พลิกชะตา หมอเทวดาอันดับหนึ่ง - บทที่ 588 เงียบงัน
ยามบ่ายในคิมหันตฤดูลมร้อนพัดโชยมา กระดิ่งลมบนระเบียง
ส่งเสียงกระทบดังขึ้น
“อันที่จริง เสียมือข้างหนึ่งไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” เฉิงเจียว
เหนียงโพล่งขึ้น
ไม่ได้ตอบคำถามของโจวฝู แต่จู่ๆ ก็โพล่งประโยคที่ไม่มีที่มาที่
ไปขึ้นมา
โจวฝูนิ่งอึ้ง ขมวดคิ้วทันที
ตอนที่นายใหญ่เฉิงจากไป เพื่อให้ท่านชายเฉิงสี่ได้รักษาแผลที่
มือให้หายจึงได้ออกเดินทางไปด้วยกันกับเขา
ความหมายนี้ของนางคือเสียใจที่ตอนนั้นไม่น่าทิ้งท่านชายเฉิง
สี่เอาไว้เลยอย่างนั้นหรือ
โจวฝูลุกขึ้นพรวด
“จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร” เขาเลิกคิ้วตวาด “อยู่ดีไม่ว่าดี
เหตุใดต้องเสียมือไปข้างหนึ่งด้วยเล่า เพราะวันพรุ่งนี้จะไม่เหมือนเดิม วันนี้จึงไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้ม ไม่ได้เอ่ยคำใด
โจวฝูลุกขึ้นยืน
ถ้าหากว่าอย่างนั้นหรือ! นางกำลังเปรียบเปรยว่าหากเป็น
เช่นนั้นจริงอย่างนั้นหรือ!
บนโลกนี้ไม่มีถ้าหาก! นี่ต่างหากถึงเป็นคำที่นางควรจะพูด!
หากเป็นแต่ก่อนนางจะไม่พูดคำพูดเช่นนี้ นางทำเป็นแต่บอ
กว่านี่แค่เรื่องเล็กด้วยสีหน้าแข็งทื่อแล้วให้ขนมพวกเขากินกระมัง
การกระทำที่ทำให้คนไม่ชอบ คำพูดที่ทำให้เดือดดาล นึกไม่ถึง
เลยว่ายามนี้จะน่าคิดถึงอย่างหาใดเปรียบได้
เขายอมให้นางเอ่ยคำพูดพวกนี้ต่อไป ทำเช่นนั้นต่อไป ดีกว่า
มองนางพูดคำว่าถ้าหาก เห็นนางเสียใจ เห็นนางโทษตัวเอง
“เฉิงเจียวเหนียง” เขาหยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง กึ่งคุกเข่าลงกับพื้น
มองเฉิงเจียวเหนียงพลางกัดฟันเอ่ย “การตายของท่านชายสี่ไม่
เกี่ยวกับเจ้า!”
“ไม่เกี่ยวหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยโจวฝูถลึงตาใส่นาง
“ใช่ เพราะเจ้าเป็นน้องสาวเขา เพราะเจ้าสามารถฟื้นคืนชีพ
คนตายได้ เพราะพวกเขาไม่ให้เจ้าไปช่วยชีวิตไอ้สารเลวนั่น นี่ล้วน
เป็นเพราะเจ้า แต่ว่า นี่เป็นเรื่องที่เลือกได้หรือ เจ้าเป็นน้องสาวเขา
เรื่องนี้เจ้าเป็นคนตัดสินใจเองได้หรือ เจ้าสามารถเลือกในสิ่งที่
ไม่ใช่ตัวเจ้าได้หรือ”
เขาโมโหตวาดออกมา แล้วลุกขึ้นอีกครั้ง เดินวนไปมา
“เจ้าเป็นผู้ถูกกระทำ พวกเราล้วนเป็นผู้ถูกกระทำ มีสิทธิอะไร
มาตำหนิโทษ!”
“เจ้าไม่ได้ครุ่นคิดให้รอบคอบ ท่านชายเฉิงสี่มองคนไม่ขาด ก็
กลายเป็นโทษของพวกเจ้าแล้วหรือ นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าสมควรตาย
สมควรถูกคิดบัญชีหรือ”
“เหตุผลอะไรกัน! คนที่ฆ่าคน คนที่วางกับดักล้วนเป็นพวกเขา!
