ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 487 ขั้นกลาง
บทที่ 487 ขั้นกลาง
ในตอนนี้ ภาพวาดห้วงมหาสมุทรที่แสดงผลออกมาให้เฉินเฉียงได้พบเห็นนั้นกว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากราวกับเป็นห้วงมหาสมุทรที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
และภาพวาดที่กว้างใหญ่นี้ก็มีเกลียวคลื่นที่สาดซัดอย่างไม่หยุด พร้อมเสียงคลื่นดังสะเทือนไปถึงท้องฟ้า มีแม้กระทั่งเกลียวคลื่นที่สาดซัดหินโสโครก จนทำให้คลื่นทะเลที่สาดกระเซ็นอ ออกมานั้นกระเด็นเข้าสู่ห้วงจิตสำนึกของเฉินเฉียง ก่อเกิดพลังจิตที่สูงล้ำขึ้นมา
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้แล้ว เฉินเฉียงจึงได้รีบตั้งมั่นจิตอยู่บนท้องฟ้าเหนือภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรนี้
ถึงจะบอกว่ามันเป็นท้องฟ้า แต่มันก็เป็นท้องฟ้าที่มีเพียงสีฟ้าครามเท่านั้นหาได้มีเมฆหมอกอันใด
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงจุดหนึ่ง เฉินเฉียงก็เหลือบไปมองยังส่วนหนึ่งของท้องฟ้านี้
และนี่ทำให้เขาเห็นสีฟ้าที่เลือนรางแต่ก็มองออกว่าเป็นรูปร่างอยู่ตรงจุดที่จ้องมอง
มันเป็นบางสิ่งที่ราวกับเป็นตัวเขาอีกคนหนึ่ง
ในตอนนี้เขานั้นได้นั่งลงบนพื้นหญ้า แต่เจ้าสิ่งนั้นมันกลับนั่งอยู่กลางอากาศ
ตัวเขางั้นรึ
แต่เพียงเฉินเฉียงกะพริบตาไปทีหนึ่ง เขาก็พบว่าร่างนั้นก็หายไปอย่างน่าฉงน
ภาพหลอนรึ
ไม่
หลังจากที่เขาได้ยินเสียงเกลียวคลื่นลูกใหญ่ที่สาดซัดอยู่ในห้วงจิตสำนึกของเขาแล้ว เขารับรู้ได้ในทันทีว่าค่าพลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย นี่จึงทำให้เฉินเฉียงถึงกับต้อ องสะบัดหัวไปมาอย่างแรง ก่อนจะเพ่งพินิจไปยังจุดเดิมก่อนหน้านี้
หลังจากผ่านไปนานพอดู ร่างที่เหมือนกับเขาก่อนหน้านี้ก็ได้ปรากฏ
คราวนี้เฉินเฉียงไม่กล้าที่จะละสายตาอีกต่อไป แม้แต่จะกะพริบตาเขายังฝืนไว้เต็มที่เพราะกลัวจะพลาดสิ่งสำคัญอะไรบางอย่างไป
และเป็นตอนนี้เองที่ร่างที่ราวกับภาพหลอนของเขานั้นก็ได้ปรากฏความชัดเจนมากขึ้น
มันเป็นร่างของชายวัยกลางคนที่มีเค้าโครงดูเฉียบคมเข้ม ชายคนนี้สวมผ้าคลุมสีเขียวที่ปลิวไสวต้องลม คิ้วของเขายาวโง้ง ดวงตาหรี่เล็ก ปากกว้าง และกำลังหลับตาสดับรับฟังเสียงเ เกลียวคลื่นอย่างสบายอารมณ์
เฉินเฉียงเองนั้นแม้เขาจะไม่ได้พบเห็นสิ่งใดที่พิเศษจากชายวัยกลางคนคนนี้ เขาก็สังเกตเห็นได้ว่าถึงแม้ชายวัยกลางคนผู้นี้จะนั่งลอยอยู่บนอากาศ แต่เขาก็เหมือนจะไม่ได้ลอยไปไหน นมาไหนเพียงลอยนิ่งอยู่เฉยๆ
ช่างน่าแปลกนัก
แม้ชายคนนี้ราวกับกำลังถูกสายลมพัดผ่านอย่างไม่หยุด แต่จุดที่เขาลอยอยู่นั้นกลับไม่เขยื้อนแม้เพียงเล็กน้อย เขาทำได้ยังไงกัน
และเพื่อที่เฉินเฉียงจะไม่ได้ละสายตาจากชายวัยกลางคนคนนี้ เฉินเฉียงเลิกคิดสิ่งต่างๆและทำเพียงจับจ้องไปที่เขาอย่างไม่ละสายตาหรือผ่อนคลายใจลงแม้แต่น้อย
เวลาผันผ่านไปเท่าไหร่ไม่ทราบได้ พลังจิตที่ก่อเกิดจากส่วนเกินของภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรนี้ได้ลอยล้นขึ้นมาจนเกือบจะสัมผัสกับภาพวาดที่ลอยตระหง่านอยู่ในจิตสำนึกของเฉินเฉียง นี่ทำให้เฉินเฉียงนั้นรู้สึกราวกับมีเกลียวคลื่นกำลังไหลเวียนอยู่ในห้วงจิตสำนึกเลยทีเดียว
