ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก - บทที่ 490 เว่ยกัง
บทที่ 490 เว่ยกัง
ถึงแม้สถานการณ์บนโลกจะยังล่อแหลมอยู่มากนัก แต่เฉินเฉียงนั้นหลังจากคิดอย่างหนักใจอยู่นาน เขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจและคิดที่จะเป็นฝ่ายเปิดฉากใส่เหล่าผู้รุกรานให้ถอยหนีร่นกลั บไปยังโลกปีศาจแทน
และนี่ทำให้เฉินเฉียงใช้ความพยายามอย่างที่สุดในการถ่ายทอดทุกสิ่งที่เขาได้พบเจอในระหว่างการต่อสู้กับผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิต เพื่อที่จะให้เหล่าผู้คนทั้งสามเผ่าพันธ ธุ์นั้นมีชัยเหนือผู้บ่มเพาะเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตเหล่านี้
และด้วยระบบบ่มเพาะบนโลกมนุษย์ นอกจากไอ้พวกสัตว์ปีศาจที่เป็นหุ่นเชิดโลหิตแล้ว เรื่องอื่นนั้นหาได้ทำอะไรพวกเขาได้ไม่
จะเหลือก็อย่างที่หลูเป็งได้พูดออกมา นั่นก็คือหุ่นเชิดซากศพ
นั่นก็เพราะหุ่นเชิดซากศพในตอนนี้ส่วนใหญ่มิตรสหายและญาติสนิทของพวกเขาที่มีสายสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอด
“ไอ้ฉิบหาย ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วคราวหน้าถ้าข้าได้พบเจอพวกมันละก็จะเผาผลาญพวกมันให้หมดสิ้นจนเป็นธุลีเลยคอยดู”
หลูเป็งที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสัตว์ประหลาดนั้นเป็นผู้มีความป่าเถื่อนอยู่ในสายเลือดอยู่แล้วก็ลุกขึ้นพรวดพลางสบถออกมาอย่างระบายอารมณ์
“อย่าได้ทำเช่นนั้น” เฉินเฉียงรีบห้ามปรามในทันที ผู้อาวุโสสูงสุดหลูเป็ง ถึงแม้คนเหล่านั้นจะกลายเป็นหุ่นเชิดซากศพไปโดยผู้บ่มเพาะบนเส้นทางหุ่นเชิดโลหิตก็ตาม แต่พวกเขานั้นก็ยัง งเป็นผู้บ่มเพาะระดับราชาทั้งสิ้น
ต่อให้พวกเขาจะกลายเป็นหุ่นเชิดซากศพ แต่โลกใบเล็กภายในร่างของพวกเขานั้นไม่ได้หายไปไหน
“แต่หากท่านเผาพวกเขาไปจนสิ้นซากด้วยเปลวไฟ สิ่งมีชีวิตที่ยังคงอยู่ในโลกใบเล็กของพวกเขาจะดับสูญไปด้วย”
“ข้าขอให้ท่านทำเฉกเช่นเดียวกับผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยนที่นำพาพวกเขาทั้งผู้ที่ตกตายกลายเป็นวีรชนในการศึกนี้หรือแม้แต่ผู้ที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดซากศพก็ตามก็จงใช้ทุกควา ามสามารถนำพาร่างของพวกเขากลับมายังฮุยตู๋เพื่อฝังไว้ที่นั่น”
“ท่านอย่าได้หลงลืมไปว่าต่อให้พวกเขากลายเป็นหุ่นเชิดซากศพไป แต่นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาได้ทำการสละชีวิตของตัวเองในการต่อสู้ เพื่อให้พวกเราได้อยู่รอดต่อไป”
เฉินเฉียงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะใช้สามัญสำนึกของมนุษย์พูดคุยทำความเข้าใจในเรื่องนี้หาใช่เป็นคำสั่งเฉกเช่นผู้นำของทุกคน ก่อนที่เขาจะพูดต่อว่า