เป็นฉินหู เป็นตระกูลฉิน และเป็นพวกที่ต้องการขัดขวางการแต่งตั้ง
โอรสบุญธรรมของราชวงศ์ที่พวกเรายังไม่รู้อีก!”“เจ้ากลับทำตรงกันข้าม กลับตำหนิโทษโกรธแค้นตัวเอง แต่
นั่นเป็นเราเจ็บปวด เป็นศัตรูเบิกบาน”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขา
โจวฝูมองหน้าด้วยสีหน้าตึงเครียด
“แต่ก่อนข้า…” เขาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เพราะเจ้าสติไม่
สมประกอบ จึงรังแกเจ้า คนที่เจ้าควรโกรธแค้นก็คือข้า ไม่ใช่ไป
โกรธแค้นตัวเองที่เป็นคนสติไม่สมประกอบ คนที่ควรโกรธแค้นคือ
คนที่ทำเลว พวกเขาไม่ควรโชคร้าย ไม่ควรโดนรังแกเพียงเพราะ
พวกเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เลย”
เฉิงเจียวเหนียงแย้มยิ้ม ก้มหน้าลง แล้วเงยหน้าขึ้นใหม่ นาง
ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อเขา
“นั่ง” นางเอ่ย
โจวฝูขาอ่อนนั่งลงทันใด
“ข้าไม่เป็นไร ข้าแค่คิดว่าประโยคนั้นถูกต้องจริงๆ ด้วย” เฉิง
เจียวเหนียงเอ่ย
“ประโยคไหนรึ” โจวฝูถามเฉิงเจียวเหนียงมองไปในลานบ้าน
“ใครบอกกันว่าเจ้าต้องการอะไรก็จะได้สิ่งนั้นมา ใครบอก
เจ้ากันว่าพยายามบากบั่นต่อสู้แล้วก็ควรจะได้ชื่อเสียงผลงานและ
ยศถาบรรดาศักดิ์มา ใครบอกเจ้ากันว่าอยากให้มันเป็นอย่างไรแล้ว
มันจะเป็นอย่างนั้น”
“เจ้าพยายามต่อสู้แล้วหรือ แล้วคนอื่นเล่า คนเขาไม่ได้
พยายามต่อสู้เลยหรือ เหตุใดเจ้าต้องสมประสงค์ คนอื่นควรจะ
พ่ายแพ้ เจ้าเป็นเจ้า เขาเป็นเขา มีอะไรควรไม่ควรอยู่ที่ไหน”
“ว่าอย่างไรนะ” โจวฝูขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังจะบอกว่า ที่พวกเขา
เล่นงานเจ้า ทำร้ายท่านชายเฉิงสี่นั้นมีเหตุผลอย่างนั้นรึ”
“จากมุมมองของพวกเขา ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว” เฉิงเจียว
เหนียงเอ่ย “ครานี้เห็นได้ชัดว่าต้องการจัดการจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
ต้องการฆ่าเขา ต้องการประสบความสำ เร็จ ก็ต้องกำจัดคนขัดขวาง
คนอื่นๆ ข้าเป็นขวากหนามที่ใหญ่ที่สุด หากต้องการกำจัดข้า ก็ต้อง
ควบคุมข้า หากต้องการควบคุมข้าก็ต้องข่มขู่ท่านพี่สี่ เรื่องนี้ทำได้
รอบคอบและราบรื่นจริงๆ…”บ้าไปแล้ว!
โจวฝูลุกขึ้นด้วยความโมโหอีกครั้ง
“เอาสิ เช่นนั้นตอนนี้ข้าจะไปตระกูลฉิน โขกหัวแสดง
ความนับถือให้ฉินหู นับถือหมากที่ดีของเขาในตานี้!” เขาเอ่ย “นับถือ
ที่เขาฆ่าท่านชายเฉิงสี่”
ประโยคสุดท้ายเอ่ยรอดไรฟันออกมา
ภายในห้องเงียบงันลงครู่หนึ่ง
“เขาไม่ได้เป็นคนฆ่า” เฉิงเจียวเหนียงบอก
โจวฝูตะลึง
‘ข้าไม่รู้! ข้าบอกว่าข้าไม่รู้ พวกเจ้าเชื่อหรือไม่!’
