ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน - ตอนที่ 2933: แก่นโลหิตบรรพกาล "นายท่าน ในความจริงตั้งแต่วินาทีแรกที่ท่านก้าวลงมาบนโลกใบนี้และเห็นผู้อาวุโสลม ฉิงโซวและข้าก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เหมือนใครจากเขา มันเหมือนกับว่าเขากลายเป็นส่วนห หนึ่งที่คล้ายกับจิตวิญญาณวัตถุอย่างเรามาก" "หลังจากนั้นพวกเราก็สังเกตเขาและท้ายที่สุดเราก็ยืนยันได้ว่าผู้อาวุโสลมที่ท่านพูดถึงกำลังเสนอร่างของเขาเพื่อหลอมรวมเข้ากับวัตถุเทพที่ทรงพลังอย่างยิ่ง" "เมื่อเขาหลอมรวมกับวัตถุเทพสำเร็จ เขาจะละทิ้งร่างกายของเขาและเป็นอิสระจากเผ่าของเขา เมื่อรวมเข้ากับวัตถุเทพที่ทรงพลังและไปถึงตอนนั้นจริง ๆ เขาจะกลายเป็นวัตถุเทพและวัตถุ เทพก็จะเป็นเขา" จิตวิญญาณกระบี่อธิบายกับเจี้ยนเฉิน น้ำเสียงของเขาก็ผสมไปด้วยอารมณ์เช่นกัน "ตอนนั้นเขาจะกลายเป็นจิตวิญญาณวัตถุ ? อย่าบอกนะว่าผู้สาวุโสลมกำลังพยายามที่จะกลายเป็นจิตวิญญาณวัตถุเทพขั้นสูงสุด ? " เจี้ยนเฉินรู้สึกประหลาดใจและเต็มไปด้วยความไม่เชื่อในเวลาเด ดียวกัน การบ่มเพาะของผู้อาวุโสลมได้เข้ามาใกล้จุดสูงสุด และเขามั่นใจมากว่านอกจากจอมปราชญสูงสุด ? และราชาสัตว์เทพจากโลกอมตะแล้วก็ไม่มีใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับเขาได้ในโลกท ทั้งหมด จริง ๆ แล้วเขาพยายามทำลายอนาคตตัวเองด้วยการละทิ้งร่างกายและสายเลือดของเขาให้กลายเป็นจิตวิญญาณวัตถุ นี่ทำให้เจี้ยนเฉินสับสนอย่างมาก ถ้านี่ไม่ใช่ความจริงที่ว่าเขาไว้ใจจิตวิญญาณกระบี่มาก เขาคงไม่เชื่อเรื่องนี้อย่างแน่นอน "ไม่ ท่านไม่อาจพูดได้ว่าเป็นจิตวิญญาณวัตถุ ถ้าเขาทำสำเร็จ เขาจะกลายเป็นวัตถุเทพที่ไม่จำเป็นต้องมีเจ้านาย และเขาก็เป็นนายของตัวเองจนกลายเป็นการดำรงอยู่ที่พิเศษที่สามารถใช้พ พลังของวัตถุเทพได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้คือความแตกต่างระหว่างเขากับจิตวิญญาณวัตถุ" "อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่เขาใช้นั้นมีแต่ในตำนาน อย่างน้อย ๆ ข้อมูลที่ฉิงโซวและข้ามีเราก็ยังไม่ได้ยินว่ามีใครทำสำเร็จ ปัญหานี้ไม่มีใครทำได้อย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม ม่อาจอยู่รอดเกิน 1,000 ปีได้แน่ ๆ " จือหยิงพูดอย่างมั่นใจ "จือหยิง, ฉิงโซว ปัญหาที่ผู้อาวุโสลมกำลังเผชิญอยู่คืออะไรกันแน่ ? " เจี้ยนเฉินจริงจังเป็นอย่างมาก "วัตถุเทพที่เขาหลอมรวมนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากระบี่ม่วงฟ้าเลย อย่างน้อย ๆ มันก็เป็นวัตถุเทพขั้นสูงสุดที่คล้ายกับกระบี่ม่วงฟ้าและหอคอยอนัตตา วัตถุเทพแบบนั้นมักถูกใช้โดย จอมปราชญ์สูงสุด แม้ว่าอาวุโสจะเป็นครึ่งก้าวจอมปราชญ์สูงสุดว แต่เขาก็ยังไม่ได้อยู่ในขอบเขตนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหลอมรวมสำเร็จ มีแต่จุดจบที่รอคอยเขาอย ยู่ สาเหตุที่เขาพยายามดิ้นรนเพื่อให้มีสติและมักจะเสียสติบ่อยครั้งรวมถึงเสียการควบคุมมันก็เพราะการสะท้อนกลับของกระบวนการพวกนี้" จือหยิงกล่าว "นับประสาอะไรกับความจริงที่เขายังไม่ได้เป็นจอมปราชญ์สูงสุดเขาจะกลายเป็นจอมปราชญ์สูงสุดจากการหลอมรวมที่ไร้สาระกับวัตถุเทพ มันมีเพียงผลลัพธ์เดียวในเส้นทางนี้ ไม่มีเส้นทางอื่ น" ฉิงโซวพูดเสริมในตอนท้าย นางยังมองโลกในแง่ร้ายเกี่ยวกับอนาคตของผู้อาวุโสลม "ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้เลยหรือ ? " เจี้ยนเฉินถามแทนที่จะยอมรับเรื่องนี้ คราวนี้จิตวิญญาณกระบี่ทั้งสองก็เงียบลงและไม่ตอบเจี้ยนเฉิน อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เจี้ยนเฉินกำลังจะยอมแพ้ก็มีน้ำเสียงที่ลังเลของฉิงโซวดังขึ้น "ถ้าเป็นคนอื่นที่แม้แต่จอมปราชญ์สูงสุดก็ไม่อาจช่วยเขาได้ แต่ถ้าเป็นนายท่านอยู่ที่นั่นมัน ก็อาจจะมีโอกาส" สายตาของเจี้ยนเฉินเบิกกว้างและถามว่า "ฉิงโซว เจ้าบอกว่ามีทางช่วยผู้อาวุโสลมงั้นหรือ ? " หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฉิงโซวก็พูดอย่างช้า ๆ ว่า "ผู้อาวุโสลมได้สำเร็จในระดับต้นของการหลอมรวมกับวัตถุเทพแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้พลังของวัตถุเทพได้ในระดับหนึ่ง นั่นคื อเหตุผลที่เรารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่คุ้นเคยจากผู้อาวุโสลม "แม้ว่าวัตถุเทพที่อาวุโสลมหลอมรวมเข้าด้วยกันนั้นจะมีเศษเสี้ยวบรรพกาลอยู่ด้วย เพราะเหตุนี้เราจึงคาดเดาได้ว่านายท่านอาจจะช่วยผู้อาวุโสลมได้นะ นายท่าน" "วิญญาณของนายท่านได้หลอมรวมเข้ากับพลังบรรพกาลที่แท้จริงแล้ว หากนายท่านไม่ได้ครอบครองพลังบรรพกาลที่แท้จริง ต่อให้นายท่านบรรลุถึงความสมบูรณ์ของร่างบรรพกาล นายท่านก็ไม่อาจ ช่วยเหลือผู้อาวุโสลมได้" เจี้ยนเฉินสูดหายใจเข้าลึก ๆ "อย่างนั้นข้าจะช่วยผู้อาวุโสลมได้อย่างไร ? " "ใช้แก่นโลหิตบรรพกาล ! " ฉิงโซวพูด "แก่นโลหิตบรรพกาล ? " เจี้ยนเฉินอึ้ง ตอนแรกเขาคิดว่าการช่วยผู้อาวุโสลมจะเป็นเรื่องง่ายมาก