ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 53 ปัญหาหนักใจของเฉียวฮูหยิน
ผู้ดูแลจ้าวเงยหน้าขึ้นในทันทีทันใด โดยครั้งนี้จ้องมองอย่างจริงจังไปยังหญิงสาวที่ไม่ได้ให้ความสำคัญผู้นี้ ไม่ใช่ว่านางเป็นเพียงแค่หญิงสาวชาวบ้านเช่นนั้นหรอกหรือ แล้วเหตุใดจึงมีความเกี่ยวข้องกับจิ้งปั๋วโหวไปได้ อีกทั้งยังกล่าวว่าไปเสวนาพูดคุย…ผู้ดูแลจ้าวถึงกับตกอยู่ในผะวังแห่งความสับสน แต่อย่างไรก็ตามการปฏิบัติตามคำสั่งของเหล่าเหยียก็สิ่งที่ถูกต้องที่สุดอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงก้มหน้าลงไปอีกครั้ง
แม่โจวแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก กลวิธีล่าถอยของหลินหลันนี้ ถือว่าใช้ได้อย่างดีเยี่ยม โชคดีเหลือเกินที่ท่าเรือซูโจวครั้งนั้นได้ให้การช่วยเหลือบุตรชายของฮูหยินเฉียวเอาไว้ นับว่าคนดีก็ย่อมได้รับสิ่งดีๆ เป็นการตอบแทนสินะ!
เยี่ยซินเอ๋อร์ที่ยืนห่างออกไป แต่ถึงอย่างไรบทสนทนาทั้งหมดก็ยังคงลอยมาเข้าหูนางทางด้านนี้อยู่ดี นางยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มแห่งความซะใจ ด้วยคาดคิดเอาไว้แต่แรกแล้วว่าการที่หลินหลันจะเข้าไปยังยังจวนหลี่ได้นั้น คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
หลี่หมิงอวินถอดถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์รักยิ่งนัก “เช่นนั้นคงต้องลำบากเจ้าให้ไปเข้าพักที่บ้านท่านจิ้งปั๋วโหวก่อนแล้ว แล้วข้าจะไปรับเจ้าให้เร็วทีสุด”
หลินหลันช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าให้แก่เขาด้วยท่าทางที่อ่อนโยนและใส่ใจ ตามมาด้วยน้ำเสียงอันแสนนุ่มนวล “ข้าจะรอเจ้านะ”
หลี่หมิงอวินหันไปหาเหวินซาน โดยเป็นจังหวะเดียวกับที่เหวินซานซึ่งได้สั่งการจ่ายงานเป็นที่เรียบร้อยแล้วและเห็นว่านายน้อยของตนกำลังมองหาเขา จึงรีบร้อนรนวิ่งเข้ามา
“เหวินซาน เจ้าช่วยไปส่งเส้าฟูเหรินที่จวนจิ้งปั๋วโหวทีสิ”
เหวินซานเผยสีหน้าประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ชั่วพริบตาเขาก็กลับมากระตือรือร้นดังเดิมอีกครั้ง “ขอรับ!”