‘หากข้ารู้ ยังจะข่มขู่ท่านชายเฉิงสี่หรือ ข้าไม่มีทาง…โจวหก
เจ้าก็รู้ หากเป็นแบบนั้น ข้าคงไม่…’
เสียงฉินหูดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง
“เจ้าเชื่อหรือไม่” โจวฝูกัดฟันเอ่ยขึ้น
“เชื่อ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
โจวฝูเท้าเอวสองข้าง“ใครพูดอะไรเจ้าก็เชื่อรึ” เขาเอ่ย “ข้ายังไม่รู้จักเจ้าเลย!”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วแย้มยิ้มขึ้นอีกครั้ง ไม่เอ่ยคำใด
โจวฝูถอนหายใจออกมา
“เรื่องนี้เขาต้องรู้แน่” เขาเอ่ย “ยามที่เขาชวนเจ้าออกมา ยามที่
เขาปิดบังเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนได้กำหนดไว้แล้ว”
เฉิงเจียวเหนียงไม่เอ่ยอะไร
นั่นสินะ ในตอนนั้น…
ใครจะรู้ว่าชั่วพริบตาต่อมาเป็นอะไร…
สวรรค์ช่างเอาแน่เอานอนไม่ได้เสียจริง
“เจ้าบอกมาว่าจะทำเช่นไรดีกว่า” โจวฝูเอ่ย
“ฝังศพพี่สี่ให้ไปสู่สุคติก่อนเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้า
ควรจะชดใช้ให้พ่อแม่ของเขา”
“เจ้าจะกลับเจียวโจวหรือ” โจวฝูถาม
เฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ตอบอะไร
กลับเจียงโจว…เพราะเจ้าของคดีนี้ล้วนตายไปแล้ว เงินจำ นวนมากที่เถ้าแก่หอ
เต๋อเซิ่งใช้ไป แม่นางม่อสำ นักโคมเขียวก็โดนเนรเทศไปแล้ว
นอกจากคนสองคนนี้ที่โวยวายว่าโชคร้ายโดนใส่ร้ายแล้ว คดีที่
ท่านชายเฉิงสี่โดนทำร้ายก็โดนตัดสินอย่างขอไปที ว่าเป็นเรื่อง
หึงหวงขัดแย้งกัน
“ดูสิ เรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้นลงแน่”
“ตอนแรกพี่ชายบุญธรรมตาย ไม่ให้คำอธิบายยังไม่ยอมเลย
ตอนนี้คนที่ตายไปเป็นลูกพี่ลูกน้องเจ้าเองนะ”
“เร็วเข้า ครานี้จะต้องได้ที่ดีๆ ก่อน…”
“เตรียมไหไปเพิ่มสองใบ ส่งคนไปมากหน่อย ถึงเวลานั้นก็ล้อม
บริเวณที่สุรากระเด็นเอาไว้ เก็บมาให้หมด…”
ทุกคนในเมืองหลวงต่างรอคอยเหตุการณ์ที่ครึกครื้นยิ่งใหญ่ให้
เกิดขึ้นอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มี จนกระทั่ง
มีคนพบว่าข้างๆ หลุมศพเขาเม่าหยวนซานมีป้ายหลุมศพไร้นาม
เพิ่มขึ้นมาป้ายหนึ่งอย่างเงียบงัน
นึกไม่ถึงว่าจะเอาไปฝังทั้งแบบนี้!ทุกคนในเมืองหลวงพากันผิดหวัง
“จริงๆ เลย ข้ายังกลัวว่าจะเสียที่นั่งดีๆ กระทั่งพิธีฝังผิงอ๋องยัง
ไม่ได้ไปดูเลยนะ”
“นั่นสิ รู้อย่างนี้คงไปดูผิงอ๋องแล้ว ไม่ใช่ว่าควรจะเรียกว่าไหว
