ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 92 ขึ้นเขา
ค่ำคืนนั้น หลินหลันไปทักทายยามสายันต์แก่แม่มดชรา ติงหลั้วเหยียนก็อยู่ด้วยเช่นกัน
เมื่อแม่มดชราเห็นนาง ก็เผยรอยยิ้มนั้นที่เรียกได้ว่าเป็นรอยยิ้มเจิดจรัส “หลินหลันอ่า! ครั้งนี้หมิงอวินสอบผ่าน หนึ่งในนั้นก็เป็นน้ำพักน้ำแรงของเจ้า หากมีใช่เจ้าละเอียดรอบคอบเอาใจใส่หมิงอวิน หมิงอวินก็คงมิอาจราบรื่นได้ถึงเพียงนี้ เจ้าช่างเป็นสะใภ้ที่ดีเยี่ยมแห่งตระกูลหลี่พวกเราจริงๆ เลย”
หลินหลันมองเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของติงหลั้วเหยียนที่อยู่ข้างๆ อดรู้สึกเห็นใจนางขึ้นมาไม่ได้
“ท่านแม่ชมเกินไปแล้ว นั่นล้วนเป็นความมุ่มานะบากบั่นของตัวหมิงอวินเองเจ้าค่ะ ที่อดหลับอดนอนทบทวนตำราอยู่ทุกวัน แน่นอนว่าก็ต้องยกความดีความชอบกลับไปที่ท่านพ่อ ด้วยเป็นท่านพ่อที่อมรมสั่งสอนไว้อย่างดีตั้งแต่เยาว์วัย มิได้มาจากน้ำพักน้ำแรงลูกแต่อย่างใดหรอกเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวอย่างถ่อมตน
“เจ้าก็มิต้องถ่อมตนไปหรอก แม้ว่ายศถาบรรดาศักดิ์เป็นสิ่งบุรุษที่ต้องไขว่คว้าด้วยตนเอง ทว่าจะดูถูกการทุ่มเทของเหล่าสตรีที่อยู่เบื้องหลังไปมิได้ คอยดูแลชีวิตประจำวันผู้เป็นสามีได้อย่างดี ทำให้เขาไม่ต้องห่วงหน้าภวงค์หลัง ด้วยการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จึงส่งเสริมให้มีวันนี้ หลั้วเหยียนอ่า ในส่วนนี้เจ้าต้องหัดเรียนรู้จากหลินหลันเอาไว้” ฮานชิวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส และเบนสายตาหันไปมองยังติงหลั้วเหยียนซึ่งอยู่ข้างๆ เป็นการเฉพาะ
ติงหลั้วเหยียนก้มหน้าก้มตา ทำตนเองเป็นเสมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง
หลินหลันเอ่ยด้วยเสียงอ่อนน้อม “เรื่องเช่นนี้ ลูกยังต้องเรียนรู้จากท่านแม่ให้มากๆ ถึงจะถูกเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่กล่าวเยินยอขึ้นอีกครั้ง “หมิงอวินจะต้องเข้าร่วมการสอบเตี้ยนซื่อในเร็วๆ นี้แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่อันดับต้นๆ ของพวกเราตระกูลหลี่ ซึ่งจากนี้ไป เป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เจ้าดูสิว่า มีอะไรขาดเหลือก็มาบอกข้าได้”
