ปฏิญญาค่าแค้น - ตอนที่ 94 ตกลงไปในหลุมกับดัก
ด้วยความเอ้อระเหยลอยชาย กว่าหลินหลันและหลี่หมิงอวินมาถึงที่พัก คนอื่นๆ ก็เดินทางมาถึงก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังวุ่นวายเข้าๆ ออกๆ ในการเก็บสัมภาระ
หลินหลันมองไปยังบ้านสวนแห่งนี้ซึ่งมีกำแพงสีขาวตัดด้วยกระเบื้องสีดำที่สร้างขึ้นบนเนินเขา ด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมมณฑลอานฮุย เหนือประตูทางเข้ารูปทรงพระจันทร์เต็มดวงมีอักษรสองตัวที่เขียนไว้ว่า ‘กุยอวิ๋น’ ถัดเข้าไปด้านใน เห็นบ่อน้ำซึ่งดูแปลกจากทั่วไปอยู่ใจกลางลานบ้านเป็นอันดับแรก ริมบ่อน้ำแซมไว้ด้วยก่อไผ่หนาทึบ ใจกลางบ่อน้ำมีหินภูเขาขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านตา ล้อมรอบด้วยหินภูเขาขนาดน้อยใหญ่ มีดอกไม้ต้นหญ้าขึ้นแสมระหว่างซอกหิน เถาวัลย์คดเคี้ยว บ้างก็เลื้อยลงมาจากยอดโขดหิน บ้างก็เลื้อยข้ามผ่านโขดหิน ตามชายกำแพงเต็มไปด้วยต้นกุหลาบหลากสีที่กำลังผลิบาน สีสันสดใส ทั้งชมพู ขาว เหลือง ละลานตาพร้อมด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ เตะจมูก อ้อมผ่านดงกอไผ่มา ข้ามสะพานหินโค้ง เบื้องหน้าปรากฏห้องซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันตกและทิศตะวันออก ด้านละสามห้องขนาดย่อม ลัดเลาะผ่านทางเดินไป แล้วข้ามอีกหนึ่งสะพาน ถึงมาเจอกับห้องหลักซึ่งเป็นห้องที่สูงใหญ่กว่าห้องอื่น ๆ โดยแบ่งเป็นห้าห้องหลักและสองห้องขนาบอยู่ด้านข้าง ข้างละหนึ่งห้อง…
“ที่แห่งนี้ช่างหรูหราและมีเอกลักษณ์เสียจริง ท่านเจ้าพระยาจิ้งเข้าใจเลือกสถานที่ให้เจ้ายอดเยี่ยมทีเดียวเชียว” หลินหลันเอ่ยชื่นชม ที่นี่ช่างสวยสดงดงามเกินไปแล้ว
เวลานี้หลี่หมิงอวินรู้สึกพึงพอใจมากเช่นกัน “ในเมื่อเป็นสิ่งที่ท่านเจ้าพระยาจิ้งแนะนำ ก็คงไม่แปลกหากจะยอดเยี่ยมเช่นนี้”
“ในภายภาคหน้าหากข้ามีเงินมากมาย ก็จะหาสถานที่สงบร่มรื่นสักแห่งแล้วสร้างบ้านเช่นนี้ขึ้นมาสักหลังเช่นกัน” หลินหลันอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “นี่มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด”
หลินหลันตวัดสายตามองไปที่เขา “แน่นอนว่ามิใช่เรื่องยากสำหรับเจ้าอยู่แล้ว” อีกทั้งไม่ว่าในอนาคตเขาจะได้เป็นขุนนางชั้นสูงหรือไม่ ต่อให้ไม่ได้เป็นขุนนาง ตระกูลเยี่ยก็มีเงินทองมหาศาล ให้เขาเงินเขามาสร้างบ้านเช่นนี้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องจิบจ่อยมาก ทว่านางแตกต่างออกไป การจะมีบ้านสวนสักหลังเช่นนี้ เกรงว่าต้องต่อสู้ลำบากตรากตรำหลายปีเชียวล่ะ
หลี่หมิงอวินรำพึงรำพันในใจ ของของข้าก็คือของของเจ้ามิใช่หรือ
ผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้เข้ามาบอกกล่าว “หลี่กงจื่อ ทุกอย่างได้ตระเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วขอรับ เชิญกงจื่อตามสบายนะขอรับ สิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ข้าน้อยจะสั่งการให้คนนำขึ้นมาให้ตามเวลาที่ได้กำหนดไว้นะขอรับ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้าตอบรับ “รบกวนท่านแล้ว ยังไงก็ขอฝากคำขอบคุณจากเราไปถึงท่านเจ้าของที่พักแห่งนี้ด้วย”
ผู้ดูแลขานรับ “ได้ขอรับ ได้ขอรับ”
ทันทีที่แม่โจวมาถึงก็เริ่มสั่งการทันที โดยให้จิ่นซิ่วไปต้มน้ำ กุ้ยซ่าวทำอาหาร หยินหลิ่วและป๋ายฮุ่ยคอยให้การปรนนิบัติผู้เป็นนายทั้งสอง ขณะที่เหวินซานกับตงจึรับผิดชอบงานเก็บกวาดทำความสะอาด
หลินหลันและหลี่หมิงอวินซึ่งเหงื่อออกท่วมตัว เลือกไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายกันเป็นอันดับแรก แล้วจึงมารับประทานอาหารสะอาดสดใหม่ฝีมือกุ้ยซ่าว หลินหลันเจริญอาหารเป็นพิเศษ ซึ่งหลี่หมิงอวินก็คอยคีบกับข้าวให้นางไม่หยุดมือ “กินเยอะๆ หน่อย” หลินหลันไม่ยอมน้อยหน้า คีบกับข้าวใส่ชามเขาเช่นกัน “เจ้าก็กินเยอะๆ หน่อย อ่านหนังสือไม่เพียงแต่ใช้พลังสมอง พลังกายก็สำคัญไม่แพ้กัน กินอิ่มแล้วสมองถึงจะโลดแล่น” หลี่หมิงอวินไม่คัดค้านแต่อย่างใด ไม่ทันใดทั้งสองก็รับประทานอาหารฝีมือกุ้ยซ่าวจนหมดเกลี้ยง
ห้องหนังสือตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของห้องลับสายตามุมสงบ บานหน้าต่างทรงพระจันทร์เต็มดวงถูกเปิดออก โต๊ะหนังสือทำด้วยไม้หวงฮวาหลีวางอยู่ใต้บานหน้าต่างนั่น ทั้งพู่กัน หมึกดำและกระดาษเรียงรายอยู่บนโต๊ะพร้อมสำหรับการใช้งาน นอกบานหน้าต่างมีต้นพุทธรักษาจำนวนหนึ่ง ถือว่าสภาพแวดล้อมในการร่ำเรียนยอดเยี่ยมทีเดียวเชียว
“ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว เจ้าอ่านตำราไปเถอะ!” หลินหลันเอ่ยอย่างรู้งาน
“แล้วเจ้าล่ะ” หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วพลางเอ่ยถาม
“ข้าต้องไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมสักหน่อย” นัยน์ตาของหลินหลันเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ขณะพูดก็เดินสบายใจเฉิบออกไป
หลี่หมิงอวินอมยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ความจริงแล้วนิสัยของนางยังคงมีความเป็นเด็กน้อย เห็นอะไรสวยๆ งามๆ น่าสนุกและแปลกใหม่ก็เป็นอันอยากรู้อยากลองไปหมด
ในจวนหลี่ ฮานชิวเยว่นั่งอยู่บนขอบเตียงของแม่เจียง เอ่ยด้วยความอ่อนใจ “ข้าเห็นทีว่า ครานี้คงหมดหวังแล้วจริงๆ …”
