ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 478 เทพปีศาจ
บทที่ 478 เทพปีศาจ
“ไม่ต้องเกร็งไปหรอกน่า” เฉินเฉียงได้วางมือบนบ่าของผู้อาวุโสตงแล้วกล่าวต่อ “ที่ข้าพาท่านมานั้นเป็นเพราะเห็นว่าท่านนั้นเข้าใจถึงความอันตรายของผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิ ดโลหิตและหุ่นเชิดโลหิตอย่างลึกล้ำใช่รึเปล่า”
“หากว่าพวกเรานั้นยังปล่อยให้มีผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตคงอยู่ในโลกนี้ต่อไปล่ะก็ อีกไม่ช้านาน นอกจากผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตแล้วจะหลงเหลือผู้ใดอยู่ในโลก กนี้อีกกัน”
เมื่อผู้อาวุโสตงได้ยินคำพูดนี้ แม้จะมีใบหน้าที่กระตุกไปเล็กน้อย แต่เขาก็รีบก็มหน้าลงต่ำเพื่อหลบซ่อนสีหน้าในทันที
อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับพลังจิตที่สูงล้ำของเฉินเฉียงแล้ว เขารับรู้ได้สีหน้าแววตาของผู้อาวุโสตงนั้น เต็มเปี่ยมด้วยความเดียดฉันท์และไม่เชื่อในคำพูดที่ราวกับเป็นห่วงโลกปีศาจเลย ยแม้แต่น้อยได้อย่างไร
แต่เฉินเฉียงก็หาได้แยแสไม่ เขาเพียงนั่งลง ก่อนจะพูดออกมาราวกับบ่นกับตนเอง “ผู้คนนั้น ตราบใดที่ของรักดินแดนหวงถูกแตะต้อง พวกเขาล้วนแล้วแต่แกล้งหลับตาไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอันใ ใด”
เมื่อเห็นผู้อาวุโสตงยังไม่เปลี่ยนท่าที เฉินเฉียงก็ได้พูดคำหนึ่งออกมา “ผู้อาวุโสตง ไม่ใช่ว่าท่านนั้นก่อนหน้านี้ต้องการขออนุญาตข้ากลับบ้านเกิดไม่ใช่รึ”
เมื่อผู้อาวุโสตงได้ยินแบบนี้แล้ว ทั่วทั้งร่างของเขาก็สั่นสะท้านก่อนจะรีบยืนขึ้นมาพร้อมกับชามไวน์ในมือแล้วพูดออกมา “ท่านผอ.”
เฉินเฉียงเองที่จับจ้องไปที่ผู้อาวุโสตงอยู่นั้นก็พูดออกมาราวกับไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ “เป็นอย่างที่ท่านคิด เมืองหยานกั๋นในตอนนี้เป็นเพียงเมืองที่ตายแล้วเท่านั้น ผู้คนเกื อบสองพันคนที่นั่นล้วนแล้วตกตายอย่างมิอาจหวนคืน”
“ว่าไงนะ”
เมื่อผุ้อาวุโสตงได้ยินแบบนี้แล้ว ร่างกายของเขาก็โอนเอนไปมาก่อนที่จะใช้มือข้างหนึ่งลงแรงไปที่โต๊ะเพื่อพยุงตนเองไม่ให้ล้มหงาย หมัดทั้งสองกำแน่น พร้อมดวงตาสีแดงฉาน นี่ทำให้ เขาเงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วตะโกนออกมาอย่างดังลั่น “อ๊ากกกกกก”
หลังจากที่เขาได้ก็าวเข้าสู่ระดับราชา ด้วยการที่พวกเขานั้นไม่มีการมุ่งเน้นบ่มเพาะโลกใบเล็กภายในร่าง มีเพียงก่อนเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตวิญญาณเพียงเท่านั้น นั่นทำให้ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางยุทธ์นั้นมีร่างกายที่ทรงพลังเสียยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตที่อยู่ในระดับเดียวกัน หรือแม้แต่ผู้บ่มเพาะบนเส้นทางอื่นเองก็ยังไ ไม่อาจเทียบพวกเขาได้
และนี่จึงทำให้ยามที่ผู้อาวุโสตงนั้นปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวในใจออกมา มันอยู่ในระดับที่รุนแรงพอที่จะทำลายเขตแดนของเฉินเฉียงที่สร้างขึ้นมา