ฮุ่ยอ๋องแล้วหรือ…”
“แต่ก็จริง ทำเรื่องน่าอับอายขายขี้หน้าเช่นนี้ มีอะไรให้น่าดูกัน
อายคนยังไม่พอหรือไร แค่ฝังๆ ไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“อายคนอย่างนั้นรึ ขายขี้หน้าขนานใหญ่เลยเชียวล่ะ”
เฉินเซ่ารินชาให้นายใหญ่เฉินพลางเอ่ย
“โดนคนเล่นงานโดยที่ทำอะไรไม่ได้เช่นนี้ ทั้งยังมีความทุกข์ที่
พูดไม่ออกอีก”
“แต่เรื่องนี้จะจบไปทั้งอย่างนี้หรือ” เฉินเซ่าขมวดคิ้วเอ่ย
การจัดการของสตรีนางนั้นไม่อาจคาดเดาได้ อีกทั้งนางก็
ไม่ใช่คนประเภทที่เสียเปรียบแล้วจะยอมรับด้วย
“แน่นอนว่าไม่” นายใหญ่เฉินยิ้มเอ่ย ยื่นมือไปชี้ทางด้านนอก
“ป้ายหลุมศพนั่นไม่มีตัวอักษรอีกแล้ว อีกทั้งดูเหมือนจะมีคนพังล้มเพื่อเพิ่มสีสันให้ป้ายหลุมศพด้วย”
พูดพลางหันไปมองฉากบังลมของตัวเอง
บนฉากบังลมนี้ ไม่รู้ว่าเพิ่มลวดลายใหม่มาตั้งแต่เมื่อใด
“เรื่องนี้มีแค่ตระกูลฉินที่ทำรึ” นายใหญ่เฉินถาม
เฉินเซ่าเงียบไปครู่หนึ่ง นึกไปถึงคำพูดที่ฮูหยินเฉินไปถาม
ฮูหยินฉินกลับมา ฮูหยินฉินไม่พูดอะไรสักคำ บอกแค่ว่าผู้บริสุทธิ์
ย่อมบริสุทธิ์
“ตระกูลฉินไม่ใช่พวกประเภทลืมบุญคุณคนสนองคืนด้วย
ความแค้นเช่นนั้น” เขาเอ่ย
นายใหญ่เฉินถอนหายใจ
“ไม่เรียกว่าสนองคุณด้วยความแค้น” เขาเอ่ย “ก็แค่บางครั้ง
ความจำ ใจที่ทำอะไรไม่ได้เพราะความคิด อุดมการณ์ไปคนละทาง
แค่นั้นเอง”
ตระกูลฉินยืนกรานคัดค้านโอรสบุญธรรมในราชวงศ์ ร่วมมือ
กันในซื่อหลินส่วนหนึ่ง รวมถึงสาส์นกราบทูลยื่นมติไม่ไว้วางใจ
กลายเป็นปฏิปักษ์กับพวกจางเจียงโจวที่สนับสนุนโอรสบุญธรรมเฉินเซ่าเงียบงันไม่พูดจา
“เจ้าตัดสินใจได้หรือยังว่าจะทำเช่นไร” นายใหญ่เฉินถาม
เฉินเซ่าเงยหน้ามองบิดา แล้วพยักหน้าให้
…
“ฮองเฮาเพคะ ฮองเฮา”
เสียงของพระสนมอันดังขึ้นภายในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้
อีกครั้ง
“ท่านรู้หรือยังเพคะ ท่านได้ข่าวหรือยัง แย่แล้วเพคะ แย่แล้ว”
ฮองเฮามองนางแวบหนึ่ง
“หากไม่ว่าเรื่องใดข้าต้องรอให้เจ้ามาบอกจึงได้รู้ละก็ นั่น
ต่างหากถึงจะเรียกว่าแย่แล้ว” นางเอ่ย
พระสนมอันคลานไปหา
“ฮองเฮา จะทำอย่างไรดีเพคะ” นางเอ่ย “หรือว่าชิ่งอ๋องจะขึ้น
เป็นรัชทายาทแล้ว”
ฮองเฮาหัวเราะ“ทำอย่างไรดีน่ะรึ ทนเอาก็แล้วกัน” นางเอ่ย “พวกเขามีเฝ้ารอ
ชิ่งอ๋องให้มีทายาท พวกเขาทนได้ ข้าก็ทนได้เหมือนกัน”
ในราชสำ นักยามนี้ เป็นครั้งแรกที่ชิ่งอ๋องปรากฏตัวใน