หลินหลันกล่าวอย่างมีจริตจะก้าน “สหายของหมิงอวินมีบ้านพักแห่งหนึ่งอยู่นอกเมือง เห็นว่าค่อนข้างเงียบสงบ หมิงอวินกำลังคิดว่า หลายวันนี้เกรงว่าจะมีผู้คนมากมายแห่กันมาถึงที่เพื่อแสดงความยินดี ซึ่งคงไม่สามารถอ่านตำราได้อย่างสงบสุข จึงอยากไปพักที่นั่นสักระยะหนึ่งเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่รีบกล่าวขึ้นทันควัน “จะได้อย่างไรกัน หากพูดถึงความเงียบสงบ ทิงเฟิงโหลวในจวนก็เงียบสงบมากเช่นกัน ข้าจะให้คนรีบไปเก็บกวาดเดี๋ยวนี้”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ทว่าคนอยู่ในบ้าน หากมีแขกมาเยี่ยมเยือน แต่ไม่ออกไปพบคงเป็นการเสียมรรยาท ออกมาพบก็เป็นการวุ่นวายอีก เช่นนั้นออกไปอยู่ข้างนอกจะดีกว่า อีกทั้งหมิงอวินก็ได้รับความเห็นชอบจากท่านพ่อแล้วเจ้าค่ะ”
ฮานชิวเยว่กล่าวอย่างผิดหวัง “เช่นนี้เอง…งั้นข้าจะช่วยเลือกข้ารับใช้หญิงชราจำนวนหนึ่งตามไปให้การปรนนิบัติแล้วกัน”
เจ้าส่งคนไปคอยปรนนิบัติ นั่นคงไม่เป็นอันเงียบสงบกันพอดี “ขอบคุณท่านแม่อย่างยิ่งที่เป็นห่วงเป็นใยเจ้าค่ะ เรื่องคนที่จะไปคอยปรนนิบัติลูกได้จัดการไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ อีกอย่างก็ไปพักเพียงไม่กี่วัน ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากอะไรมากมายเลยเจ้าค่ะ”
เดิมทีฮานชิวเยว่อยากใช้โอกาสนี้ ในการแสดงให้ดูดีเสียหน่อย เพื่อทำให้ผู้เป็นสามีเห็นว่านางมีความประสงค์ดีเพียงใด คาดไม่ถึงว่าหมิงอวินจะออกไปฟังข้างนอก ไม่เหลือโอกาสให้นางได้แสดงเลยแม้แต่น้อย จึงรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
รุ่งเช้าวันถัดมาหลี่หมิงอวินและหลินหลันออกเดินทางไปยังสถานที่พักถามที่ท่านเจ้าพระยาจิ้งได้ติดต่อไว้ให้ โดยให้หรูอี้กับอวี้หลงคอยดูอยู่ทางบ้าน ส่วนผู้อื่นล้วนตามไปยังที่พักแห่งนั้น
รถม้าเคลื่อนตัวไปเรื่อยเป็นระยะเวลากว่าครึ่งวัน จนมาถึงตีนเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีคนคอยต้อนรับอยู่ที่นั่นแต่แรกแล้ว คนรับจ้างแบกหามสัมภาระทำการเคลื่อนย้ายสิ่งของขึ้นภูเขา อีกทั้งยังเตรียมแคร่ไม้ไผ่แบกหามไว้สำหรับหลี่หมิงอวินกับหลินหลันด้วย
หลินหลันเอ่ยถามผู้มาต้อนรับ “การเดินเท้าขึ้นไปต้องใช้เวลานานเท่าไหร่หรือ”
คนผู้นั้นตอบ “ไม่ไกลขอรับ ประมาณครึ่งชั่วยามก็ถึงแล้วขอรับ”
หลินหลันยิ้มตาหวานใส่หลี่หมิงอวิน “ข้าอยากเดินขึ้นไป”
หลี่หมิงอวินกวาดสายตามองไปยังทิวทัศน์ทั้งสี่ทิศแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมานานมาแล้ว เดินๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน”
หลินหลันให้แม่โจวนั่งแคร่ไม้ไผ่ขึ้นไป ส่วนผู้อื่นใช้วิธีการเดินเท้าขึ้นภูเขา
หลินหลันเคยใช้ชีวิตกับภูเขาเป็นเวลาสี่ปี โดยการขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรในทุกๆ วัน การเดินเส้นทางภูเขาจึงไม่ต่างจากการเดินพื้นเรียบๆ แต่อย่างใด ขณะที่หลี่หมิงอวินซึ่งแข็งแรงกำยำอยู่เช่นกัน เขาคอยเดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง กลับเป็นหยินหลิ่วและคนอื่นๆ ที่ไม่คุ้นชินกับการเดินเส้นทางภูเขา ไม่ทันไรก็เหนื่อยหอบกันเสียแล้ว จนทิ้งระยะห่างตามหลังมากพอตัว