“และข้าก็คิดว่าทุกท่านในที่นี้คงยังไม่รู้ แต่ในร่างกายของผู้ที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดซากศพเองก็มีแหล่งพลังงานเฉกเช่นเดียวกับนักรบซากศพของมนุษย์กลายพันธุ์”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็จับไปที่หลังคอของตนเองก่อนที่จะถูไปมาแล้วพูดต่อ “เมื่อใดก็ตามที่พวกท่านพบเจอหุ่นเชิดซากศพ พวกท่านต้องหาทางเปิดหลังคอของพวกมัน ในนั้นจะมีบางอย่า างที่คล้ายกับแก่นวิญญาณอยู่ด้านใน มันถูกเรียกว่าแก่นหุ่นเชิดซึ่งนี่เป็นแหล่งพลังงานของพวกมัน”
“หลังจากนำแก่นหุ่นเชิดนี้ออกมา ร่างร่างนั้นจะกลับกลายเป็นศพธรรมดาในทันที”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือแก่นหุ่นเชิดที่ได้ออกมาจากหลังคอนี้นั้น มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังฟ้าดินที่บริสุทธิ์ และพวกเราสามารถดูดซับมันได้โดยตรง ส่วนผลลัพธ์นั้นข้าบอกได้เลยว่าดีกว ว่าแก่นวิญญาณที่ดีที่สุดหลายเท่านัก”
ในตอนนี้เอง เหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นนั่งจ้องมองเฉินเฉียงอย่างตาแป๊วประดุจดั่งเด็กน้อยที่กำลังรับฟังนิทานอยู่อย่างออกรสออกชาติ
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะพวกเขาก่อนหน้านี้จะยึดถือร่างของหุ่นเชิดซากศพว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เพียงแค่ถูกครอบงำโดยอะไรบางอย่างเท่านั้น และพวกเขาไม่ได้ต่างไปจากคนคนหนึ่ง งที่มีชีวิต แต่เมื่อรับรู้ว่าเป็นเพียงซากศพ พวกเขาก็ไม่ได้คิดจะไว้หน้าค่าตากันอีกต่อไป
เมื่อรู้เช่นนี้พวกเขานั้นย่อมรับมือได้ง่ายขึ้นอย่างมากยามที่ต้องเผชิญหน้ากับพวกมันอีกครั้ง
และที่สำคัญที่สุด….แก่นหุ่นเชิด
ทุกชีวิตบนโลกใบนี้ล้วนแล้วถวิลหาผลประโยชน์ส่วนตน ต่อให้เป็นยามหายนะวันสิ้นโลก แต่กลายทรงพลังเหนือใครย่อมเป็นกุญแจสำคัญในการอยู่รอดไปได้
และเมื่อได้ยินสิ่งที่ทำให้พวกเขาจะแข็งแกร่งมากขึ้น มีหรือที่พวกเขาจะปล่อยมันไป
“ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ …”
เป็นตอนนี้ที่กำไลสื่อสารของฮูเตี๋ยนดังขึ้นมา
“ผู้อาวุโสสูงสุด เกิดอะไรขึ้นรึ” เฉินเฉียงถามออกมา
“เรียนท่านนายเหนือหัว ตอนนี้ผู้อาวุโสสองหยางตู่ส่งข้อความมาบอกว่าพวกเขาพบตัวการที่ก่อการวุ่นวายที่เขตหวู่กังและเขตฮัวจ้ง เขาหวังจะให้พวกเราส่งคนไปช่วยเหลือ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเฉียงยืนขึ้นแล้วพูดออกมา ทุกท่านอยู่จัดสรรสมุนไพรหมุนเวียนโลหิตอยู่ที่นี่ เดี๋ยวข้านั้นจะไปที่นั่นดูสักหน่อย
“ท่านหนายเหนือหัว ท่านไปไม่ได้นะ” ฮูเตี๋ยนรีบร้องห้ามปราม
“ท่านนายเหนือหัว ผู้อาวุโสสองนั้นเป็นถึงราชาจอมพลขั้นปลาย ถึงแม้เขาจะร้องขอความช่วยเหลือแต่ข้าว่านั่นน่าจะเป็นเพียงพบเจอปัญหาบางอย่างเท่านั้น”