แต่เขาไม่คิดเลยว่าแก่นโลหิตบรรพกาลของเขาจะเพียงพอ มันง่ายเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ลง งมือเลย ผู้เชี่ยวชาญทุกคนมีแก่นโลหิตจำนวนจำกัด และเมื่อพวกมันหมด พวกเขาต้องใช้เวลามาพอสมควร แต่พวกเขาก็สามารถฟื้นตัวอย่างช้า ๆ "พลังบรรพกาลได้ผสานเข้ากับวิญญญาณของนายท่าน ไม่เพียงแต่ทำให้วิญญาณของนายท่านพัฒนาขึ้นเท่านั้น มันยังเปลี่ยนพื้นฐานของท่านโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าแก่นโลหิตบรรพกาลของนายท่านจะไ ไม่มีพลังเทียบเคียงกับพลังบรรพกาลที่แท้จริง แต่คุณภาพของมันก็ใช้ได้แล้ว ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้มันเลยมีพลังบรรพกาลระดับสูงในระดับหนึ่ง มันแบ่งปันคุณสมบัติดั้งเดิมของมันกับวั ตถุเทพที่ทรงพลังระดับสูงซึ่งผสานเข้าด้วยกัน" "มันเป็นเพราะต้นกำเนิดที่คล้ายคลึงกัน เราเดาว่านายท่านอาจจะช่วยผู้อาวุโสลมได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นท่านก็ต้องใช้แก่นโลหิตบรรพกาลจำนวนมาก สิ่งนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมาก" ฉิ งโซวพูด "ผู้อาวุโสลมมอบผลวิถีโลหิตศักดิ์สิทธิ์ให้ข้า จากนั้นเขาก็แนะนำเส้นทางการบ่มเพาะให้ข้าเป็นการส่วนตัว ข้าเป็นหนี้เขามากมายนัก ด้วยความเมตตาที่เขาแสดงออกมามันจะเทียบกับแก่ นโลหิตบรรพกาลได้อย่างไร ? " เจี้ยนเฉินพูดอย่างชอบธรรม ในช่วงเวลาต่อมา เจี้ยนเฉินก็ไม่อาจมุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะได้อีกต่อไป แต่เขาอดทนรอให้ผู้อาวุโสลมฟื้นสติในครั้งต่อไปแทน เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน ไม่มีใครรู้ว่านานแค่ไหนกว่าผู้อาวุโสลมจะปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาทั้งสามอีกครั้ง เขาเข้าใจว่าเขาคงจะมีสติได้ไม่นาน ดังนั้นเขาจึงหวงแหนทุกช่วงเวลาเป็นอ อย่างมาก ทันทีที่เขาเห็นเจี้ยนเฉิน, เฉินเจี้ยนและจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไม่พูดมากแม้แต่คำเดียว เขาเข้าไปที่เรื่องหลักทันที "ข้าจะอธิบายวิถีให้เจ้า...." "ช้าก่อน ผู้อาวุโสลม ! " ก่อนที่ผู้อาวุโสลมจะพูดจบ เจี้ยนเฉินก็พูดขึ้นขัดจังหวะเขาทันที เขาป้องมือให้กับผู้อาวุโสลมอย่างนอบน้อมและพูดว่า "ผู้อาวุโสลม ข้ามีบางอย่างที่ต้องก การพูดกับท่าน ดังนั้นข้าถามว่าเราจะเปลี่ยนที่พูดกันได้หรือไม่ ? " ผู้อาวุโสลมเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย แม้ว่าจะเป็นครึ่งก้าวจอมปราชญ์สูงสุด เป็นผู้ทรงพลังที่สุดในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ แต่เขาก็ไม่ได้มีอำนาจของผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงสุดเลยแม้แต่น้อย ใน นสายตาของเขาเป็นคนแก่ใจดีมากกว่า ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสลมไม่เพียงจะไม่ต่อว่าเจี้ยนเฉินที่ขัดจังหวะของเขา เขายังพยักหน้าอย่างเป็นมิตร "เจี้ยนเฉิน บอกข้าทีว่าเจ้าต้องการพูดอะไร พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้ยินแล้วในตอน นนี้"
- Home
- ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน
- ตอนที่ 2933: แก่นโลหิตบรรพกาล "นายท่าน ในความจริงตั้งแต่วินาทีแรกที่ท่านก้าวลงมาบนโลกใบนี้และเห็นผู้อาวุโสลม ฉิงโซวและข้าก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เหมือนใครจากเขา มันเหมือนกับว่าเขากลายเป็นส่วนห หนึ่งที่คล้ายกับจิตวิญญาณวัตถุอย่างเรามาก" "หลังจากนั้นพวกเราก็สังเกตเขาและท้ายที่สุดเราก็ยืนยันได้ว่าผู้อาวุโสลมที่ท่านพูดถึงกำลังเสนอร่างของเขาเพื่อหลอมรวมเข้ากับวัตถุเทพที่ทรงพลังอย่างยิ่ง" "เมื่อเขาหลอมรวมกับวัตถุเทพสำเร็จ เขาจะละทิ้งร่างกายของเขาและเป็นอิสระจากเผ่าของเขา เมื่อรวมเข้ากับวัตถุเทพที่ทรงพลังและไปถึงตอนนั้นจริง ๆ เขาจะกลายเป็นวัตถุเทพและวัตถุ เทพก็จะเป็นเขา" จิตวิญญาณกระบี่อธิบายกับเจี้ยนเฉิน น้ำเสียงของเขาก็ผสมไปด้วยอารมณ์เช่นกัน "ตอนนั้นเขาจะกลายเป็นจิตวิญญาณวัตถุ ? อย่าบอกนะว่าผู้สาวุโสลมกำลังพยายามที่จะกลายเป็นจิตวิญญาณวัตถุเทพขั้นสูงสุด ? " เจี้ยนเฉินรู้สึกประหลาดใจและเต็มไปด้วยความไม่เชื่อในเวลาเด ดียวกัน การบ่มเพาะของผู้อาวุโสลมได้เข้ามาใกล้จุดสูงสุด และเขามั่นใจมากว่านอกจากจอมปราชญสูงสุด ? และราชาสัตว์เทพจากโลกอมตะแล้วก็ไม่มีใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับเขาได้ในโลกท ทั้งหมด จริง ๆ แล้วเขาพยายามทำลายอนาคตตัวเองด้วยการละทิ้งร่างกายและสายเลือดของเขาให้กลายเป็นจิตวิญญาณวัตถุ นี่ทำให้เจี้ยนเฉินสับสนอย่างมาก ถ้านี่ไม่ใช่ความจริงที่ว่าเขาไว้ใจจิตวิญญาณกระบี่มาก เขาคงไม่เชื่อเรื่องนี้อย่างแน่นอน "ไม่ ท่านไม่อาจพูดได้ว่าเป็นจิตวิญญาณวัตถุ ถ้าเขาทำสำเร็จ เขาจะกลายเป็นวัตถุเทพที่ไม่จำเป็นต้องมีเจ้านาย และเขาก็เป็นนายของตัวเองจนกลายเป็นการดำรงอยู่ที่พิเศษที่สามารถใช้พ พลังของวัตถุเทพได้อย่างสมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้คือความแตกต่างระหว่างเขากับจิตวิญญาณวัตถุ" "อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่เขาใช้นั้นมีแต่ในตำนาน อย่างน้อย ๆ ข้อมูลที่ฉิงโซวและข้ามีเราก็ยังไม่ได้ยินว่ามีใครทำสำเร็จ ปัญหานี้ไม่มีใครทำได้อย่างแน่นอน เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม ม่อาจอยู่รอดเกิน 1,000 ปีได้แน่ ๆ " จือหยิงพูดอย่างมั่นใจ "จือหยิง, ฉิงโซว ปัญหาที่ผู้อาวุโสลมกำลังเผชิญอยู่คืออะไรกันแน่ ? " เจี้ยนเฉินจริงจังเป็นอย่างมาก "วัตถุเทพที่เขาหลอมรวมนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากระบี่ม่วงฟ้าเลย อย่างน้อย ๆ มันก็เป็นวัตถุเทพขั้นสูงสุดที่คล้ายกับกระบี่ม่วงฟ้าและหอคอยอนัตตา วัตถุเทพแบบนั้นมักถูกใช้โดย จอมปราชญ์สูงสุด แม้ว่าอาวุโสจะเป็นครึ่งก้าวจอมปราชญ์สูงสุดว แต่เขาก็ยังไม่ได้อยู่ในขอบเขตนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหลอมรวมสำเร็จ มีแต่จุดจบที่รอคอยเขาอย ยู่ สาเหตุที่เขาพยายามดิ้นรนเพื่อให้มีสติและมักจะเสียสติบ่อยครั้งรวมถึงเสียการควบคุมมันก็เพราะการสะท้อนกลับของกระบวนการพวกนี้" จือหยิงกล่าว "นับประสาอะไรกับความจริงที่เขายังไม่ได้เป็นจอมปราชญ์สูงสุดเขาจะกลายเป็นจอมปราชญ์สูงสุดจากการหลอมรวมที่ไร้สาระกับวัตถุเทพ มันมีเพียงผลลัพธ์เดียวในเส้นทางนี้ ไม่มีเส้นทางอื่ น" ฉิงโซวพูดเสริมในตอนท้าย นางยังมองโลกในแง่ร้ายเกี่ยวกับอนาคตของผู้อาวุโสลม "ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้เลยหรือ ? " เจี้ยนเฉินถามแทนที่จะยอมรับเรื่องนี้ คราวนี้จิตวิญญาณกระบี่ทั้งสองก็เงียบลงและไม่ตอบเจี้ยนเฉิน อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เจี้ยนเฉินกำลังจะยอมแพ้ก็มีน้ำเสียงที่ลังเลของฉิงโซวดังขึ้น "ถ้าเป็นคนอื่นที่แม้แต่จอมปราชญ์สูงสุดก็ไม่อาจช่วยเขาได้ แต่ถ้าเป็นนายท่านอยู่ที่นั่นมัน ก็อาจจะมีโอกาส" สายตาของเจี้ยนเฉินเบิกกว้างและถามว่า "ฉิงโซว เจ้าบอกว่ามีทางช่วยผู้อาวุโสลมงั้นหรือ ? " หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ฉิงโซวก็พูดอย่างช้า ๆ ว่า "ผู้อาวุโสลมได้สำเร็จในระดับต้นของการหลอมรวมกับวัตถุเทพแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้พลังของวัตถุเทพได้ในระดับหนึ่ง นั่นคื อเหตุผลที่เรารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่คุ้นเคยจากผู้อาวุโสลม "แม้ว่าวัตถุเทพที่อาวุโสลมหลอมรวมเข้าด้วยกันนั้นจะมีเศษเสี้ยวบรรพกาลอยู่ด้วย เพราะเหตุนี้เราจึงคาดเดาได้ว่านายท่านอาจจะช่วยผู้อาวุโสลมได้นะ นายท่าน" "วิญญาณของนายท่านได้หลอมรวมเข้ากับพลังบรรพกาลที่แท้จริงแล้ว หากนายท่านไม่ได้ครอบครองพลังบรรพกาลที่แท้จริง ต่อให้นายท่านบรรลุถึงความสมบูรณ์ของร่างบรรพกาล นายท่านก็ไม่อาจ ช่วยเหลือผู้อาวุโสลมได้" เจี้ยนเฉินสูดหายใจเข้าลึก ๆ "อย่างนั้นข้าจะช่วยผู้อาวุโสลมได้อย่างไร ? " "ใช้แก่นโลหิตบรรพกาล ! " ฉิงโซวพูด "แก่นโลหิตบรรพกาล ? " เจี้ยนเฉินอึ้ง ตอนแรกเขาคิดว่าการช่วยผู้อาวุโสลมจะเป็นเรื่องง่ายมาก แต่เขาไม่คิดเลยว่าแก่นโลหิตบรรพกาลของเขาจะเพียงพอ มันง่ายเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ลง งมือเลย ผู้เชี่ยวชาญทุกคนมีแก่นโลหิตจำนวนจำกัด และเมื่อพวกมันหมด พวกเขาต้องใช้เวลามาพอสมควร แต่พวกเขาก็สามารถฟื้นตัวอย่างช้า ๆ "พลังบรรพกาลได้ผสานเข้ากับวิญญญาณของนายท่าน ไม่เพียงแต่ทำให้วิญญาณของนายท่านพัฒนาขึ้นเท่านั้น มันยังเปลี่ยนพื้นฐานของท่านโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าแก่นโลหิตบรรพกาลของนายท่านจะไ ไม่มีพลังเทียบเคียงกับพลังบรรพกาลที่แท้จริง แต่คุณภาพของมันก็ใช้ได้แล้ว ด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้มันเลยมีพลังบรรพกาลระดับสูงในระดับหนึ่ง มันแบ่งปันคุณสมบัติดั้งเดิมของมันกับวั ตถุเทพที่ทรงพลังระดับสูงซึ่งผสานเข้าด้วยกัน" "มันเป็นเพราะต้นกำเนิดที่คล้ายคลึงกัน เราเดาว่านายท่านอาจจะช่วยผู้อาวุโสลมได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นท่านก็ต้องใช้แก่นโลหิตบรรพกาลจำนวนมาก สิ่งนี้จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมาก" ฉิ งโซวพูด "ผู้อาวุโสลมมอบผลวิถีโลหิตศักดิ์สิทธิ์ให้ข้า จากนั้นเขาก็แนะนำเส้นทางการบ่มเพาะให้ข้าเป็นการส่วนตัว ข้าเป็นหนี้เขามากมายนัก ด้วยความเมตตาที่เขาแสดงออกมามันจะเทียบกับแก่ นโลหิตบรรพกาลได้อย่างไร ? " เจี้ยนเฉินพูดอย่างชอบธรรม ในช่วงเวลาต่อมา เจี้ยนเฉินก็ไม่อาจมุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะได้อีกต่อไป แต่เขาอดทนรอให้ผู้อาวุโสลมฟื้นสติในครั้งต่อไปแทน เวลาผ่านไปอย่างเงียบงัน ไม่มีใครรู้ว่านานแค่ไหนกว่าผู้อาวุโสลมจะปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาทั้งสามอีกครั้ง เขาเข้าใจว่าเขาคงจะมีสติได้ไม่นาน ดังนั้นเขาจึงหวงแหนทุกช่วงเวลาเป็นอ อย่างมาก ทันทีที่เขาเห็นเจี้ยนเฉิน, เฉินเจี้ยนและจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไม่พูดมากแม้แต่คำเดียว เขาเข้าไปที่เรื่องหลักทันที "ข้าจะอธิบายวิถีให้เจ้า...." "ช้าก่อน ผู้อาวุโสลม ! " ก่อนที่ผู้อาวุโสลมจะพูดจบ เจี้ยนเฉินก็พูดขึ้นขัดจังหวะเขาทันที เขาป้องมือให้กับผู้อาวุโสลมอย่างนอบน้อมและพูดว่า "ผู้อาวุโสลม ข้ามีบางอย่างที่ต้องก การพูดกับท่าน ดังนั้นข้าถามว่าเราจะเปลี่ยนที่พูดกันได้หรือไม่ ? " ผู้อาวุโสลมเป็นมิตรและเข้าถึงง่าย แม้ว่าจะเป็นครึ่งก้าวจอมปราชญ์สูงสุด เป็นผู้ทรงพลังที่สุดในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ แต่เขาก็ไม่ได้มีอำนาจของผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงสุดเลยแม้แต่น้อย ใน นสายตาของเขาเป็นคนแก่ใจดีมากกว่า ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสลมไม่เพียงจะไม่ต่อว่าเจี้ยนเฉินที่ขัดจังหวะของเขา เขายังพยักหน้าอย่างเป็นมิตร "เจี้ยนเฉิน บอกข้าทีว่าเจ้าต้องการพูดอะไร พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้ยินแล้วในตอน นนี้"
ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน นิยาย บท 5774
หลังจากที่อู๋เฟยเยี่ยนไม่ได้สังเกตอะไรผิดปกติก็จากไป ในที่สุดเย่เฉินและหลินหว่านเอ๋อร์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ทุกคนที่อดหลับอดนอนทั้งคืน เวลานี้ก็เหนื่อย ง่วงจนลืมตาไม่ขึ้น
หลายคนรีบกลับไปที่เต็นท์เพื่อพักผ่อน หูเล่อฉีทนไม่ไหวอีกต่อไป พูดกับเย่เฉินและหลินหว่านเอ๋อร์:“นานมากที่ไม่ได้อดหลับอดนอนมากแบบนี้ ร่างกายรับไม่ไหวจริง ๆ พวกคุณสองคนคงจะเหนื่อยเหมือนกัน กลับไปพักผ่อนที่เต็นท์ไหมล่ะ ช่วงบ่ายพวกเราจะไปเอ้อเต้าโกวที่อยู่ห่างออกไปสิบห้ากิโลเมตร พวกคุณจะไปด้วยกันไหม?”
เย่เฉินส่ายหน้า:“เราสองคนไม่ไปหรอก ตั้งใจว่าจะขับรถเที่ยวเล่น”
ซูหลานถามอย่างแปลกใจว่า:“พวกคุณสองคนจะไปไหน?”
เย่เฉินพูดว่า:“เราตั้งใจว่าจะไปเที่ยวที่ลี่เจี่ยง พักสักสองสามวัน”
ที่จริงแล้ว แผนถัดไปที่เย่เฉินและหลินหว่านเอ๋อร์วางไว้ คือชายแดนทางตะวันตกเฉียงใต้เตียนหนาน ที่เย่เฉินต้องบอกว่าลี่เจี่ยง ก็เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
หูเล่อฉีพยักหน้า แล้วยิ้ม:“ลี่เจี่ยงพวกเราไปมาแล้ว มันดีมาก พวกคุณไปเที่ยวให้สนุกล่ะ”
พูดไป หูเล่อฉีก็คิดอะไรได้ รีบถามว่า:“พวกคุณสองคนคงไม่ไปตอนนี้หรอกนะ?”