แม่โจวเดินเข้ามาพูดคุยกับหลินหลัน “เส้าฟูเหริน ข้าน้อยขอตัวไปจวนเยี่ยก่อนเพื่อสั่งการเรื่องราวบางอย่างแล้วจะตามไปหาเส้าฟูเหรินที่จวนจิ้งปั๋วโหวนะเจ้าคะ”
หลินหลันพยักหน้า “แม่โจวไปทำธุระให้เรียบร้อยก่อนเถิด”
หลี่หมิงอวินให้ผู้ดูแลจ้าวจัดการเคลื่อนรถม้าของตระกูลหลี่เข้ามา แล้วประครองหลินหลันขึ้นรถด้วยตนเองอีกทั้งยังกระซิบกระซาบสองสามประโยคก่อนจะปิดบานผ้าม่านลงแล้วโบกมือขึ้นเป็นสัญลักษณ์ให้เคลื่อนรถออกไปได้
ทั้งสามคนอยู่นั่งบนรถม้าโดยไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ หยินหลิ่วและอวี้หลงต่างรู้สึกถึงความกังวลอยู่ภายในใจ ทว่าด้วยนายหญิงของพวกนางกำลังอยู่ในอาการนิ่งเงียบ พวกนางจึงไม่กล้าเอ่ยขึ้นมาเช่นกัน
สิ่งที่หลินหลันกำลังครุ่นคิดอยู่ในขณะนี้คือเมื่อถึงย่านเฮ๋อฮวา ตระกูลโจวเป็นอันเรียบร้อยแล้ว นางควรจะพูดอย่างไรดี บอกกล่าวด้วยความเป็นจริงออกไปเลยหรือว่า…หากเป็นการแวะมาเยี่ยมเยียนธรรมดาทั่วไป ทางตระกูลโจวก็น่าจะไม่มีอะไรให้ต้องหนักใจ หากเป็นการบอกกล่าวด้วยความเป็นจริง จะเป็นการทำให้ตะกูลโจวรู้สึกลำบากใจหรือไม่ แล้วหากตระกูลโจวไม่ต้อนรับนางขึ้นมาอีกควรจะทำอย่างไรดี หลินหลันยังคงคิดไม่ตก
รถม้าเคลื่อนตัวออกมาเป็นระยะเวลากว่าครึ่งชั่วยามแล้ว ผู้ควบคุมรถส่งเสียงพร้อมกับกระตุกเชือกแล้วรถม้าก็หยุดลง
เหวินซานกล่าว “เส้าฟูเหริน ถึงจวนโจวแล้วขอรับ”
สมกับที่เป็นจวนอันแสนโอ่อ่าของโหวเหย่ [1] ประตูบานใหญ่โต และเบื้องหน้ามีหินรูปปั้นสิงโตสองตัวตั้งตระหง่านอยู่ด้านข้างสองฝั่งซึ่งแสดงถึงลักษณะตัวตนของผู้อยู่อาศัยก็ว่าได้ หลินหลันให้เหวินซานนำจดหมายเข้าไปส่ง
เฝ้ารออยู่เป็นเวลานานพอตัว หยินหลิ่วและอวี้หลงจึงเริ่มเผยสีหน้าที่เป็นกังวลและร้อนรนใจ
ในที่สุดหลินหลันก็มองเห็นเรือนร่างที่คุ้นเคยของผู้หนึ่ง เป็นแม่ฟางนั่นเอง
แม่ฟางรีบเดินเข้ามาด้วยฝีก้าวว่องไวและให้การคาราวะแด่หลินหลัน ก่อนจะกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเบิกบาน “ฮูหยินของเราเพิ่งจะบ่นคำนึงถึงหลี่ฟูเหรินไปหยกๆ แล้วหลี่ฟูเหรินก็บังเอิญมาพอดีเลยเจ้าค่ะ หลี่ฟูเหริน รีบเข้ามาก่อนเถิด!”
