ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 24 จะอ่านชื่อกลับหัว
ตอนที่ 24 จะอ่านชื่อกลับหัว
ทำอะไรน่ะหรือ ?
แน่นอนว่าเขากำลังเตรียมทำผง 5 หอม จากนั้นค่อยทำผง 13 หอม นอกจากนี้ยังสามารถทำผงยี่หร่าได้อีกด้วย
แบบนี้จะได้สะดวกเวลาจะปรุงรสในภายหลัง
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายให้หลินเจียอินฟัง หลินเจียอินยิ่งฟังก็ยิ่งตะลึง
“ทำไมเขาถึงรู้อะไรมากมายขนาดนี้ ? ”
“เมื่อก่อนทำไมไม่เคยได้ยินว่าเขารู้เรื่องพวกนี้ล่ะ ! ”
เธอพบว่าตั้งแต่ที่เจียงเสี่ยวไป๋เปลี่ยนไป เธอก็ยิ่งไม่เข้าใจเจียงเสี่ยวไป๋ยิ่งขึ้น
“เมียจ๋า ใครในหมู่บ้านมีถั่วลันเตากับถั่วเหลืองบ้าง คุณซื้อมาให้ผมที ผมจะเอามาทำเต้าเจี้ยว” เจียงเสี่ยวไป๋บอก
“ที่บ้านมี ไม่ต้องซื้อหรอก”
แทบทุกบ้านในชนบทต่างทำเต้าเจี้ยวเก็บไว้ทั้งนั้น หลินเจียอินเองก็ทำเป็นเช่นกัน ที่บ้านยังทำเก็บไว้ไหเล็ก ๆ อีกด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้มว่า: “ผมว่าจะซื้อทำเก็บไว้เยอะหน่อย ต่อไปผมเปิดร้านจะต้องใช้เยอะ”
“ได้”
หลินเจียอินจนปัญญาจะขัดใจเขา เธอจึงไปซื้อถั่วลันเตากับถั่วเหลืองมาตามที่เขาต้องการ
ถั่วลันเตาและถั่วเหลืองราคาถูก ใช้เงินไม่กี่หยวนก็ซื้อกลับมาได้เยอะแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋หมดเวลาไปกับครกหินตลอดทั้งบ่าย เขาบดเครื่องเทศที่ซื้อมาให้กลายเป็นผงชนิดแล้วชนิดเล่า จากนั้นก็แบ่งบรรจุแยกชนิดกัน จากนั้นก็เริ่มทำพริกป่น
เขานำพริกช่อและพริกเสฉวนที่ซื้อมา รวมถึงพริกพื้นบ้านมาทำพริกป่นที่มีความละเอียดแตกต่างกัน
นี่เป็นผลมาจากการคิดค้นสูตรของเขา การที่พริกทั้งสามชนิดมีระดับความละเอียดแตกต่างกันจะช่วยให้ระดับความเผ็ดแตกต่างกัน
หลังจากเตรียมสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋นำพริกไทย อบเชย โป๊ยกั๊ก กานพลู และผงยี่หร่าผสมในอัตราส่วนเท่ากันเป็นผง 5 หอม
ขณะเดียวกัน เขายังได้ผสมจื่อโค่ว ซาเหริน ลูกจันทน์เทศ อบเชย การพลู พริกฉวาเจียว โป๊ยกั้ก ผลยี่หร่า มู่เซียง แปะจี้ เปราะหอม ข่า และขิงแห้ง ในอัตราส่วนที่เท่ากันเพื่อทำผงเครื่องเทศ 13 หอม
สุดท้าย เขาก็ทำน้ำมันพริกไว้ขวดใหญ่
กว่าจะเสร็จงานเก็บกวาดข้าวของก็มืดแล้ว เขากลับเข้าไปในครัวเพื่อเริ่มทำอาหารเย็นต่อ
เขาเอามันหมูไปเจียวในกระทะก่อน จากนั้นใส่น้ำมันที่เหลือในจานแยกต่างหากและโรยเกลือเล็กน้อย กลายเป็นของว่างแสนอร่อย
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบชิมไปหนึ่งชิ้น
อืม กรอบ~ รสชาติที่คุ้นเคย
ดังนั้นเขาจึงเรียกชานชาน
“ว้าว กากหมูหอมจังเลยค่ะ”
หนูน้อยได้กินกากหมูก็ทำหน้าเคลิบเคลิ้มเพราะกลิ่นหอมของมัน
“ขอบคุณค่ะป่าป๊า”
หนูน้อยวิ่งออกไปจากห้องครัว เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ เขาเหลือเนื้อหมูไว้ประมาณครึ่งชั่งสำหรับทำบะหมี่หมูเส้นในมื้อเช้าวันพรุ่งนี้ เนื้อที่เหลือเขานำมาสับเป็นหมูสับ จากนั้นนำกระดูกหมูที่เหลือจากมื้อกลางวันมาเคี่ยว ใส่หมูสับปั้นก้อนและตับหมูลงไป
ตับหมูช่วยบำรุงเลือด แบบนี้เมียของเขาจะได้กินข้าวได้เยอะขึ้นหน่อย
เจียงเสี่ยวไป๋ปอกเปลือกฟักเขียวที่เหลืออีกครึ่งลูก จากนั้นหั่นเต๋าให้มีขนาดเท่ากัน ใช้มีดกรีดเป็นรูปไขว้กันที่หลังฟักเขียว ตีไข่ นำฟักเขียวลงไปชุบไข่แล้วลงทอดในกระทะจนเป็นสีเหลืองทองถึงตักขึ้นมาพักไว้ จากนั้นใส่น้ำมันลงในกระทะ ผัดหอมใหญ่ ขิง กระเทียมและพริกแห้งจนหอม ใส่เนื้อสับลงไปผัดจนสุก ใส่เกลือ ปรุงรสด้วยเครื่องเทศ 13 หอมที่เตรียมไว้ ใส่ฟักเขียวทอดชุบไข่ลงไป ถึงเติมน้ำซุปกระดูกเล็กน้อย แล้วเคี่ยวครู่หนึ่ง
เมื่อตัดใส่ชามแล้ว เขาจัดเจงโรยหน้าด้วยต้นหอมซอยและผักชี
เมนูฟักเขียวตุ๋นน้ำแดงที่หน้าตาเหมือนกับหมูตุ๋นน้ำแดงพร้อมยกเสิร์ฟแล้ว
“ว้าว วันนี้ได้กินเมนูหมูตุ๋นน้ำแดงอีกแล้ว”
หนูน้อยพูดด้วยความดีใจ
“คุณลองชิมดูสิว่าเมนูตุ๋นน้ำแดงวันนี้แตกต่างจากเมื่อวานอย่างไรบ้าง” เจียงเสี่ยวไป๋คีบฟักตุ๋นให้หลินเจียอินหนึ่งชิ้น “มันคือฟักเขียวตุ๋นน้ำแดง”
หลินเจียอินชิมแล้วก็ทำตาโตด้วยความตกตะลึง
พระเจ้า นี่มันรสชาติอะไรกัน ?
นี่ไม่ใช่หมูตุ๋น แต่เป็นฟักเขียวหั่นเต๋า
ทว่ารสชาติกลับเหมือนหมูตุ๋น
ที่สำคัญคืออร่อยมาก
มันไม่มันเลี่ยนเลยสักนิด
หลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะตัก “เนื้อฟักเขียวตุ๋น” เข้าปากทั้งชิ้นแล้วกัดกินไปสองสามคำ
“อร่อยไหม ? ”
“อร่อยมาก ! ”
“เอาอีกไหม ? ”
“เอาสิ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบคีบให้เมียอย่างรวดเร็ว
เฮอะๆ เมียบอกว่าจะเอา เขาจะไม่ให้ได้อย่างไร ?