“หากไม่เช่นนั้นก็เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านนายเหนือหัว ข้าว่าพวกเราเลื่อนการแจกจ่ายนี้ไปช้าหน่อยคงไม่เป็นไร พวกเราไปช่วยคนเหล่านั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน เพราะยังไงซะการช่วยเหลือ อย่อมสำคัญกว่าการช่วยเตรียมตัวให้ผู้คนที่ยังไม่ประสบปัญหา หลังจากจัดการศัตรูเสร็จแล้วเราค่อยมาคุยกันอีกที”
ถึงแม้คำพูดของฮูเตี๋ยนจะได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสสูงสุดของสามเผ่าพันธุ์ แต่เฉินเฉียงนั้นกลับส่ายหน้าในทันทีแล้วพูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ข้านั้นบั่นหัวไอ้พวกนั้นมา ามากมายแล้วในโลกปีศาจ ท่านไม่ต้องกังวลไป”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเพียงแค่ต้องการไปดูเฉยๆเพียงเท่านั้น ต่อให้ต้องหลบหนี ด้วยตัวของข้าเพียงคนเดียวย่อมหลบหนีได้ง่ายกว่าการไปเป็นหมู่คณะ ด้วยความสามารถของข้าจะมีใครจับตัวข้า าได้กัน”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงไม่แยแสต่อสายตาคัดค้านของผู้คน ใช้ทักษะผ่ามิติไปทางเมืองจิ้งชวนในทันที
ไม่นาน เฉินเฉียงก็ได้ปรากฏตัวอยู่บนน่านฟ้าของเมืองจิ้งชวน
“ท่านนายเหนือหัว”
หยางตู๋ที่รับรู้การคงอยู่ของเฉินเฉียงก็รีบเข้ามาหา
ในตอนนี้หยางตู๋ผู้ที่ถึงเป็นผู้บ่มเพาะในระดับราชาจอมพลขั้นสูง ตกอยู่ในสภาพที่ยากจะเอ่ยอธิบาย
ด้านหลังของเขาในตอนนี้เองก็มีคนกลุ่มหนึ่งอยู่อีกสี่สิบกว่าคน
ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำคนกลุ่มนี้ก็เห็นเฉินเฉียง
และเพียงเขาได้ยินคำพูดของหยางตู๋ที่เรียกเฉินเฉียงก่อนหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างดังลั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ไอ้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแบบนี้นะเป็นนายเหนือหัวของแก ช่างน่าขันนัก”
“ดูเหมือนว่าโลกใบนี้ก็คงจะตกเป็นของพวกข้าไม่ช้าก็เร็วแล้วล่ะเว้ย”
เฉินเฉียงเหมือนเห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างดูแคลน “ไอ้แก่ นี่แกเป็นคนของหอกองโจรหมาป่าสินะ”
เมื่อชายวัยกลางคนได้ยินก็ต้องตกตะลึงในทันที “อะไร ใคร แกเป็นใครวะ ทำไมถึงได้รู้จักหอกองโจรหมาป่าของข้า”
เฉินเฉียงยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดออกมาอย่างไม่ไยดี “พูดมากน่ารำคาญ บอกมา ว่าแกมีตำแหน่งใดในหอกองโจรหมาป่า”