ท่าทีแม่ฟางที่เป็นกันเองทำให้หลินหลันหัวใจของหลินหลันซึ่งเต้นตุ่มๆ ต่อมๆ ด้วยความกังวลสามารถวางใจลงได้ในทันใด ขณะนั้นผู้ควบคุมรถม้ายังคงอยู่ด้วย โดยหลินหลันเองก็ไม่เอ่ยอะไรออกไปทั้งสิ้น ทำเพียงให้หยินหลิ่วมอบเงินรางวัลจำนวนหนึ่งเหลี่ยงให้แก่ผู้ควบคุมรถ แล้วตนเองจึงเดินเข้าจวนไปพร้อมกับแม่ฟาง
ผู้ควบคุมรถม้ามองดูเงินในมือของตน แอบรู้สึกทึ่งอยู่ลึกๆ เอ้อร์เส้าหน่ายนายท่านนี้ช่างใจปล้ำเสียจริง เมื่อครั้งที่ต้าเส้าเหยีย [2] แต่งงาน รางวัลจากต้าเส้าหน่ายนาย [3] ซึ่งมอบให้แก่ข้ารับใช้แต่ละคนเป็นเพียงสองสามเหรียญหยินหลัวจึ [4] เท่านั้นเอง
หลังจากเข้าไปในจวนโจวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลินหลันจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็กำลังคิดถึงหลงเอ๋อร์ ดังนั้นจึงรีบมาเยี่ยมเยียนเป็นอันดับแรกในทันทีที่มาถึงเมืองหลวง”
แม่โจวเผยรอยยิ้มที่แสนเบิกบาน “ฮูหยินมีเรื่องให้กังวลใจขึ้นมาด้วยเจ้าค่ะ เมื่อระหว่างทางเสี่ยวกงจื่อเกิดปวดท้องขึ้นมาอีก แต่เมื่อกินยาเป่าหนิงของฟูเหรินก็หายเป็นปลิดทิ้งเลยเจ้าค่ะ ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินของข้าจึงเอาแต่บ่นถึงฟูเหรินอยู่ตลอดทั้งวันเลยเจ้าค่ะ”
ระหว่างการสนทนา ทั้งคู่ก็เดินมาถึงประตูชั้นกลางภายในตัวบ้าน ขณะนั้นเองมีเรือนร่างเล็กๆ ของผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ตามมาด้วยเสียงร้องเรียกของเด็กสาวรับใช้ที่อยู่ด้านหลัง “เสี่ยวเส้าเหยีย [5] เสี่ยวเส้าเหยีย ท่านช้าหน่อยเจ้าค่ะ…”
“ไอ้หย่า…เสี่ยวกงจื่อของข้า! ท่านอย่าเที่ยววิ่งเร็วเสียขนาดนั้นสิ ระวังจะล้มเอาได้นะเจ้าคะ” แม่ฟางรีบเข้าไปคว้าตัวหลงเอ๋อร์เอาไว้
หลงเอ๋อร์ผละตัวออกจากนางแล้วเข้ามาดึงมือของหลินหลัน เชิดใบหน้าน้อยๆ ของตนขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น “ต้าฝู่เจี่ยะเจีย [6] ท่านรีบช่วยข้าตรวจดูหน่อยสิว่าผู้พิทักษ์ตัวน้อยในร่างกายของข้าแข็งแกร่งขึ้นมาแล้วหรือยัง ข้าตั้งหน้าตั้งตากินอาหารอย่างดีทุกวันเลย…”
หลินหลันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เจ้าเด็กคนนี้ช่างน่ารักเสียจริง
“หลงเอ๋อร์ เมื่อครู่เรียกว่าอย่างไรนะ ควรเรียกว่าฟูเหรินสิจ๊ะ” เฉียวฮูหยินเดินออกมาพร้อมด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“แต่ว่า…ข้าชอบเรียกว่าต้าฝู่เจี่ยะเจียนี่นา” ริมฝีปากเล็กๆ ของหลงเอ๋อร์บ่นพึมพำ
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็ชอบคำเรียกนี้เช่นกัน มาเถอะ พวกเราเข้าไปด้านในกัน ต้าฝู่เจี่ยะเจียจะช่วยเจ้าตรวจดูให้เองว่าผู้พิทักษ์ตัวน้อยแข็งแรงกำยำขึ้นแล้วหรือยัง”
หลงเอ๋อร์จูงมือหลินหลันด้วยความดีใจ “ได้เลยได้เลย! เข้าไปด้านในห้องกัน”
เฉียวฮูหยินมักตามใจเด็กชายผู้นี้มากที่สุดแล้ว จึงทำได้เพียงกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ “ทำให้ขายหน้าหลี่ฟูเหรินจนได้”
หลินหลันพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “หลงเอ๋อร์น่ารักมากเจ้าค่ะ”
ไม่มีอะไรจะทำให้รู้สึกดีไปกว่าการที่ลูกของตนเองได้รับคำชมเชยอีกแล้ว ฮูหยินจึงกล่าวทั้งรอยยิ้ม “เฝ้าปรารถนาให้เจ้ามาตั้งเนิ่นนาน และในที่สุดวันนี้ก็มาถึงเสียที”
ฮูหยินที่กำลังพูดๆ อยู่ดูเหมือนว่าจะคิดอะไรบ้างอย่างขึ้นมาได้ และรอยยิ้มที่แฝงเอาความขมขื่นไว้ด้วยเล็กน้อยก็ปรากฏขึ้น
หลินหลันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของเฉียวฮูหยินจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา เป็นไปได้ไหมที่เฉียวฮูหยินจะรู้จักตัวตนของนางแล้ว ทว่า…ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้!