ราชสำ นัก ขันทีส่งเสียงประกาศเสียงดังอ่านพระราชโองการแต่งตั้ง
ชิ่งอ๋องให้เป็นรัชทายาท
“ดังนั้นก็ไม่ใช่การสืบทอดบัลลังก์ให้แก่รัชทายาทที่กำหนด
เป็นการภายในชั่วคราว ชิ่งอ๋องเป็นรัชทายาท รอองค์ชายในอนาคต
ที่จะคลอดออกมาขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้”
เกาหลิงปอลุกขึ้น ค้อมกายคำนับให้เฉินเซ่า
“ถ้าอย่างนั้นสิบกว่าปีต่อมาก็ต้องลำบากใต้เท้าเฉินแล้ว”
เฉินเซ่าหัวเราะหยันแล้วคำนับคืน
“ไม่นับว่าควรขอบคุณหรอกใต้เท้าเกา ข้าลำบากก็ไม่ได้ทำ
เพื่อใต้เท้าเกา” เขาเอ่ย
เกาหลิงปอหัวเราะอย่างไม่ถือสา
“เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์จางเจียงโจวจะหน้าหนา
ถึงเพียงนี้ ยังกล้าอยู่ในราชสำ นักต่อ ไม่ได้ยื่นจดหมายลาออกด้วยความขุ่นเคือง” เขาเอ่ยขึ้นคล้ายตั้งใจและคล้ายไม่ตั้งใจ
“จุดนี้ ใต้เท้าเกาคงจะซาบซึ้งใจกว่ากระมัง” เฉินเซ่าเอ่ยด้วย
สีหน้าเคร่งขรึม “ใต้เท้าเกา เรื่องราวจบสิ้นลงแล้ว แล้วท่านจะไป
เมื่อใดเล่า”
เกาหลิงปอหัวเราะ
“ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องรอให้รัชทายาทเลือกชายามาแต่งก่อน
กระมัง” เขาเอ่ยแล้วทอดถอนใจออกมา “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นี่ก็
เป็นการแต่งงานของหลานคนแรกของไทเฮา หากฝ่าบาทสามารถ
ฟื้นขึ้นมาได้ก็คงจะดีใจเป็นอย่างมาก”
ดีใจอย่างนั้นรึ ดีใจสิแปลก ราชสำ นักอยู่ดีไม่ว่าดี สุดท้าย
วุ่นวายจนมีสภาพเช่นนี้ วันหน้าจะต้องกลายเป็นเรื่องน่าขันใน
พงศาวดารแน่
ทว่าแล้วจะทำอย่างไรได้เล่า ให้โอรสบุญธรรมรับตำแหน่ง ก็
ยังไม่แน่ว่าจะยิ่งวุ่นวายโกลาหลไปถึงเพียงไหน
ยามนี้สิ่งเดียวที่สามารถปลอบประโลมได้ก็คือรัชทายาท
สามารถมีทายาทได้ รีบแต่งงาน ภายภาคหน้าได้โอรสมา มีองค์ชายที่ปกติและฉลาดเฉลียวสักพระองค์ ชิ่งอ๋องที่เป็นรัชทายาทก็เสร็จสิ้น
หน้าที่อันหนักอึ้งนี้แล้ว
เฉินเซ่ากลับมาถึงบ้านก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจากไปพอดี
เขาหยุดฝีเท้าลงอย่างอดไม่ได้ มองรถม้าเคลื่อนตัวห่างออกไป
“นายท่าน” เสียงยามเฝ้าประตูเอ่ยเตือน
เฉินเซ่าจึงได้ดึงสายตากลับมาแล้วก้าวเข้าประตูไป
“แม่นางสิบแปดมาหรือ” เขาถาม
ฮูหยินเฉินพยักหน้า
“ได้บอกหรือไม่ว่าจะไปเมื่อใด” เฉินเซ่าถาม
ตั้ง
แต่การขัดแย้งกันคราก่อน แม่นางเฉินสิบแปดก็ไม่มาหาอีก