ทางด้านฝีก้าวเหวินซานถือว่าไม่เลวเช่นกัน คอยตามนายน้อยและนายหญิงน้อยได้อย่างไม่มีปัญหา ทว่าด้วยนายน้อยสั่งให้เขาคอยดูแลหยินหลิ่วและคนอื่นๆ มองดูนายน้อยและนายหญิงน้อยเดินห่างออกไปไกลเรื่อยๆ แล้วหันไปมองหยินหลิ่วและพวกนางที่กระทั่งยกขาขึ้นก็ยังดูกินแรงอย่างมาก ทำให้เหวินซานร้อนใจ จนต้องกล่าวเร่งเร้า “พวกเจ้าไวๆ หน่อยสิ…”
ตงจึเอ่ยพร้อมกับลมหายใจเหนื่อยหอบ “เหวินซาน เจ้าช่วยเลิกทำตัวน่ารำคาญหน่อยได้หรือไม่”
เหวินซานงุนงง “ประโยคนี้ของเจ้าข้าฟังไม่เข้าใจ อะไรที่เรียกว่าเลิกทำตัวน่ารำคาญหรือ พวกเราควรรีบไปเตรียมการก่อนที่เอ้อร์เส้าเหยียจะไปถึงมิใช่หรือ”
ตงจึดึงรั้งแขนเสื้อของเหวินซาน อาศัยพละกำลังของเขาเดินมุ่งหน้าขึ้นไป “ข้าบอกให้เจ้าหัดใช้สมองหน่อยได้หรือไม่ เอ้อร์เส้าเหยียนและเอ้อร์เส้าหน่ายนายเดินไปไวขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจงใจสลัดพวกเราให้ตามหลัง แล้วใยเจ้าต้องตะบี้ตะบันตามไปด้วยเล่า”
เหวินซานยังคงคิดไม่ทัน กลับเป็นหยินหลิ่วพวกนางที่ฟังเข้าใจ จิ่นซิ่วหย่อนตัวลงนั่งบนขั้นบันไดหินอย่างหมดสภาพ ใช้ชายแขนเสื้อโบกพัดให้ตนเอง “ข้าคิดว่าตงจึพูดถูก พวกเราอย่าได้รีบร้อยตามไปเลย นั่งพักผ่อนสักประเดี๋ยวก่อนเถอะ! ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว”
ขณะนี้เองทุกคนพบเหตุผลในการแอบขี้เกียจได้แล้ว แต่ละคนต่างนั่งลงพักผ่อน เล่นเอาเหวินซานจ้องเขม็งด้วยความร้อนรนใจ “พวกเจ้าอย่าเชียวนะ….รีบลุกขึ้นเร็วเข้า”
ตงจึมองบนใส่เหวินซานอย่างเอือมระอา ก่อนจะกระซิบกระซาบข้างใบหูเหวินซานอยู่ชั่วครู่ เหวินซานถึงได้รู้แจ้งกระจ่างในทันใด และเอ่ยขึ้นอย่างหน้าชื่นตาบาน “พักผ่อนพักผ่อน พักให้เต็มที่สักประเดี๋ยวแล้วกัน…”
ครั้งนี้ตงจึเกิดฉลาดขึ้นมาเสียเหลือเกิน หลินหลันแหละหลี่หมิงอวินไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลยสักนิด สองคนพากันเดินมาสักระยะ หันกลับไปก็ไม่เห็นผู้ใดเดินตามมาแล้ว หลินหลันกล่าวขึ้นอย่างกลุ้มใจเบาๆ “เหตุใดพวกนางถึงช้ากันขนาดนี้นะ…”
หลี่หมิงอวินแอบปรับระดับการหายใจ พยายามทำให้ตนเองดูกะปรี่กะเปร่า ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงบางเบา “เจ้าพูดอย่างกับว่าพวกนางเคยเดินเล่นบนภูเขาตั้งแต่เยาว์วัยเช่นเจ้าอย่างไงอย่างงั้น”
