่านี้ไปแล้วเท่ากับการเดินทางอันแสนสุขสบายก็จะเป็นอันสิ้นสุดลง และนั่นก็หมายความว่าการต่อสู้อันยากลำบากในบ้านกำลังจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ แล้วเหตุใดจะไม่เก็บเกี่ยวช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้เพื่อพักผ่อนให้เต็มที่เสียหน่อยล่ะ!
“ข้าไป รอข้าด้วย” หลินหลันรีบลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าในทันที
หลี่หมิงอวินแอบอมยิ้ม “เจ้ารีบหน่อยแล้วกัน ระหว่างนี้ข้าจะไปดูเหวินซานเสียหน่อยว่าเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่”
หลินหลันแต่งองค์ทรงเครื่องจนครบถ้วนด้วยความรวดเร็ว ขณะนั้นหลี่หมิงอวินก็กลับมาพอดี หยินหลิ่วและจางหลั้วกินอาหารเช้ากันสองคนระหว่างที่อวี้หลงออกไปตระเตรียมสิ่งของ
“กินช้าๆ หน่อย เดี๋ยวจะสำลักเอาได้” หลี่หมิงอวินเห็นหลินหลันกำลังกินอย่างรีบร้อน จึงเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ตามด้วยมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นและนัยน์ตาอันแสนอบอุ่น ซึ่งให้ความรู้สึกเอาอกเอาใจอยู่เล็กน้อย
หลินหลันไม่สบตากับเขาโดยทำเป็นมองข้ามไป ทำไงได้ล่ะในเมื่อนัยน์ตาของเขาช่างมีเสน่ห์เกินไปเสียแล้ว หลินหลันจึงเลือกที่จะบ่นพึมพำกับตนเอง “ไม่ใช่เจ้าที่บอกว่าให้เร็วๆ หน่อยหรอกหรือ”
หลี่หมิงอวินแอบหัวเราะเบาๆ “จะพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ไม่เช่นนั้นแล้วตอนนี้จะสามารถนั่งกินมื้อเช้ากันอยู่ที่นี่หรือ”
หลินหลันสบถฮึออกมาเบาๆ แล้วหยิบซาลาเปาไส้ผักมากิน ระยะนี้ถกเถียงกันมามากพอแล้ว จึงไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดอีก
หลังจากรับประทานมื้ออาหารเช้าแล้ว อวี้หลงก็นำห่อของที่จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วส่งให้แก่หยินหลิ่ว “ด้านในมีขนมพุทรา ขนมถั่วแดง แล้วยังมีซาลาเปาไส้ผัก ขนมธัญพืชอบ ล้วนเป็นของที่เส้าเหยียและเส้าฟูเหรินชอบกิน ได้ยินมาว่าวัดว่านซงอยู่ห่างจากที่นี่ไปยี่สิบถึงสามสิบลี้ เผื่อว่าการเดินทางเกิดเลยเวลามื้ออาหารไปแล้วหิวขึ้นมาก็คงไม่ดีเท่าไหร่นัก…”
หลินหลันได้ยินเช่นนี้จึงคิดขึ้นมาได้ว่าทุกครั้งล้วนพาหยินหลิ่วออกไปข้างนอก ขณะที่อวี้หลงได้แต่อยู่จัดการเรื่องต่างๆ ในบ้าน นั่นมันออกจะไม่ยุติธรรมไปหน่อย นางจึงกล่าวขึ้น “อวี้หลง เจ้าไปด้วยกันเถอะ!”
อวี้หลงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เส้าฟูเหรินละเว้นข้าเอาไว้เถิด ท่านรู้ดีว่าการเดินเท้าของข้าไม่ดีนัก ปีนเขายิ่งแล้วใหญ่ อย่าให้ข้าไปทำให้ความสนุกของทุกคนกร่อยเลยเจ้าค่ะ อีกอย่างเมื่อทุกคนออกไปข้างนอกแล้ว ถึงอย่างไรในบ้านก็จะต้องมีคนคอยดูแลสักคนหนึ่งใช่ไหมเจ้าคะ”
หยินหลิ่วจึงเสนอตัวที่จะไม่ไป “ไม่งั้น ข้าคอยดูแลทางนี้เอง!”