เลย
“อีกสองวันนี้แล้ว” ฮูหยินเฉินถอนหายใจ มองเฉินเซ่า
“อย่างไรเสียนางก็ยังเป็นเด็ก ท่านที่เป็นพ่อก็อย่าได้ถือสาหาความ
นางเลย”
“ข้าไหนเลยจะไปถือสา นางเป็นคนไม่ปล่อยวางเอง” เฉินเซ่า
เอ่ยฮูหยินเฉินจึงยิ้ม เลื่อนอาภรณ์ชุดหนึ่งไปให้
“พวกท่านสองพ่อลูกหัวแข็งพอกัน แต่ใจกลับอ่อนยอมแพ้ไป
แล้ว ไม่มีใครยอมพูดขึ้นก่อน” นางยิ้มเอ่ย “ดูสิเจ้าคะ นี่เป็นชุดที่นาง
ทำให้ท่าน”
เฉินเซ่ามองอาภรณ์ที่เลื่อนมา สีหน้าปรากฏเป็นรอยยิ้ม แต่
ทันใดนั้นก็หุบลง
“ข้าไม่ได้ขาดเสื้อผ้าอาภรณ์เสียหน่อย” เขาเอ่ย
ฮูหยินเฉินค้อนใส่เขา ดันอาภรณ์ไปให้เขา
“ไปลองดูสิ” นางบอก
ในขณะเดียวกันนั้นเองแม่นางเฉินสิบแปดก็ปล่อยม่านรถลง
แล้วดึงสายตากลับมา
“แม่นาง กลับไปอีกครั้งดีหรือไม่เจ้าคะ” แม่นมถามขึ้นเสียง
เบา “บอกไปว่าลืมของก็ได้”
จะได้พบเฉินเซ่าสักครั้งพอดี
แม่นางฉินสิบแปดส่ายหน้า“วันเดินทางก็ต้องเจออยู่ดี” นางบอก “ระยะนี้ในราชสำ นัก
มีคนใหม่มาแทนเก่า สมาชิกโยกย้าย งานในราชสำ นักมากมาย ท่าน
พ่อลำบากไม่น้อย ให้เขาได้พักผ่อนเถิด”
แม่นมขานรับ ไม่กล้าพูดมากความอีก
แม่นางเฉินสิบแปดนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เลิกม่านขึ้น
“ไปตำหรักผิงอ๋อง” นางเอ่ย
คนขับขานรับ เร่งม้าเคลื่อนไป
ไหวฮุ่ยอ๋องถูกฝังแล้ว แผ่นป้ายจวนผิงอ๋องปลดลง ยามนี้
มีบ่าวในตำหนักกำลังจัดการปิดและเก็บรักษาไว้
“จะลงรถหรือไม่เจ้าคะ” แม่นมถาม
แม่นางเฉินสิบแปดเลิกม่านรถขึ้นมองจวนแห่งนี้พลางส่ายหน้า
“ไปเถิด” นางเอ่ย
เพิ่งจะปล่อยม่านลงก็เห็นคนวิ่งมาจากหน้าประตูจวน
“แม่นางเฉินใช่หรือไม่” เขาคำนับพลางถาม
แม่นมขานรับ“ใต้เท้าข้ามีเรื่องอยากจะไหว้วานแม่นาง” คนผู้นั้นเอ่ยพลาง
ค้อมกายส่งเทียบให้
ใต้เท้าอย่างนั้นรึ จะไหว้วานนางรึ
แม่นางเฉินสิบแปดขมวดคิ้ว ยื่นมือไปรับสาส์นเทียบเชิญมา
เกาหลิงปอ
เกาหลิงปออยากจะพบข้ารึ
แม่นางเฉินสิบแปดมองสาส์นเทียบเชิญในมือด้วยสีหน้าฉงน
เบื้องหน้าปรากฏเป็นภาพผู้เฒ่าผมเคราหงอกขาวร้องห่มร้องไห้
เหมือนเด็กอยู่ในห้องหนังสือของผิงอ๋อง
เดิมทีเกาหลิงปอไม่ได้แก่เพียงนั้น ราวกับว่าตั้งแต่ผิงอ๋องสิ้น
ไป ก็ผมหงอกขาวชั่วข้ามคืน
ไหว้วานข้า…เรื่องอะไรกัน
แม่นางเฉินสีหน้าสับสน เก็บสาส์นเทียบเชิญนั้นไปแล้วปล่อย
ม่านรถลง
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