เอ่อ! นางลืมนึกถึงประเด็นนี้ไปเสียสนิทเลย หลินหลันมองดูท่าทีของหลี่หมิงอวินซึ่งยังคงไร้วี่แววเหนื่อยล้า “เจ้าก็ดูไม่แย่เท่าไหร่หนิ!” นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลี่หมิงอวินกระตุกยิ้มมุมปาก รี่ตาจ้องมองนาง “อย่าลืมสิ ข้าก็เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเจี้ยนซีมาเป็นเวลาสามปี”
หลินหลันค่อยๆ เดินช้าลง เด็ดหญ้าริมทางขึ้นมา โบกสะบัดเล่น พลางเอ่ยถาม “ตอนที่เจ้าอาศัยหลังภูเขานั่น ในแต่ละวันใช้ชีวิตอย่างไรหรือ ทุกครั้งที่ข้าผ่านกระท่อมผุพังของเจ้า ดูเหมือนเจ้าไม่เคยอยู่เลย”
หลี่หมิงอวินตกใจเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่อยู่”
หลินหลันพึมพำ “ทุกครั้งที่ข้าผ่านไปจะร้องเพลงอยู่เสมออ่ะ! ก็ไม่เคยเห็นเจ้าโผล่หน้าออกมาเลย”
สีหน้าของหลี่หมิงอวินเปลี่ยนไปในทันทีทันใด ภายใต้รอยยิ้มของเขากำลังแฝงเอาไว้ซึ่งการหยอกล้อ “ข้าไม่รู้เลยนะว่า การที่เจ้าร้องเพลงที่แท้ก็เพราะอยากเรียกให้ข้าออกมา”
หลินหลันถึงกับหัวใจเต้นระรั่ว นี่มันเกี่ยวอะไรกันด้วยหรือ ทว่าประโยคนั้นของตนเองก็งานต่อการทำให้คนเข้าไจผิดไปจริงๆ นั่นแหละ หลินหลันจึงรีบแก้ต่าง “เอ่อ…ก็ข้าจำได้ว่าเจ้ายังติดค้างคำขอบคุณกับข้าไหวมิใช่หรือ ข้าเลยจงใจร้องเพลง เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่าผู้มีพระคุณมาแล้ว เจ้าก็ควรออกมากล่าวขอบคุณสักหน่อย”
หลี่หมิงอวินฉีกยิ้มด้วยรู้สึกถึงความมีพิรุธเข้าไปใหญ่ “เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ”
หลินหลันมองบนใส่เขา “แน่นอน มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าอะไรล่ะ จะว่าไปเจ้านี่ช่างน่าเกลียดเสียจริง ข้าจิตใจดีช่วยชีวิตเจ้าแท้ๆ เจ้าไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยขอบคุณข้า แล้วยังวางท่าราวกับข้าไปติดค้างเงินเจ้าไว้งั้นแหละ ไม่เคยพบเจอผู้ใดที่ไม่รู้จักมรรยาทขนาดเจ้ามาก่อนเลย”
คาดไม่ถึงว่าในความทรงจำของนาง ตนเองจะเป็นคนที่ไม่รู้จักมรรยาทผู้หนึ่งไปซะงั้น หลี่หมิงอวินคิดว่าจำเป็นต้องอธิบายเสียหน่อย “เรื่องนั้น…งูตัวนั้นข้าตามหามานานมาก ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอมัน เดิมอยากจับกลับไปดองเหล้าไว้ให้ท่านยายสำหรับใช้เป็นยารักษาอาการไขข้อเสื่อม ผลสุดท้าย…ถูกมีดทำครับของเจ้าสับขาดสะบั้นไปเสียแล้ว”
หลินหลันยิ่งมองบนใส่เขาด้วยความเอือมระอาขึ้นไปใหญ่ “เจ้าคิดว่างูดอกไม้ขาวจับง่ายขนาดนั้นหรือ แม้แต่หมองูยังต้องระมัดระวังอย่างมากเมื่อพบเห็นงูดอกไม้ขาว ส่วนเจ้า…ปัญญาชนผู้รู้จักแต่วิชาการหน้าใสๆ คนหนึ่ง คิดจะจับงูดอกไม้ขาวด้วยมือเปล่าๆ เนี่ยนะ ฮึ…”