แต่ถึงแม้เกลียวคลื่นในภาพห้วงมหาสมุทรนี้จะขยับ แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็หาได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ราวกับว่าชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นเพียงฉากหลังของภาพวาดเพียงเท่านั้น แต่กระนั้นเฉินเฉียงกลับรู้สึกว่าชายคนนี้อยู่นอกภาพวาดอีกทีหนึ่ง
และยิ่งเขาเพ่งพินิจชายคนนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าชายคนนี้เหมือนเขามากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับสืบเชื้อสายเดียวกันมา
หรือนี่อาจจะเป็นแก่นแห่งเคล็ดวิชานี้ก็ได้เหมือนกัน
เฉินเฉียงยังคงจับจ้องไปที่ภาพวาดห้วงมหาสมุทรอย่างไม่ละสายตาและจับจ้องไปที่ชายวัยกลางคนที่ทำตัวราวกับรับรู้เกลียวคลื่นนี้อย่างสบายอารมณ์อย่างไม่กะพริบตา
ที่แตกต่างกันระหว่างชายคนนี้กับเขานั้นคงมีเพียงการจ้องมองภาพวาดนี้กันอยู่คนละด้านเพียงเท่านั้น
แต่เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงราวกับกำลังรับรู้ถึงอะไรบางสิ่ง
มันเกี่ยวกับเจตจำนงแห่งการต่อสู้ที่เขาฝึกฝน
ถึงแม้สายเลือดของเขาในตอนนี้จะอยู่ในระดับสูงที่เรียกว่าโกลาหลอาชาไนย แถมเฉินเฉียงยังคิดมาโดยตลอดว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขานั้นจะพัฒนาได้ตามระดับสายเลือดของเขาก็ ตาม
แต่เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงนั้นราวกับจะมาฉุกคิดได้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการยกระดับขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขานั้นคือระดับพลังจิต
และยิ่งไปกว่านั้นคือ ก่อนหน้านี้ เฉินเฉียงนั้นคิดไปว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาทำได้เพียงแค่เป็นเขตแดนส่วนตัว ต่อให้พบเจอการโจมตีที่รุนแรงขนาดไหนก็ไม่กระเทือนทำให้ เฉินเฉียงราวกับเต่าที่มีกระดองที่แข็งแกร่ง หาได้ใช้ในการโจมตีจริงๆได้ไม่
แต่เป็นตอนนี้ที่เขานึกขึ้นมาได้ว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ที่แท้จริงไม่ได้ใช้กันแบบนี้
ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ที่แท้จริงนั้นสมควรจะเป็นขอบเขตการต่อสู้ที่เขาสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง
และหากเขาต้องการจะทำเช่นนั้นให้ได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็ต้องทำการควบคุมขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้นี้ให้ได้สมบูรณ์เช่นเดียวกัน
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ในระดับขั้นที่สูงกว่านั้นไม่ได้มีดีที่การป้องกันแต่เป็นการควบคุม
และการที่เฉินเฉียงสามารถเข้าใจในเรื่องนี้ได้นั้นเป็นเพราะร่องรอยที่ชายวัยกลางคนนี้มอบให้เฉินเฉียงในขณะที่เขาจ้องมองภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรอยู่
และชายวัยกลางคนที่ดูราวกับฉากหลังผู้นี้นั้น แท้ที่จริงแล้วเขานั้นมีตัวตนอยู่ทั้งในและนอกภาพวาดนี้ ประดุจดั่งเขานั้นมีความเข้าใจในเคล็ดวิชาภาพวาดห้วงมหาสมุทรที่สูงล้ำจน นสามารถใช้มันได้ประดุจดั่งเป็นเขตแดนของตน
และนี่เองทำให้เฉินเฉียงนั้นคิดที่จะแข่งกับชายคนนี้โดยการทำความเข้าใจสิ่งที่ชายคนนี้กำลังเป็นอยู่
จนในชั่วขณะหนึ่ง อยู่ๆขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเฉินเฉียงก็ได้บังเกิดขึ้นมาที่ร่างกายของเขา แน่นอนว่าเฉินเฉียงในตอนนี้ไม่ได้รับรู้ว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาน นั้นขยายไปไกลนับหมื่นเมตรเข้าไปแล้ว