เมื่อเห็นท่าไม่ดี เฉินเฉียงก็ก็าวถอยร่นไปอยู่หลายก้าว พร้อมทั้งสร้างกำแพงเขตแดนขึ้นมาอีกหลายชั้น อย่างน้อยๆเขาก็ไม่อยากให้เสียงของผู้อาวุโสตงในตอนนี้ทะลุผ่านออกไปยังโลก กภายนอกได้
แต่ด้วยการที่ผู้อาวุโสตงได้ยินว่าบ้านเกิดเมืองนอนของตน ตกตายกลายเป็นเมืองร้าง เขานั้นโกรธแค้นจนแทบจะคลุ้มคลั่ง
หลังจากตะโกนระบายความเคียดแค้นออกมาอยู่นาน ในที่สุด คลื่นพลังภายในร่างของเขาก็ทำให้โต๊ะเก็าอี้ที่อยู่ใกล้ๆสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น จนลามไปถึงกำแพงเขตแดนที่ไล่สั่นตามกันเป็น นระดับขึ้นไป
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงไม่มีทางเลือกอื่นทำได้เพียงต้องลงมืออีกครั้ง ไม่อย่างนั้นหอการค้าเหมันต์จันทราแห่งนี้น่าจะคงเหลือเพียงชื่อเสียก็ได้
เป็นตอนนี้เอง
ผู้อาวุโสตงที่ในตอนนี้ปลดปล่อยคลื่นพลังออกมาจนราวกับหมาป่าที่พยายามทำลายบ่วงบาศทั้งหลายที่คอยรัดกุมเอาไว้ และด้วยเพียงหมดเดียวของเขานั้นได้ทำให้ชั้นกำแพงเขตแดนทั้งหลาย ที่เฉินเฉียงได้วางเอาไว้ต่างก็แตกยับไปเสียทุกชั้น
“ผู้อาวุโสตง”
เฉินเฉียงเร่งตะโกนออกมา หมายว่าเสียงของเขาจะช่วยปลุกให้สติของผู้อาวุโสตงนั้นหลุดออกจากความคลุ้มคลั่ง พร้อมกับที่ตัวเขานั้นพุ่งตรงไปอย่างรวดเร็วประดุจแสงและสร้างชั้นกำแพ พงเขตแดนขึ้นมาปิดล้อมเอาไว้
น่าเสียดายที่ในตอนนี้จิตใจของผู้อาวุโสตงนั้นได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จนทำให้เขานั้นสูญเสียสติสัมปชัญญะไปอย่างสมบูรณ์
ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะเขานั้นได้พยายามอดทนอดกลั้นยามที่อยู่ในสำนักเต๋าสวรรค์ชั้นฟ้ามาโดยตลอด หนึ่งไม่เพียงจะเพื่อไม่ต้องพบเจอปัญหาที่จะตามมา อีกหนึ่งนั้นคือเขาต้องการใช้ ตำแหน่งของเขาในการค้ำจุนครอบครัวที่อยู่ในบ้านเกิดเมืองหยานกั๋น
หากเขาทำอะไรที่ผิดพลาดไป นั่นย่อมส่งผลกับครอบครัวของเขาอย่างแน่นอน
แต่ในตอนนี้….เขาไม่มีสิ่งใดที่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว แล้วเขาต้องสะกดข่มตนเองอีกไปทำไมกัน
“วิหารศักดิ์สิทธิ์…ไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“วิหารศักดิ์สิทธิ์ห่าเหวอะไรกัน ช่างน่าขันนัก”
“นับจากวันนี้ ข้า ตงติ๋น ไม่ข้าอยู่ใต้ฟ้าเดียวกับพวกมันอีก”
ตงติ๋นในตอนนี้ดูบ้าคลั่งและชั่วร้าย พร้อมกับส่งพลังทำลายร้างที่รุนแรงออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
นี่ทำให้เฉินเฉียงนั้นมั่นใจได้ในทันทีว่าต่อให้ผอ.จ้งยังคงอยู่ เขานั้นจะไม่มีโอกาสทำแม้แต่การปลดปล่อยสัตว์ปีศาจออกมาเลยด้วยซ้ำ
นี่ขนาดเขานั้นเป็นเพียงราชาเหนือราชาขั้นต้น แต่ความทรงพลังของเขานั้นเทียบเท่าได้กับผู้อาวุโสระดับสองแห่งฮุยตู๋ด้วยซ้ำ
หากเฉินเฉียงนั้นไม่ได้มีลูกเล่นอยู่มากมายล่ะก็ แม้แต่เขาก็คงไม่อาจจะโค่นล้มตงติ๋นผู้นี้ได้ลง
