พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่ 102 บีบเจ้าของอี้ฉีให้ออกมา
“คุณลู่ครับ ผมต้องขออภัยด้วยก่อนหน้านี้ผมมีท่าทีที่ก้าวร้าวต่อคุณ ขอโปรดคุณให้อภัยผม”
ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของผู้คนทั้งหลาย เฉินจื่อหลงเดินมาหยุดอยู่ต่อหน้าลู่เฉินและเอยขอโทษจากใจจริง
เฉินจื่อหลงยอมก้มหัวขอโทษอย่างนั้นหรือ???
จั่วชิงเฉิงและวังซิงเองก็ตกใจมาก พวกเขาไม่คิดว่าเฉินจื่อหลงจะยอมก้มหัวขอโทษลู่เฉินต่อหน้าสาธารณชนได้
เขาเป็นถึงคุณชายอันดับ 1 ของเมืองอยู่โจเชียว!
เขาจะก้มหัวขอโทษเจ้านี่ได้อย่างไร!!!
ณ นาทีนี้ ทุกคนล้วนเข้าใจแล้วว่าตัวตนของลู่เฉินไม่ธรรมดา
เพียงแต่เขาเป็นใครกัน?
ทุกคนเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมา
เมื่อเห็นลูกชายยอมขอโทษลู่เฉินด้วยตนเอง เฉินกวงซิงก็รู้สึกภูมิใจยิ่งนัก
ในสายตาคนอื่นแล้วการที่ลูกชายของเขาก้มหัวขอโทษลู่เฉินอาจจะเป็นการขายหน้า แต่สำหรับสายตาเขานั้นเขารู้สึกว่าลูกชายของตนโตขึ้นอีกขั้นหนึ่ง
เขารู้จักการขอโทษรู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย
นี่จึงเป็นคุณสมบัติที่ผู้สืบทอดตระกูลเฉินควรจะมี
ลู่เฉินเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน เพราะรู้ดีว่าเฉินจื่อหลงนั้นหยิ่งยโสเพียงใด การที่จะให้เขามาก้มหัวขอโทษเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่คาดไม่ถึงว่าเฉินจื่อหลงจะเด็ดขาดและทำตามคำสั่งเช่นนี้
“ในเมื่อคุณกล้าที่จะขอโทษผมต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ ผมก็ไม่คิดติดใจอะไรอีก” ลู่เฉินพูดออกมา ในใจเขานั้นนับถือเฉินจื่อหลงจากใจจริง
“ขอขอบพระคุณคุณลู่ที่ไม่ติดใจเอาความ” เฉินจื่อหลงถอนหายใจออกมา
การที่เขายอมออกมาขอโทษลู่เฉินนั้น เพราะฟังคำพูดของคุณปู่จากนั้นเขาจึงคิดได้
“จื่อหลง ไปต้อนรับแขกก่อนนะ” เฉินกวงซิงงพูดแล้วเดินพาลู่เฉินเดินเข้าไปข้างใน
พ่อของเขาชื่นชมลู่เฉินเสมอมา เขาจึงตั้งใจจะพาลู่เฉินไปพูดคุยกับคุณพ่อ
“คุณเฉิน เพื่อนเก่ามาหา ไม่คิดจะออกมาทักทายหน่อยเหรอ?”
เสียงของชายชราเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทุกคนหันกลับไปมองที่ต้นเสียง พบว่ามีชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามากับชายหนุ่มสองคน
ชายหนุ่มคนหนึ่งท่าทางดูดีมีสง่า ส่วนอีกคนหนึ่งสีหน้านิ่งเงียบแต่มั่นคง ทุกย่างก้าวของพวกเขาไร้เสียงแต่หนักแน่น มองดูก็รู้ว่าเป็นผู้ดี
ชายชราที่เอ่ยคำพูดมาเมื่อสักครู่ก็คือ
“นายท่านบ้านตระกูลจาง!?