อวี้หลงเหลือบมองนาง “เจ้าก็อย่าทำให้ข้าลำบากใจเลยน่า”
หลี่หมิงอวินเอ่ยปากกล่าวขึ้น “เอาล่ะ ตามใจนางเถิด!”
หลินหลันและหยินหลิ่วจึงทำได้แค่ยอมแพ้ เมื่อทั้งสามคนออกพ้นประตูไปก็เห็นตงจึรอต้อนรับด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เส้าเหยีย เสี่ยวเจี่ยะรองนาง…” ตึงจึชี้นิ้วไปบนฝั่ง “เหวินซานกำลังรับมืออยู่ขอรับ!”
หลินหลันและหลี่หมิงอวินขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“ข้าลองไปดูก่อนแล้วกัน” หลินหลันอาสาตนเองเป็นผู้กล้าเข้าไปหยั่งเชิงดูก่อน นางจะยอมให้เยี่ยซินเอ๋อร์มาทำลายความสนุกในการออกเที่ยวครั้งนี้มิได้
“เปี่ยวเหม่ย มาแต่เช้าเชียว!” หลินหลันเข้าไปทักทาย
เหวินซานกำลังกลัดกลุ้ม เสี่ยวเจี่ยะรองผู้นี้ช่างสลัดยากเกินไปเสียแล้ว จ้องแต่ถามว่าเส้าเหยียและเส้าฟูเหรินจะไปไหนกัน การได้เห็นเส้าฟูเหรินเดินเข้ามานั้นราวกับว่ากำลังมีสวรรค์มาโปรด เหวินซานส่งสัญญาณผ่านสายตาไปยังเส้าฟูเหริน แสดงความหมายว่าเขาไม่ได้พูดอะไรออกไปทั้งสิ้น
หลินหลันรับทราบแม้ว่าจะไม่ไร้ซึ่งการเอื้อนเอ่ย
“ใช่เจ้าค่ะพี่สะใภ้ ได้ยินมาว่าท่าเรือปักกิ่ง-เทียนจินเป็นท่าสุดท้ายแล้วน่ะ! ข้าก็เลยอยากขึ้นฝั่งไปเดินเล่นเพื่อมองดูผู้คนและบรรยากาศของที่นี่เสียหน่อยเจ้าค่ะ” เยี่ยซินเอ๋อร์หลุบสายตาลงอย่างอ่อนโยนและเผยรอยยิ้มแสนหวาน
หลินหลันส่งเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า “เป็นเหตุผลนี้เอง ตลอดการเดินทางนี้เจ้าลงจากเรือน้อยมาก”
“เป็นเพราะข้าตัวคนเดียวจึงไม่รู้ว่าควรไปแห่งหนใดดี แม่ติงก็ไม่วางใจให้ข้าออกไปไหนมาไหนผู้เดียว ดังนั้นจึงทำได้แค่ต้องรบกวนเปี่ยวเกอและพี่สะใภ้ด้วยแล้ว ยังไงวันนี้ข้าขอตามพวกท่านไปด้วยแล้วกันเจ้าค่ะ” เยี่ยซินเอ๋อร์ฉวยโอกาสพูดขึ้นมาอย่างชัดเจน หลังจากนั้นดวงตากลมโตของนางก็กะพริบปริบปริบมองไปยังหลินหลันพร้อมทั้งแสดงสีหน้าอันเต็มไปด้วยความคาดหวังซึ่งทำให้ผู้อื่นยากที่จะบอกปฏิเสธได้
หลินหลันกล่าวด้วยความลำบากใจ “ข้าก็อยากพาเปี่ยวเหม่ยไปด้วยนะ! เพียงแต่วันนี้เปี่ยวเกอของเจ้าต้องไปเยี่ยมเยียนสหาย ลำพังข้าคนเดียวก็เป็นภาระพอแล้ว หากเพิ่มไปอีกคน เหมือนว่าจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก หรือไม่…” หลินหลันกล่าวอย่างครุ่นคิด “เหวินซาน เจ้าช่วยไปบอกเส้าเหยียทีสิว่าวันนี้ข้าไม่ไปกับเขาแล้ว แล้วช่วยนำกล่องยาจากหยินหลิ่วมาให้ข้าด้วย วันนี้ข้าจะไปรับหน้าที่หมอกระดิ่งสักวัน เปี่ยวเหม่ย เจ้าก็ไปกับข้าแล้วกันนะ พวกเราทั้งสามารถเดินไปตามถนนและตรอกซอกซอยชื่นชมประเพณีท้องถิ่นของที่นี่และยังสามารถรักษาโรคช่วยชีวิตผู้คนได้อีกด้วย เท่ากับได้ประโยชน์ถึงสองทางในคราเดียว”