ปัจจุบันนี้แม่เจียงยังคงล้มหมอนนอนเสื่อ ไม่สามารถปรนนิบัติรับใช้นายหญิงได้ อย่างไรก็ตาม แม้บั้นท้ายจะถูกโบยจนหมดสภาพ ทว่าสมองยังคงใช้การได้ไม่แปรเปลี่ยน “หลายวันมานี้บ่าวคิดอะไรได้มากมายเลยเจ้าค่ะ อันที่จริงเหตุใดฮูหยินต้องสนใจเอ้อร์เส้าเหยียปานนั้น หรือว่า เขาสามารถทำให้เหล่าเหยียเลิกรากับท่านได้หรือเจ้าคะ หรือขับไล่ท่านกับต้าเส้าเหยียออกไปจากบ้านหลังนี้หรือเจ้าคะ ต่อให้เหล่าเหยียเอนเอียงไปทางเขาแล้วจะเป็นไรไปหรือ เหล่าเหยียคงไม่ถึงขั้นไม่แยแสต้าเส้าเหยียหรอกเจ้าค่ะ หากฮูหยินรู้สึกอึดอัดใจ ก็หันไปคิดหาวิธีหุบสมบัติเพื่อต้าเส้าเหยียแล้วแยกตัวออกไปในภายภาคหน้าจะดีกว่า บ่าวคิดไปคิดมา ที่เอ้อร์เส้าเหยียสามารถทำได้ มากสุดก็คงเป็นการทวงสมบัติของตระกูลเยี่ยกลับคืน ฮูหยินต้องเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ ถึงจะถูกเจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยเสียงอันแผ่วเบา
ฮานชิวเยว่รู้แจ้งขึ้นในบัดดล “ขอบใจเจ้าที่เอ่ยเตือนข้า ดูข้าสิ ด้วยช่วงนี้วุ่นวายสับสนไปหมด จนลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ไปเสียได้” ในเมื่อสกัดดาวรุ่งหลี่หมิงอวินไม่สำเร็จ งั้นก็ทำได้เพียงรักษาทรัพย์สมบัติไว้ให้ดีที่สุด ของที่ตกมาอยู่ในมือนางแล้ว นางไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้
“ฮูหยิน ขออภัยที่บ่าวต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ต่อให้ท่านยอมให้เหล่าเหยียมีนางบำเรอ แต่จะยกแต่งตั้งหว่านอวี้ผู้นั้นเป็นอี๋เหนียงมิได้นะเจ้าคะ นังสาวน้อยผู้นี้ มิใช่ธรรมดาเลยเจ้าค่ะ” แม่เจียงกล่าวอย่างเป็นกังวลใจ
“ลั่นวาจาออกไปแล้ว จะให้คืนคำคงมิได้ อย่างไรก็ตาม ต่อให้หว่านอวี้นางมีความสามารถเพียงใด ก็เป็นได้เพียงอี๋เหนียงผู้หนึ่งเท่านั้น ข้าแต่งตั้งนางได้ก็ทำลายนางได้เช่นกัน ลองดูว่านางจะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงหรือไร” ฮานชิวเยว่ไม่แยแสเกี่ยวกับประเด็นนี้เท่าไหร่นัก
แม่เจียงกล่าว “ก็จริงเจ้าค่ะ บ่าวแค่อยากเตือนฮูหยินไว้หน่อยเจ้าค่ะ อย่าได้วางใจหว่านอวี้จนเกินไป”
ฮานชิวเยว่พยักหน้า “ข้าจะระมัดระวังไว้ ตอนนี้สำคัญที่สุดคือต้องคิดหาวิธีดึงหัวใจของเหล่าเหยียหวนกลับคืนมา เหล่าเหยียมักจะไม่สนใจใยดีข้า พูดคุยกับเขาไม่กี่ประโยค เขาก็แสดงออกอย่างรำคาญใจอยู่ร่ำไป”