แต่ลูกเล่นของเขาล้วนแล้วแต่หมายให้อีกฝ่ายตกตาย แล้วเขาจะไปใช้ลูกเล่นเหล่านั้นกับตงติ๋นผู้นี้ได้ยังไงกัน
เขาไม่สามารถใช้ทักษะที่หวังผลถึงตายได้
แต่กระนั้นในตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงแค่ต้องลงมือเท่านั้น
เขาใช้ความพยายามมากมายในการให้ตงติ๋นผู้นี้มาที่นี่ นั่นก็เพื่อหวังว่าจะใช้โอกาสนี้ในการเอาชนะใจของตงติ๋น
ใครจะไปคิดว่าเพียงเขาได้รับรู้ความจริงที่เกิดขึ้นกับเมืองหยานกั๋น เขาจะสติหลุดในทันทีที่ได้รับฟัง
นี่เขาต้องสะกดข่มใจตนเองมามากมายขนาดไหนเนี่ย
และด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เฉินเฉียงจึงไม่มีทางเลือกอื่นอีกทำได้เพียงปลดปล่อยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ เพื่อสกัดข่มไม่ให้ตงติ๋นปลดปล่อยพลังจนทำลายกำแพงเขตแดนที่เขาพึ่งจะสร ร้างขึ้นมา
ตู้มมมมมม……
ตงติ๋น ผู้พึ่งจะสูญเสียสติสัมปชัญญะทั้งมวลไปแล้วก็ได้เหวี่ยงหมัดของตนพุ่งเข้าใส่เฉินเฉียง ผู้ซึ่งอยู่ตรงหน้าเขาและคอยกางเขตแดนไม่ให้เขาหลุดออกไป
ถึงแม้เฉินเฉียงจะมีขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้คอยปกป้องเขาไว้ แต่คลื่นพลังที่ส่งผ่านก็เหวี่ยงเฉินเฉียงจนดีดกระเด็นไปมา
“ตู้ม ตู้ม ตู้ม ตู้ม…”
เสียงปะทะกันระหว่างของสองสิ่งดังขึ้นอย่างแต่เนื่องนับสิบครั้ง จนในที่สุดตอนนี้ เฉินเฉียงก็มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากจนได้
ด้วยการที่ของเขตเจตจำนงของเขานั้นไม่ได้ช่วยให้เขายึดติดอยู่กับที่และต้องการค่าพลังจิตของเขาในการคงสภาพของมันเอาไว้ ถึงแม้เฉินเฉียงจะพยายามระวังหน่วงเวลาไปให้ได้นานที่ส สุด แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาเชื่อว่าตงติ๋นผู้นี้จะสูญสิ้นสติไปอย่างสมบูรณ์
แต่ในความจริงแล้ว ตงติ๋นนั้นได้กลับมีสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์แล้ว
เพียงแต่ในตอนที่เขาเห็นเฉินเฉียงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของผอ.จ้งแล้ว เขาก็บังเกิดความรู้สึกราวกับเห็นศัตรูคู่อาฆาตนับจากชาติปางก่อน นี่จึงทำให้เขานั้นถาโถมความโกรธแค้นทั้งหมดไปล ลงที่เฉินเฉียงหมายจะสังหารทิ้งเสียให้ได้
“ไอ้แซ่จ้ง ไอ้เลวชาติหมารับใช้วิหารศักดิ์สิทธิ์”
“อย่าคิดว่าข้าผู้นี้ไม่กล้าทำอะไรเจ้าเพียงเพราะเจ้านั้นเป็นผอ.สำนักนะโว้ย”
“หากไม่ใช่เพราะข้ากลัวว่าไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์จะเล่นงานครอบครัวของข้า ข้านั้นจะบั่นหัวของแกทิ้งเสียนานแล้วด้วยซ้ำ”
“ตัวข้านั้นอุตส่าห์สะกดข่มอดกลั้นความโกรธแค้นที่มีต่อแกมาโดยตลอด ทำแม้แต่สวดภาวนาให้แกนั้นพบเจอแต่ความสุขจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับข้า”
“แต่ไอ้พวกชั่วร้ายอย่างแกก็ยังไปทำลายเมืองหยานกั๋นของข้าอีก”
“ทำลายผู้คนนับร้อยของตระกูลของข้า”
“วันนี้ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะเอาหัวของแกมาเซ่นครอบครัวของข้าที่ตกตายไป”
“ไปลงนรกซ้า…………….”