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งทยอยเข้าไปยังในห้องแล้ว บรรดาสาวรับใช่ก็รีบร้อนเสริฟน้ำชาพร้อมทั้งผลไม้
หลินหลันจับชีพจรให้หลงเอ๋อร์ซึ่งนี่เป็นเพียงการทำท่าทำทางไปก็เท่านั้น มองดูท่าทีอันแสนร่าเริงสดใสของหลงเอ๋อร์แล้วก็รู้ได้ทันทีว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแรงดีอยู่แล้ว!
“ต้าฝู่เจี่ยะเจีย เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง” หลงเอ๋อร์กระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ดวงตาคู่กลมโตของเขาจ้องมองหลินหลันไม่กระพริบ
หลินหลันเกาปลายจมูกน้อยๆ ของเขา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผู้พิทักษ์ตัวน้อยแข็งแรงยิ่งใหญ่มากเลยล่ะ!”
หลงเอ๋อร์กระโดดโล้ดเต้นพลางชูมือจั้มมั้มน้อยๆ ขึ้นด้วยความดีอกดีใจ “ข้าก็ว่าแล้วว่าผู้พิทักษ์ของข้าจะต้องเปลี่ยนไปแข็งแกร่งอย่างมากแล้วแน่ๆ ตอนนี้เจี่ยฟู [7] น่าจะพาข้าไปขี่ม้าได้แล้ว ท่านแม่ ข้าไปหาเจี่ยฟูก่อนล่ะ…” ขณะพูดก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เฉียวฮูหยินรีบร้องเรียกให้ฮงอวี้ตามไป แล้วกล่าวขึ้นภายใต้น้ำเสียงที่แฝงการตามใจเอาไว้อยู่เล็กน้อย “เจ้าเด็กคนนี้ เมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้วก็ยิ่งซุกซนมากขึ้นเรื่อยๆ ”
หลินหลันกล่าว “เด็กน้อยซุกซนถึงจะฉลาดนะเจ้าคะ”
ทั้งสองสนทนาแลกเปลี่ยนกันไม่กี่คำ เฉียวฮูหยินก็เผยอารมณ์อันกลัดกลุ่มขึ้นมากะทันหัน พลางถอดถอนหายใจออกมา
หลินหลันกล่าวถามอย่างระมัดระวัง “ฮูหยินพบเจอปัญหาลำบากใจอะไรเข้าหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวฮูหยินขยิบตาส่งสัญญาณให้แม่ฟาง แม่ฟางจึงนำข้ารับใช้ทั้งหมดพากันออกไป
“ข้าไม่ขอปิดบังหลี่ฟูเหริน ข้าเองกำลังเจอปัญหากังวลใจเข้าแล้วจริงๆ” เฉียวฮูหยินกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
“ฮูหยินมีปัญหาอันใดหรือ หากหลินหลันสามารถช่วยเหลือได้ หลินหลันก็พร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่” หลินหลันเป็นว่านางให้ข้ารับใช้พากันออกไป เช่นนั้นก็รู้ได้เลยว่าในจวนจะต้องมีผู้เจ็บป่วยอยู่เป็นแน่ และอาการป่วยนั่นก็คงหนักนาพอตัว เพราะว่านอกจากทักษะการรักษา ความสามารถด้านอื่นๆ ของนางก็ไม่มีแล้ว