แม่เจียงครุ่นคิดชั่วขณะ แล้วจึงเอ่ยเสนอแนะ “เหตุใดฮูหยินไม่รับเหล่าไท่ไท [1] มาล่ะเจ้าคะ เหล่าไท่ไทอาศัยอยู่กับเหล่าเหยียเป็นระยะเวลานานหลายปี จะว่าไปเหล่าเหยียของพวกเราก็ได้เป็นขุนนางชั้นสูงแล้ว จึงควรรับเหล่าไท่ไทมาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงให้สุขสบาย ท่านเป็นสะใภ้ที่เหล่าไท่ไทเลือกมาด้วยตนเอง เหล่าไท่ไทเอ็นดูท่านเป็นอย่างมาก และเหล่าเหยียก็ยึดมั่นในความกตัญญูรู้คุณ ขอเพียงจิตใจของเหล่าไท่ไทเอนเอียงมาทางท่าน แล้วเหล่าเหยียยังจะหาเรื่องท่านอยู่อีกหรือ ที่สำคัญคือ เหล่าไท่ไทเคยเลี้ยงดูต้าเส้าเหยียมาหลายปี ในทางกลับกัน นางเคยโอบอุ้มเอ้อร์เส้าเหยียไม่กี่คราเท่านั้น ในใจของเหล่าไท่ไทจึงรักใคร่เอ็นดูต้าเส้าหน่ายนายอย่างแน่นอน แล้วมีหรือจะไม่ให้การปกป้องต้าเส้าเหยียในทุกๆ เรื่องน่ะเจ้าค่ะ”
ปมคิ้วที่เคยขมวดเข้าหากันจนแน่นค่อยๆ คลี่ออกขณะฮานชิวเยว่รับฟัง “ความคิดนี้ของเจ้านี่ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน ประเดี๋ยวข้าจะส่งจดหมายกลับไปบ้านเกิด บอกกล่าวให้เหล่าไท่ไทมายังปักกิ่ง”
ตอนแรกท่านพี่ต้องการหย่าขาดจากนาง ท่านแม่คัดค้านสุดชีวิต ต่อมาภายหลังท่านพี่จึงรับปากดิบดีว่า ไว้รอสำเร็จในหน้าที่การงานจนมีชื่อเสียงเมื่อใดก็ยินดีให้นางกลับมา ตอนนั้นเอง ท่านแม่ถึงได้ยินยอม เยี่ยซินเหว่ยอยากรับท่านแม่มาบ้านหลายครั้งหลายครา ทว่าท่านแม่ไม่ยอมมา ในทางกลับกันเมื่อครั้งนางให้กำเนิดหมิงเจ๋อ ท่านแม่มาคอยให้การดูแลหลังคลอดด้วยตนเอง และเลี้ยงดูหมิงเจ๋อจนอายุสี่ขวบ เช่นนี้แล้ว เมื่อท่านแม่มาอยู่ที่นี่ จะต้องเข้าข้างนางและหมิงเจ๋ออย่างแน่นอน เพียงแค่มีผู้ค้ำจุนอยู่ ท่านพี่ยังจะเล่นไม้ไหนได้อีกหรือ ฮานชิวเยว่ยิ่งคิดก็ยิ่งสุขใจ ใช่! เอาตามนี้แล้วกัน
คืนวันท่ามกลางภูเขาเป็นไปอย่างเงียบสงบสุขสบาย ในทุกๆ วันหลินหลันจะออกไปเดินเล่นรอบๆ โดยให้หยินหลิ่วติดสอยห้อยตาม และคอยสอนนางให้รู้จักแยกแยะชนิดสมุนไพรต่างๆ หยินหลิ่วผู้นี้นิสัยใจคอไม่สุขุมสงบนิ่งเท่าอวี้หลง ทำงานทำการไม่ละเอียดรอบครอบเท่าป๋ายฮุ่ย แก้ปัญหาไม่ฉับไวปราชเปรื่องเท่าจิ่นซิ่ว และยิ่งปราศจากซึ่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเฉกเช่นหรูอี้ ทว่านางให้ความสนใจด้านทักษะการรักษามากกว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรอะไร บอกกับนางเพียงครั้งเดียวนางก็สามารถจดจำได้ ไม่มีการจำผิดแต่อย่างใด เมื่อครั้งบดและปรุงยาสมุนไพรกับนาง ไม่เคยแสดงออกถึงความน่าเบื่อเลย และยังดูสนอกสนใจอย่างยิ่งเสียด้วย ผนวกกับทุกครั้งที่มีการออกตรวจอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนางก็จะคอยอยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นการปลูกฝังความรู้ไปโดยปริยาย หลินหลันจึงตัดสินใจว่าจะฝึกฝนหยินหลิ่วให้เต็มที่เพื่อจะได้เป็นผู้ช่วยที่ดีของนาง