เย่เฉินพูดว่า:“ใช่แล้ว เราจะไปตอนนี้”
“เอ่อ……”หูเล่อฉีรีบพูดว่า:“ไม่ได้นอนทั้งคืน ขับรถไปแบบนี้จะไม่ปลอดภัย พวกคุณควรพักผ่อนก่อน พักเต็มที่แล้วก็ไม่สายเกินไปที่จะออกเดินทาง”
“ไม่ล่ะ”เย่เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม:“ตารางที่จะมาถึงค่อนข้างแน่น จะไม่พักที่นี่แล้ว พอถึงลี่เจี่ยงแล้วค่อยพักก็ยังไม่สายเกินไป เพราะก็อยู่ไม่ไกลจากนี่”
หูเล่อฉีพยักหน้าพูดว่า:“ก็ใช่ ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า พอถึงแล้ว เข้าพักโรงแรมดี ๆ ก็ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว”
ซูหลานเห็นว่าเย่เฉินและหลินหว่านเอ๋อร์จะไปจริง ๆ ก็พูดด้วยความเสียใจ:“เดิมทีคิดว่าจะได้อยู่รู้จักพวกคุณอีกนานหน่อย คิดไม่ถึงว่าพวกคุณจะไปเร็วขนาดนี้ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะมีโอกาสเจอกันอีกไหม”
สำหรับซูหลานแล้ว เธอไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองจะไปถึงจุดสิ้นสุดในอนาคตเมื่อไหร่ แต่เธอรู้ว่า วันนั้นคงไม่นานแน่
ดังนั้น เมื่อเจอเพื่อนใหม่ที่คุยกันได้ เธอจึงไม่อยากจากลา มักจะรู้สึกว่าชีวิตนั้นสั้น กลัวว่าการจากลานี้จะดำรงอยู่ตลอดไป
หูเล่อฉีรู้สิ่งที่เธอคิด โอบเอวเธอเบา ๆ ปลอบเธอด้วยรอยยิ้ม:“อย่าคิดอะไรเพ้อเจ้อ พระเจ้าคุ้มครองพวกเราแน่”
หลินหว่านเอ๋อร์หันไปมองที่เย่เฉิน เธอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แค่มองเย่เฉินไม่ได้พูดอะไร
แม้ว่าหลินหว่านเอ๋อร์จะไม่พูด แต่เย่เฉินก็รู้เจตนาที่ตอนนี้เธอมองไปที่ตัวเอง
เมื่อเห็นว่าคนอื่นยังไม่กลับไปพักที่เต็นท์ เย่เฉินจึงพูดว่า:“เหล่าหู งั้นก็ขอบคุณคุณกับซูหลานที่มาส่งพวกเราด้วย?”
หูเล่อฉีตกใจเล็กน้อย จากนั้นตอบตกลงอย่างไวว่า:“ได้ งั้นพวกเราไปส่งคุณ”
พูดไป หูเล่อฉีก็พูดอีกว่า:“ใช่สิ จะให้ช่วยเก็บเต็นท์ให้คุณไหม?”
“ไม่ต้อง”เย่เฉินโบกมือ:“พวกเราไม่เอาเต็นท์ไปแล้ว ทิ้งไว้ให้คนที่ต้องการเถอะ”
หลินหว่านเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงถามเย่เฉินอย่างกล้าหาญว่า:“ที่รัก พกเต็นท์ไปด้วยไหม?ฉันกลัวว่าจำเป็นต้องใช้ในวันข้างหน้า”
เย่เฉินได้ยินเธอพูดแบบนี้ จึงพูดทันทีว่า:“ได้ งั้นผมจะไปเก็บแล้วพกไปด้วย”
หูเล่อฉีก็รีบพูดว่า:“ผมไปช่วยคุณเอง”
ทั้งสองเก็บเต็นท์ด้วยกันเสร็จ หูเล่อฉีหยอกล้อเย่เฉินว่า:“เมื่อวานเต็นท์นี้ตั้งกางไว้เปล่า ๆ ไม่ได้ใช้นอนเลย”
“ใช่”เย่เฉินยิ้ม:“คิดไม่ถึงว่าทุกคนจะเล่นสนุกขนาดนี้ ไม่ได้นอนทั้งคืน”
หูเล่อฉีช่วยเย่เฉินถือที่ปูพื้นและถุงนอน พูดว่า:“ผมช่วยคุณถือพวกนี้เอง”
เย่เฉินก็ไม่เกรงใจเขาอีกต่อไป ทั้งสี่เดินไปทางออกจากเขา
เมื่อเดินลงภูเขาหลังเต่า ถนนสายสั้นบนภูเขานี้ไม่มีใครอยู่นอกจากทั้งสี่คน ดังนั้นเย่เฉินจึงพูดกับหูเล่อฉีและซูหลาน:“ใช่สิ เหล่าหู ซูหลาน เมื่อวานพวกคุณพูดถึงบริษัทผลิตยาเก้าเสวียน มีบางเรื่องละเอียดอ่อน ผมจึงพูดต่อหน้าทุกคนไม่ได้”