ฮูหยินถอนหายใจอย่างแรงออกมาอีกครั้ง “อวิ๋นซีลูกสาวคนโตของข้า ซึ่งแต่งงานเข้ามาในตระกูลโจวเมื่อสี่ปีก่อนเป็นภรรยาใหม่ของโหวเหย่ที่ข้างกายของเขามีเพียงบุตรสาวผู้เดียวเท่านั้น โดยเขาหวังว่าอวิ๋นซีจะให้กำเนิดบุตรชายให้แก่เขาเพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูลต่อไป อวิ๋นซีตั้งครรภ์ในระยะเวลาเพียงสองเดือนหลังจากแต่งงานแล้ว แต่น่าเสียดายที่…เมื่ออายุครรภ์เข้าเดินที่สี่ก็ถูกเด็กสาวรับใช้ที่ไม่รู้จักระมัดระวังชนเข้าจนล้มลง เด็ก…ไม่อาจช่วยชีวิตเด็กเอาไว้ได้ และหมอด้วยบอกว่านั่นเป็นเด็กผู้ชาย หลังจากนั้นอวิ๋นซีก็ไม่เคยตั้งครรภ์อีกเลย หลังจากพบหมอมากมายและกินยานานาชนิดมาเนิ่นนาน ในที่สุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็มีข่าวดี แต่ทว่า…สถานการณ์ดูท่าไม่สู้ดีนัก อวิ๋นซีจึงรีบขอให้ผู้ดูแลจงพาข้าเข้ามายังปักกิ่ง ข้าเลยรีบพาหลงเอ๋อร์ติดตามมาด้วย และจากนั้นก็รู้ว่าการจะรักษาลูกของอวิ๋นซีไว้ให้ได้นั้นไม่ง่ายเลย เพียงแค่ขยับนิดขยับหน่อยก็จะมีเลือดออกมา ทุกวันนี้จึงทำได้แค่นอนอยู่บนเตียงและพักผ่อนให้มากๆ หมอหลวงต่างก็มาที่นี่หลายคราแล้ว และบอกว่าเด็กคนนี้เกรงจะเป็นการยากที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้…”
หลินหลันพอจะเข้าใจแล้ว เกรงว่าคงจะเป็นที่ภรรยาของโหวเหย่ท่านนี้แท้งบุตรเมื่อครั้งแรกแต่ไม่ได้รับการรักษาให้หายดี จึงทิ้งต้นตอสาเหตุของโรคเอาไว้ แต่อย่างไรก็ตามหากนางยังไม่ได้พบผู้ป่วยก็ไม่อาจด่วนสรุปได้ง่ายๆ
“ฮูหยินอย่าเพิ่งร้อนใจไปเจ้าค่ะ ท่านช่วยพาหลินหลันไปตรวจดูอาการของโหวเหย่ฟูเหริน [8] ก่อนจะได้หรือไม่” หลินหลันกล่าวปลอบใจ
——
[1] โหวเหย่ (侯爷) คำว่า โหว (侯) หมายถึงคำเรียกผู้มียศถาบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยา,พระยา และคำว่า เหย่ (爷) แปลว่าผู้ใหญ่ ผู้มีอายุหรือ ท่าน ก็ได้
[2] ต้าเส้าเหยีย (大少爷) คุณชาย (ซึ่งเป็นพี่ชายคนโตในบ้าน)
[3] ต้าเหส้าหน่ายนาย (大少奶奶) คุณหญิง (ซึ่งเป็นภรรยาของพี่ชายคนโตในบ้าน)
[4] หยินหลัวจึ (银镙子) คำเรียก สกุลเงินประเภทเหรียญในสมัยโบราญของจีน
[5] เสี่ยวเส้าเหยีย (小少爷) ในที่นี้หมายถึง คุณชายน้อย โดยเสี่ยว (小) หมายถึงเด็กๆ และเส้าเหยีย (少爷) หมายถึง คุณชาย (คำเรียกบุตรชายในตระกูลขุนนาง)
[6] ต้าฝู่เจี่ยะเจีย (大夫姐姐) ต้าฝู่ (大夫) แปลว่า หมอ และเจี่ยะเจีย (姐姐) แปลว่า พี่สาว
[7] เจี่ยฟู (姐夫) คำเรียกผู้เป็นพี่เขย (สามีของพี่สาว)
[8] โหวเหย่ฟูเหริน (侯爷夫人) ภรรยาของท่านเจ้าพระยา