เขาต้องให้เธอสิ แถมยังต้องรวดเร็วทันใจเธอด้วย
“หมูตุ๋นน้ำแดงที่ป่าป๊าทำอร่อยมาก”
หนูน้อยกินฟักเขียวไปหมดชิ้นแล้วยังไม่รู้ตัวเลยว่าที่เธอกินมันไม่ใช่เนื้อหมู แต่เป็นฟักเขียวที่หม่าม๊าทำให้กินทุกวัน
หมูสับปั้นก้อนที่เคี่ยวในหม้อกำลังเดือดปุด ๆ ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นออกมา เจียงเสี่ยวไป๋จึงคีบให้สองแม่ลูกกิน
รสชาติสดชื่นนุ่มนวล ทั้งยังก้อนกลมเหมือนลูกกระสุน
เขาใส่ตับหมูลงไปด้วย ทำให้น้ำซุปในหม้อยิ่งหอมเข้มข้นยิ่งขึ้น จากนั้นตักน้ำซุปใส่ข้าวหนึ่งทัพพี รสชาติของน้ำซุปอร่อยไม่ได้ด้อยไปกว่าหูฉลามน้ำแดงเลย
สามคนพ่อแม่ลูกกินมื้อเย็นอย่างอิ่มหนำอีกครั้ง
“เมียจ๋า คุณพาชานชานไปเดินย่อยที่ลานบ้านก่อนนะ ผมล้างจานล้างหม้อเสร็จแล้วจะไปเตรียมของที่จะขายพรุ่งนี้ต่อ”เจียงเสี่ยวไป๋บอก
“คุณทำมาตลอดทั้งครึ่งวันแล้ว ยังไม่เสร็จอีกหรือ ? ”
หลินเจียอินถามด้วยความสงสัย
เขาแค่ทำผัดมันฝรั่ง ยังมีอะไรที่ต้องเตรียมอีก ?
“ใกล้แล้ว อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดแล้วก็รีบไปทำงานของตน
ส่วนในเมืองชิงโจวนั้น หลังจากรอให้เจียงเสี่ยวไป๋กลับไปแล้ว หวังผิงทำเพิงให้เจียงเสี่ยวไป๋เสร็จแล้ว พอกลับมาที่เคาน์เตอร์ร้านถึงได้เห็นของที่เจียงเสี่ยวไป๋ทิ้งไว้ให้
ขนมบิสกิตหนึ่งกล่อง แอปเปิ้ลหนึ่งถุงและเนื้อหนึ่งชิ้น
ไหนเจ้าหมอนั่นบอกว่าซื้อแอปเปิ้ลให้เสี่ยวกัง แต่จู่ ๆ ทำไมเขาถึงซื้อเนื้อมาด้วยล่ะ
แม้ว่าเขาจะเปิดกิจการร้านน้ำชาทำเงินได้เดือนละ 20-30 หยวน แต่เขาก็เสียดายเงินไม่กล้าซื้อเนื้อกินทุกวัน ปกติเขามักจะซื้อเนื้อทุกสิบวันหรือครึ่งเดือน
“ไอ้หมอนี่ ! ”
หวังผิงยิ้มและส่ายหน้า เขารู้สึกมีความสุขมาก
ไม่ใช่เพราะเจียงเสี่ยวไป๋ซื้อของให้เขา แต่เพราะเขาเห็นว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้ดูแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก
เมื่อก่อน เจียงเสี่ยวไป๋มักจะมาเอาของจากเขา เคยให้ของกับเขาที่ไหนกัน ?
กระทั่งตกเย็น หวังผิงหิ้วของที่เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อมาให้กลับบ้าน
“ทำไมถึงเดินกลับมาล่ะ รถจักรยานไปไหน ? ”
เฝิงเยี่ยนหง ภรรยาของหวังผิงขมวดคิ้วเขา และเมื่อเห็นของที่เขาถือมาด้วย คิ้วของเธอก็ขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิม “ทำไมถึงซื้อของมาเยอะแยะขนาดนี้ นี่จ่ายเงินไปเท่าไรเนี่ย ? ”
“ไม่ได้ใช้เงินเลย เจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าซื้อมาให้เสี่ยวกัง”
หวังผิงหัวเราะ
“เจียงเสี่ยวไป๋ ? ”
เฝิงเยี่ยนหงทำหน้าไม่เชื่อ “เขาชนะไพ่ได้เงินเยอะแล้วไม่มีที่ใช้หรือไง ถึงได้ซื้อของให้คุณมากมายขนาดนี้ ? ”