“นี่คือเป้ย์หมู่ รสชาติเผ็ดไร้พิษ สามารถรักษาอาการหนาวๆ ร้อนๆ รักษาอาการชัก ตาพร่ามัว อาการไอและหอบเป็นต้น ส่วนนี่คือเถี่ยเซี้ยนเฉ่า [2] รสชาติขมไร้พิษ รักษาอาการบวมอักเสบได้ดีที่สุด แล้วยังมีนี่ คือป๋ายเฉียน รสหวาน ทำให้ร่างกายอบอุ่น ควบคุมลมปราณทั้งหมด ไม่ว่าจะลมปราณในปอดหมุนเวียนไม่สะดวก มีเสมหะอะไรพวกนี้ ล้วนรักษาได้ดีทั้งสิ้น…” หลินหลันเอ่ยอธิบายในนางฟังทีละอย่าง
หยินหลิ่วพยักหน้า แล้วกล่าวด้วยความเลื่อมใส “เอ้อร์เส้าหน่ายนายท่านเข้าใจอะไรพวกนี้มากจริงๆ เลยนะเจ้าคะ”
หลินหลันยิ้มเล็กน้อย “ข้าพึ่งพาสิ่งเหล่านี้เลี้ยงปากท้อง ไม่เข้าใจแล้วจะสามารถเป็นหมอรักษาได้หรือ”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “งั้นข้าน้อยเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว ภายภาคหน้าก็จะสามารถเป็นหมอหญิงได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
หลินหลันมองนางด้วยหางตา แล้วมองบน มองล่าง “เจ้าเรียนกับข้าสักสิบแปดปีอาจจะพอเป็นไปได้”
หยินหลิ่วอดรู้สึกท้อแท้ไม่ได้ “ต้องนานขนาดนั้นหรือเจ้าคะ”
“แน่นอนสิ เจ้าคิดว่าการเป็นหมอจะเป็นได้ง่ายๆ งั้นหรือ ความสามารถคือสิ่งที่ต้องใช้ในการรักษาคนเจ็บป่วย ซึ่งต้องอาศัยความรู้มากมายเชียวนะ! มิใช่เพียงแค่การรู้จักชนิดยาสมุนไพรเท่านั้น ยังต้องรู้จักสรรพคุณถึงจะใช้ได้ แล้วยังต้องรู้จักการจัดตัวยา ให้คู่กับอาการป่วย วิธีการใช้ยาเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนไม่แพ้กัน น้อยไปแม้เพียงนิดเดียวก็จะไม่เห็นผล มากไปนิดเดียว ก็อาจก่อให้เกิดผลร้ายตามมา เช่นข้าเองก็ได้ร่ำเรียนมาแล้ว…” หลินหลันอธิบายขยายความ จนเกือบจะพูดถึงประสบการณ์การเรียนแพทย์ในภพชาติที่แล้วหลุดออกมา ยังดีที่นึกขึ้นมาแล้วเบรคเอาไว้ได้ทันการ
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายอายุน้อยขนาดนี้ ก็สามารถจ่ายยาได้แล้ว เอ้อร์เส้าหน่ายนายร่ำเรียนมากี่ปีแล้วหรือเจ้าคะ” หยินหลิ่นเอ่ยถาม
หลินหลันอ้ำๆ อึ้งๆ หากบวกกับชีวิตในภพที่แล้วของนาง ถือว่าได้เรียนมาแล้วสิบปีเห็นจะได้ ทว่าในภพภูมินี้ นางเรียนรู้ไปแค่สามปีเท่านั้นเอง ทำไงได้ คงต้องพูดปดเสียแล้วล่ะ
“สามปี”
หยินหลิ่วเบิกตาโตภายใต้ความตกใจ “เพิ่งสามปีเองหรือ เช่นนั้นทำไมข้าน้อยต้องเรียนถึงสิบปีล่ะเจ้าคะ”
หลินหลันเด็กสมุนไพรแล้วโยนลงในตะกร้าที่หยินหลิ่วแบกเอาไว้ พลางกล่าวด้วยความภูมิใจ “นายหญิงน้อยของเจ้าอย่างข้ามีพรสวรรค์ยังไงล่ะ เข้าใจหรือไม่”
นัยน์ตาทั้งสองข้างของหยินหลิ่วลุกวาว แสดงถึงความรู้สึกนับถืออย่างสุดซึ้ง “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเยี่ยมยอดจริงๆ เจ้าค่ะ” นางกล่าวเยินยอ