เมื่อพูดจบ ตงติ๋นก็นำกระบี่ของตนออกมาจากแหวน พร้อมกับดวงตาที่จับจ้องไปยังเฉินเฉียงอย่างไม่ละสายตา พลางทะยานพุ่งเข้าใส่
หลังจากโดนโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อนจากตงติ๋น เฉินเฉียงในตอนนี้เริ่มมีน้ำโหและคิดจะเล่นกลับไปบ้าง
นี่จึงทำให้ในมือขวาของเขาในตอนนี้มีดาบดั้นเมฆปรากฏ พร้อมกับตวัดดาบไปมาเพื่อรับมือกระบี่มาอย่างไม่ขาดสายของตงติ๋นผู้นี้จนเกิดเสียงปะทะดังลั่น
ถึงแม้ระดับบ่มเพาะของเฉินเฉียงจะไม่สูงเทียบเท่าตงติ๋น ด้วยการที่ว่าเขานั้นได้มีการบ่มเพาะโลกใบเล็กอยู่ภายในร่างกาย และพวกมันก็คอยสิ่งพลังฟ้าดินให้เขาอย่างไม่ขาดสาย นี่ ทำให้ต่อให้ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ห่างจากตงติ๋นไปสองช่วงชั้น เขาก็ยังถือได้ว่าแข็งแกร่งกว่าตงติ๋นอยู่ ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งพอที่จะใช้แรงกายล้ วนๆในการเดินขึ้นบันไดสู่สรวงสวรรค์มาแล้วถึงสองรอบ แล้วเขาจะไปอ่อนด้อยในเรื่องแรงกายได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เฉินเฉียงประมือไปได้เพียงดาบเดียว เฉินเฉียงก็ได้สติขึ้นมาในทันใด
เขานั้นไม่อาจจะเสียเวลากับตงติ๋นผู้นี้ได้อีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือใครจะไปรู้ว่าที่เขตเมืองชั้นนอกของเมืองสวรรค์ชั้นฟ้าแห่งนี้นั้นจะไม่มีคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์มาคอยสอดแนมอยู่
หากว่าคนคนนั้นรับรู้ถึงสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะกับตอนที่ตงติ๋นผู้นี้ยังคลุ้มคลั่งอยู่ ต่อให้เขานั้นกล้าบ้าดีเดือดมาจากไหนกันยังไม่อาจรอดพ้นเงื้อมมือของวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้อ อยู่ดี
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงก็รีบเก็บดาบดั้นเมฆแล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันดังลั่น
“ผู้อาวุโสตง นี่ท่านไม่กลัวว่าคนของวิหารศักดิ์จะจับกุมตัวท่านไปงั้นรึ”
แต่พูดของตงติ๋นที่พูดสวนออกมานั้นทำให้เฉินเฉียงต้องผิดหวัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เจ้าแซ่จ้ง เฒ่าตงผู้นี้จะใช้ทุกสิ่งที่มีกุดหัวไอ้พวกวิหารศักดิ์สิทธิ์ให้หมดสิ้น จนกว่าชีวิตข้าผู้นี้จะหามีไม่”
“และต่อให้ไม่มีไอ้พวกนั้นมาหรือไม่ก็ตาม พ่อคนนี้ยังไงซะจะต้องฆ่าไอ้หมารับใช้วิหารศักดิ์สิทธิ์เช่นแกให้มอดม้วย เป็นใบเบิกทางให้ข้าก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังเขาโรคาเว้ยเฮ้ยยยยยย ยย”