ครั้งนี้เยี่ยซินเอ๋อร์ลงทุนปั้นหนังหน้าหนาเพื่อเอ่ยปากขึ้นมาก่อน แต่นั่นมิใช่เพื่อติดสอยห้อยตามหลินหลัน และยิ่งได้ยินว่าต้องไปเป็นหมอกระดิ่งนั่นยิ่งแล้วใหญ่ ลำพังเดินก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ยังต้องไปเป็นผู้ช่วยหลินหลันอีก แน่นอนว่าในใจของเยี่ยซินเอ๋อร์จึงไม่อาจยินยอมได้ ทว่าต่อให้นางปั้นหนังหน้าหนาอีกเท่าใดก็ยังไม่สะดวกใจที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่านางอยากขอติดตามเปี่ยวเกอไปด้วย ต่อให้หลินหลันกำลังโกหกนางอยู่ก็ตาม จึงรีบร้อนกล่าวขึ้น “ที่แท้เปี่ยวเกอกับพี่สะใภ้ต้องไปเยี่ยมเยียนสหายนี่เอง! เช่นนั้นข้าก็ขอไม่รบกวนแล้วจะดีกว่า”
หลินหลันคิดไว้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นไปได้อย่างไรที่เสี่ยวเจี่ยะรองจะตอบรับติดตามนางไปเดินตามถนนตรอกซอกซอยเพื่อเป็นหมอกระดิ่ง! นางจึงแสร้งกล่าวขึ้นอีกว่า “เปี่ยวเหม่ยไม่ไปกับข้าหรือ”
เยี่ยซินเอ๋อร์ยิ้มอย่างกระด้างกระเดื่อง “น่าจะไม่ไหวเจ้าค่ะ ข้าขอเดินเล่นใกล้ๆ แถมนี้แล้วกัน พี่สะใภ้ไปเยี่ยมสหายเป็นเพื่อนเปี่ยวเกอเถอะเจ้าค่ะ!”
หลินหลันทำทีท่าเป็นเสียดาย “เช่นนั้นก็ได้! อันที่จริงข้าอยากไปเดินเล่นในเมืองมากเลยล่ะ ได้ยินมาว่าของกินเล่นที่เทียนจินเยอะแยะหลากหลาย อีกทั้งยังอร่อยมากๆ ยังไงรบกวนเปี่ยวเหม่ยช่วยซื้อของกินอร่อยๆ ติดไม้ติดมือมาฝากข้าหน่อยนะ”
เยี่ยซินเอ๋อร์ยิ้มฝืดพลางแอบคิดอยู่ในใจ เจ้าไม่ให้ข้าตามไปด้วย แล้วยังให้ข้าช่วยซื้อของกินฝากเจ้าอีก ช่างเป็นความคิดที่บรรเจิดเสียจริง
เหวินซานซึ่งยืนอยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนั้นก็แอบนึกตลกมิได้ สุดท้ายก็ยังคงเป็นนายหญิงของเขาที่หาหนทางจัดการได้เสมอ ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำก็ทำให้คุณหนูรองพ่ายแพ้จนราบคาบ
——
[1] หมอกระดิ่ง หมายถึง หมอซึ่งเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ และในขณะเดียวกันก็ทำการสั่นกระดิ่งไปด้วยเพื่อเป็นการเรียกผู้ที่ต้องการได้รับการรักษาอาการป่วย
[2] จึเฟยอวี๋ (子非鱼) มาจากประโยคเต็มๆ ที่ว่า “子非鱼焉知鱼之乐” แปลว่า เจ้ามิใช่ปลาแล้วจะรู้ความสุขของปลาได้อย่างไร หมายถึง แต่ละคนมีจิตใจและความนึกคิดแตกต่างกัน แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเข้าใจผู้อื่นได้อย่างท่องแท้ทั้งหมด