หลินหลันไม่สนใจที่นางพูด ถอนหญ้าขึ้นมาหนึ่งต้นแล้วโบกไปมา
“เอ๋? นั่นคือสมุนไพรฮั่วเซียงใช่ไหมนะ” หลินหลันวิ่งเหยาะๆ เข้าไป ด้วยความที่ไม่ทันระวังจึงตกลงไปในหลุมกับดักซึ่งพลางไว้ด้วยหญ้าหนาแน่น
หยินหลิ่วยังคงนับนิ้วคำนวณ ใช้เวลาสองปี ทำความรู้จักสมุนไพรทั้งหมด แล้วใช้เวลาอีกสามปีในการเข้าใจชนิดอาการเจ็บป่วย ใช้เวลาอีกสามปีไปลงทดลองงานจริง…เอ่อ! เอ้อร์เส้าหน่ายนายล่ะ เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนี้เลยนี่นา
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ…เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…” หยินหลิ่วส่งเสียงตะโกนเรียก
ทว่าท่ามกลางหุบเขามีเพียงเสียงตัวนางเองสะท้อนกลับมา
หยินหลิ่นจู่ๆ ก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียแล้ว หรือว่านายหญิงน้อยถูกภูตผีภูเขาจับตัวไปแล้ว ได้ยินผู้เฒ่าพูดกันว่าในภูเขามักจะมีสิ่งเร้นลับเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้น เสมือนกับผีเคาะกำแพงอะไรพวกนั้น หยินหลิ่วยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว
“หยินหลิ่ว…หยินหลิ่ว…” เสียงอันแผ่วเบาสะท้อนดังราวกับเสียงเรียกของวิญญาณดังขึ้น
หรือว่าผีจับตัวนางไปแล้วหรือ หยินหลิ่วตกใจกลัวตะโกนเสียงดังลั่น “ผีหลอก…” แล้วก็วิ่งแจ้นหายลับไป
หลินหลันตกลงไปในหลุมกับดักที่มีความลึกมาก ด้วยการตกลงไปในระดับเช่นนั้นทำให้นางมึนงงไปหมด ผ่านไปสักระยะถึงได้ค่อยๆ รวบรวมสติคืนมา ขยับแขนขยับขา โชคดีที่ไม่หักร้าวแต่อย่างใด หลินหลันพยายามกระพริบตา เพื่อให้คุ้นชินกับแสงสว่างอันน้อยนิดในโพรงมืดแห่งนี้ และพบว่าข้างเท้าของนางมีกับดักชนิดหนีบขนาดใหญ่ ขณะนั้นเองนางถึงกับเหงื่อตกและเนื้อตัวเย็นเฉียบไปทั้งตัว โชคยังดีที่ตกลงมาและไม่เหยียมันเข้า มิเช่นนางเท้าของนางเป็นอันหมดประโยชน์ไปแล้ว หลังได้สติครบถ้วนกลับคืนมา หลินหลันจึงเริ่มส่งเสียงเรียก คาดไม่ถึงว่าเมื่อร้องเรียกหยินหลิ่ว กลับได้ยินเป็นเสียงโวยวายของหยินหลิ่วที่ว่า “ผีหลอก!” แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ จากด้านบนอีกแล้ว หยินหลันนึกหงุดหงิดใจ รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าเด็กสาวผู้นี้ตาขาว นางยังคอยแต่จะพานางติดตามมาอยู่ได้ แล้วยังไงต่อทีนี้ คนก็วิ่งหนีไปแล้ว ปล่อยนางทิ้งไว้ในหลุมกับดักมืดมิดแห่งนี้ นี่มันช่างเป็นการหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ เชียว……
——
[1] เหล่าไท่ไท (老太太) คำเรียก หญิงชรา ในที่นี้หมายถึงผู้เป็นแม่ของหลี่จิ้งเสียน
[2] เถี่ยเซี้ยนเฉ่า (铁线草) มีชื่อไทยว่า “กูดผา” เพราะชอบขึ้นตามผาหินปูนใกล้น้ำตก