และนี่เองทำให้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขานั้นผลักดันผู้คนทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่ยืนดูท่าทีของเฉินเฉียงอยู่ออกไปไกลนับสิบกิโล
แต่ก็ยังมีฉากเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านี้เกิดขึ้นอีก
แต่เดิม หากเป็นปกติแล้วยามที่เฉินเฉียงใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ ทุกชีวิตในอาณาเขตสมควรจะถูกผลักออกไปด้วยคลื่นพลังที่ค่อนข้างจะกระด้างผิวกาย ประดุจดั่งการถูกเบียดเบนโ โดยผิวลูกโป่ง
แต่ในครั้งนี้แตกต่างออกไป ยามที่ทุกคนถูกบังคับให้ถอยร่นออกไปนั้น พวกเขารู้สึกราวกับเป็นไข่ที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในน้ำ
หลังจากถูกบีบบังคับให้ถอยร่นออกไปโดยขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ไปแล้ว ตอนนี้ทั้งสามเผ่าพันธุ์ก็ได้กลับเข้ามารายล้อมเฉินเฉียงอีกครั้ง
และในครั้งนี้ทุกคนไม่ได้รู้สึกถึงการถูกคลื่นพลังบังคับหรือแรงต้านๆใดๆแม้แต่น้อย
มันเหมือนกับว่าถึงแม้ขอบเขตเจตจำนงของเฉินเฉียงนั้นจะถูกปลดปล่อยออกไปแล้ว แต่มันก็ได้มีผลในการบังคับแบ่งแยกเขาก็คนอื่นอีกแต่อย่างใด
มันราวกับว่าขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขานั้นยืดหยุ่นได้เสียอย่างนั้น
และนี่ทำให้ทุกคนต่างก็มุ่งตรงไปหาเฉินเฉียง
หนึ่งพันเมตร
ห้าร้อยเมตร ร้อยเมตร
จนกระทั่งมีนักรบสายเลือดนายพลวิญญาณผู้หนึ่งได้เดินเข้าไปอยู่ข้างๆเฉินเฉียง แต่เฉินเฉียงก็ยังไม่รับรู้แต่อย่างใด
และเมื่อเขาเห็นว่าเปลือกตาของเฉินเฉียงยังคงปิด และลูกตาของเขาหาได้ขยับเขยื้อนเฉกเช่นคนทั่วไปราวกับกำลังจ้องมองอะไรบางอย่าง นี่ทำให้เขาต้องรวบรวมความกล้าตบไปที่ไหล่ของ เฉินเฉียงด้วยความแรงระดับหนึ่งแล้วพูดออกมา “เฉินเฉียง เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า”
อย่างไรก็ตาม ฉากที่น่าสยองก็ได้ปรากฏขึ้น
เพราะมือที่น่าจะตบไปบนไหล่ของเฉินเฉียงนั้นกลับทะลุผ่านตัวเขาไป
นี่ทำให้ชายหนุ่มสองคนที่เดินติดตามเขามานั้นเบิกตากว้างในทันทีที่เห็น
“ผู้สั่งการหลิงเว่ย เกิดอะไรขึ้นกับเฉินเฉียงกัน หรือว่านี่ไม่ใช่ร่างกายหากแต่เป็นเพียงร่างจิตวิญญาณของเขา”
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือผู้สั่งการแห่งอาณานิคมเขาหมาง หลิวเว่ย
และเขาเองก็กำลังตกตะลึงในสิ่งที่เห็นอยู่
ตัวเขาในตอนนี้ราวกับไม่ได้ยินคำถามจากชายหนุ่มที่พูดกับเขาอยู่ด้านหลัง เขาได้ลองยื่นฝ่ามือของตนค่อยๆกวาดผ่านร่างของเฉินเฉียงที่กำลังนั่งอยู่ไปมา ก่อนที่จะลองฟันมือขึ้น นลงผ่านบริเวณดวงตาของเขา แต่เฉินเฉียงก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ไหวติง
นี่ทำให้เจ้าอ้วนที่อยู่ด้านหลังหลิงเว่ยที่จ้องมองอยู่นั้นบังเกิดใบหน้าที่ยับย่นก่อนจะตะเบ็งเสียงออกมา “เฉินเฉียง นี้เจ้าเป็นอะไรไปเนี่ย”
หลังจากร้องออกมาแล้ว เขาก็พุ่งเข้าใส่เฉินเฉียงในทันที
แต่ในตอนนี้ทุกคนนั้นต่างก็เห็นว่าร่างของเจ้าอ้วนได้ลอยผ่านเฉินเฉียงไปจนหน้าคะมำลงกับพื้นดินในทันที
“ดูเหมือนเฉินเฉียงจะเจอปัญหาแล้วจริงๆ”
มาถึงตอนนี้ หลิงเว่ยทำได้เพียงยอมรับแล้วว่าเฉินเฉียงที่อยู่ตรงหน้าทุกคนนั้นถ้าไม่ใช่ภาพลวงตาก็เป็นร่างวิญญาณเพียงเท่านั้น
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เฉินเฉียงหาได้รับรู้ไม่
เขาในตอนนี้เพียงแค่ได้ยินเสียง “โปว” ดังครึ่งจากส่วนลึกในร่างกายเพียงเท่านั้น นี่ทำให้เขาตื่นจากภวังค์การเพ่งจิตขึ้นมา