เฝิงเยี่ยนหงไม่ชอบเจียงเสี่ยวไป๋ ปกติเธอจะบ่นหวังผิงเป็นประจำถึงเรื่องที่เขาแอบเอาเงินให้เจียงเสี่ยวไป๋ยืม
เธอคิดว่าหวังผิงเป็นคนซื้อของพวกนี้ จึงจงใจพูดไปแบบนี้
และหลังจากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋จะต้องมาขอยืมเงินอีกแน่นอน
“เอ่อ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปเอาเงินมาจากไหน”
หวังผิงเกาหัวแล้วพูดต่อ “เขายังบอกอีกว่าจะเปลี่ยนตัวเอง พรุ่งนี้เขาจะเริ่มค้าขายแล้ว”
“อย่างเขาน่ะหรือจะทำการค้า ? ”
เฝิงเยี่ยนหงได้ยินแบบนั้นก็พูดจาดูถูก ขณะจ้องไปยังหวังผิง “เขาได้พูดไหมว่าเปิดร้านขายของต้องใช้เงินทุน หรือว่าเขามายืมเงินคุณไปแล้ว ถึงได้ซื้อเนื้อชิ้นนี้มาปิดปากฉัน”
“หวังผิง ฉันจะบอกให้นะ หากเจียงเสี่ยวไป๋คิดจะมายืมเงิน ให้บอกเขาไปเลยว่าไม่มี”
หวังผิงยิ้มเจื่อน ภรรยาของเขาเป็นคนนี้เป็นคนปากร้ายใจดี เธอเป็นคนดีทำสิ่งดี ๆ เสมอ ติดอย่างเดียวคือปากร้ายไปหน่อย
“แต่คราวนี้คุณคิดผิดนะ”
หวังผิงยื่นเนื้อในมือให้ แล้วพูดว่า: “เขาไม่เพียงแต่ไม่ยืมเงินผมเท่านั้น แต่ยังบอกว่าจะให้เงินผมเดือนละ 30 หยวนด้วย”
“อะไรนะ ? ”
เฝิงเยี่ยนหงมือสั่นจนเกือบทำเนื้อในมือตกลงพื้น “คุณบอกว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะให้เงินคุณเดือนละ 30 หยวนอย่างนั้นหรือ ? ทำไมเขาต้องให้เงินคุณด้วยล่ะ ? ”
หวังผิงเห็นสีหน้าภรรยา เขาเริ่มรู้สึกเสียใจแล้วที่บอกเรื่องที่เจียงเสี่ยวไป๋จะให้เงินเขาเดือนละ 30 หยวน เพราะหากถึงตอนนั้นแล้วเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ให้เงิน ภรรยาของเขาคงจะบ่นเขาจนหูชาไปหลายวัน
แต่ตอนนี้เขาหลุดพูดไปหมดแล้ว เขาจึงทำได้เพียงฝืนพูดไปว่า “เขาทำกันสาดนอกร้านน้ำชาของผม บอกว่าจะเปิดแผงขายของตรงนั้น ผมคิดดูแล้ว ในเมื่อเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เขาอยากใช้พื้นที่ตรงนั้น อีกทั้งมันยังไม่ได้กระทบต่อกิจการร้านน้ำชาของเขา ผมจึงตอบตกลง”
เฝิงเยี่ยนหงบ่นอุบ แต่ก็ไม่ได้คัดค้านที่หวังผิงเอาพื้นที่หน้าร้านให้เจียงเสี่ยวไป๋เปิดร้าน เธอถามแค่ว่า “เขาจะทำอะไรขายล่ะ?”
“เขาบอกว่าจะขายผัดมันฝรั่ง”
หวังผิงพูดเสียงแผ่ว
เพราะเขาเองก็คิดว่าสิ่งนี้จะขายไม่ได้เหมือนกัน
“เหอะ ! ”
เฝิงเยี่ยนหงพูดอย่างดูถูกว่า “ฉันก็นึกว่าเขาจะทำการค้าที่มันได้เงินดี ที่ไหนได้เขาจะขายมันฝรั่งผัดนี่เอง”
“ถ้าเขาขายได้นะ ฉันจะอ่านชื่อตัวเองแบบกลับหัวเลย”
หวังผิงหลุดขำออกมา “ถ้าคุณอ่านชื่อกลับหัว ความหมายเปลี่ยนเลยนะ”
เฝิงเยี่ยนหงถลึงตาใส่หวังผิงด้วยความโมโห “พรุ่งนี้ฉันจะคอยดูว่าเขาจะขายผัดมันฝรั่งอย่างไร”