ชายวัยกลางคนในตอนนี้ได้ทุบไปที่อกของตนก่อนจะพูดออกมาอย่างภูมิอกภูมิใจ “ข้า ผู้คุมหอกองโจรหมาป่า เว่ยกัง ไอ้หนู ไม่ว่าแกจะรู้ได้ยังไงว่าข้าเป็นคนของที่นั่น แต่กับไอ้ เด็กน้อยจากโลกที่อ่อนด้อยอย่างแกเนี่ยนะทำมาเป็นรู้ดีเกี่ยวกับวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่โลกของข้า”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็มองผู้คนในกลุ่มนี้โดยรอบปาดหนึ่งก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่เร่งรีบ “เว่ยกังรึ หึหึหึ ช่างน่าเสียดายนัก นี่แกกล้าพูดเรื่องแบบนี้ออกมาอย่างหน้าตาเฉยได้น นี่ นี่แกจะยึดครองหอกองโจมหมาป่าไว้เป็นรังของแกสินะ ห้ะ”
เว่ยกังที่ได้ยินก็นึกสับสนจนต้องถามออกมา “ไอ้หนู แกพ่นเรื่องไร้สาระอะไรออกมาวะนั่น”
เฉินเฉียงไม่ได้พูดต่อ ก่อนจะนิ่งคิดและเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นฮั่นจุยพร้อมกับใช้พลังเหนือมนุษย์เกราะเหล็กไหล นี่ทำให้เขานั้นมีสภาพคล้ายกับฮั่นจุยที่เว่ยกังเคยได้พบเจอที่ วิหารศักดิ์สิทธิ์ก่อนหน้า
“กะกะแก แกเป็นใครกันแน่”
ด้วยรูปลักษณ์ของเฉินเฉียงได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นฮั่นจุยไป นี่ทำให้เว่ยกังถึงกับชี้หน้าเฉินเฉียงอย่างมือไม้สั่นและถามออกมาในทันที
เฉินเฉียงที่ในตอนนี้อยู่ในรูปลักษณ์ของฮั่นจุยก็ได้ยืนมือไพล่หลัง และค่อยๆก้าวเดินเข้าหาแม้จะอยู่บนฟ้าก็ตาม
เมื่อเว่ยกังเห็นแบบนี้ เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะถอยร่น
“หึหึหึ เว่ยกัง เจ้าไม่รู้รึว่าราชาผู้นี้เป็นใคร เมื่อผู้คุมหอผู้นี้แล้วยังไม่คิดจะคุกเข่าอีกรึ”
คำพูดของเฉินเฉียงได้ดังลอยขึ้นมาในโสตประสาทของเว่ยกังหลังจากที่เฉินเฉียงนั้นได้เปิดใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ไป
อีกฟากฝั่งหนึ่ง เว่ยกังในตอนนี้แข่งขาสั่นเทา พลางจ้องมองเฉินเฉียงอย่างมึนงงตื่นตระหนกราวกับอยากจะคุกเข่าลงให้ได้เสียตอนนี้
“ไม่ใช่ ไม่จริง ไม่มีทางเป็นไปได้”
เว่ยกังส่ายหน้าไปมา ก่อนที่เขาจะกัดฟันแน่นแล้วพูดต่อ “ไอ้เด็กเวร อย่าได้คิดมาโกหกข้า ท่านจ้าววิหารจะออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์มาได้ยังไงกัน”
“บอกข้ามาเดี๋ยวนี้ แกคิดจะทำอะไรกันแน่”
ถึงแม้เว่ยกังผู้นี้จะไม่ยอมหลงกลเฉินเฉียง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เฉินเฉียงต้องเสียอาการแต่อย่างใด กลับกัน เขายุ่งพูดจาเสี้ยมสอดในทันที “เว่ยกัง ไอ้แมลงหน้าโง่ เมื่อกี้แกพึ่งบ บอกออกจากปากไม่ใช่รึว่าโลกใบนี้จะต้องตกเป็นของวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าน่ะ ห้ะ”
“นี่แกไม่รู้อะไรเลยสินะที่ว่าจ้าววิหารของแกที่นั่งสถิตที่เขาโรคานั้นเป็นผู้คนของโลกใบนี้ตั้งแต่เกิดจนกลายเป็นผู้บ่มเพาะระดับสูง”
“เอาล่ะ ที่นี้บอกข้าหน่อยว่าแกน่ะ จะยึดครองโลกนี้ได้ หรือว่าคนของข้านั้นได้ยึดครองโลกของแกไปแล้วกัน”