“นายท่านครับ เดินทางมาอวยพรวันเกิดให้กับนายท่านเฉินเหมือนกันหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว นานท่านจางและนายท่านเฉินเคยเป็นคู่ต่อสู้กันมาก่อน แม้สองตระกูลนั้นจะมีเรื่องที่ต้องแก่งแย่งชิงดีกันมากมาย แต่หากตัดเรื่องของตระกูลทิ้งไป พวกเขาทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนสนิทกัน”
เมื่อเห็นผู้ที่มาเยือน ทุกคนก็เริ่มพูดซุบซิบขึ้นมา
เมื่อเฉินกวงซิงเห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงขอตัวออกไปต้อนรับสักครู่
“ท่านลุงครับ ท่านพ่อกำลังรออยู่ด้านใน ขอเชิญทางนี้” เฉินกวงซิงโค้งคำนับด้วยความเคารพ
“ฮ่าๆๆ ได้” นายท่านจางเอามือลูบไปที่หนวดแล้วหัวเราะ
“คุณลุง สวัสดีครับ” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังของนายท่านจางยิ้มออกมาและทักทาย
เขาชื่อว่าจางดาวเรน เป็นหลานของนายท่านจางและเป็นที่ภูมิใจของตระกูลจาง
เฉินกวงซิงพยักหน้าตอบรับและมองไปยังชายผู้นั้นอีกคนหนึ่งถามขึ้นว่า
“คุณลง ผู้นี้คือ……”
“อ๋อเขาหรือ ชื่อว่าฮันเทียน วันนี้ผมเชิญมาให้ต่อสู้กับลูกศิษย์ของหลวงพ่อคุณเสียหน่อย” นายท่านจางพูด
เฉินกวงซิงมองดูฮันเทียนแล้วรู้สึกว่า บรรดาลูกศิษย์ที่พ่อของเขาฝึกฝนมานั้นไม่ค่อยจะน่าเชื่อถือได้สักเท่าไหร่
ฮันเทียนผู้นี้ไม่เพียงแต่รูปร่างดูดี แต่ยังมีความน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก คาดว่าน่าจะจัดการกับบรรดาลูกศิษย์ของคุณพ่อได้เพียงไม่กี่วินาที
แน่นอนว่าเฉินกวงซิงเองไม่มีความรู้เรื่องของกังฟู ภายในใจของเขาเลยไม่ค่อยมั่นใจนัก
เขาเพียงรู้แต่ว่าฮันเทียนนี้มองดูแล้วน่าจะแข็งแกร่งกว่าบรรดาลูกศิษย์ของคุณพ่ออยู่มาก
“อ้าว คุณจาง รีบมาพ่ายแพ้ให้กับผมอย่างนั้นหรือ?”
ทันใดนั้นนายท่านเฉินก็เดินออกมาจากด้านใน
ด้านหลังของเขาตามมาด้วยเฉินจื่อหรานและลูกศิษย์อีกหลายคน
“จื่อหราน ไม่เจอตั้งนานนะ” จางดาวเรนทักทายเฉินจื่อหรานด้วยท่าทียิ้มแย้ม จางดาวเรนนั้นชอบจื่อหรานมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เฉินจื่อหรานนั้นไม่รู้สึกอะไรกับเขาเลย ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่มีอะไรก้าวหน้า
“สวัสดีค่ะ” ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบจางดาวเรนสักเท่าไหร่ แต่เฉินจื่อหรานก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มตามมารยาท
จางเซิงเฉียวมองดูลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังเฉินหยางแล้วหัวเราะออกมาว่า “ผมไม่ได้จะขี้โม้ไปหรอกนะ แต่วันนี้คนที่ผมเชิญมามีความสามารถมากจริงๆ เกรงว่าลูกศิษย์ของคุณผลัดกันขึ้นมาทีละคนก็ยังสู้เขาไม่ได้”
เฉินหยางมองไปที่ฮันเทียนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “อืม คาดว่าคุณคงไม่เคยเห็นผู้มีความสามารถที่แท้จริงนะ เดี๋ยวผมจะให้คุณดูเองว่าอะไรถึงเรียกว่าความสามารถ”
“อย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มประเดิมกันเลยเป็นยังไง” จางเซิงเฉียวหัวเราะ
เฉินหยางขมวดคิ้วขึ้น เขารู้ดีว่าจางเซิงเฉียวไม่เพียงแต่จะต่อสู้ทักษะกับเขา เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน
“คุณจะประเดิมอย่างไร?” เฉินหยางขมวดคิ้วถาม
“หลานของผมชอบจื่อหรานมานานแล้ว คุณก็คงรู้ดี หากในวันนี้คุณเป็นฝ่ายแพ้ก็จะต้องจัดการเรื่องงานแต่งของลูกหลานทั้งสองคนให้เรียบร้อย คุณว่ายังไงล่ะ? จางเซิงเฉียวพูด
เฉินหยางตกใจมาก เขาคาดไม่ถึงว่าจางเซิงเฉียวจะพูดแบบนี้ได้ กล้าดียังไงคิดจะแตะต้องหลานสาวของเขา?!
เฉินจื่อหรานและเฉินเสี่ยวปิงเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของเขา และจางเดาเรนคนนี้เขารู้จักดีว่ามีความสามารถ แต่สำหรับเขาก็เป็นเพียงแค่ขยะคนหนึ่งที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ หากเฉินจื่อหรานแต่งงานกับเขาก็เท่ากับทำลายชีวิตเธอทั้งชีวิต
เฉินกวงซิงเองก็ตกใจเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าจางเซิงเฉียวกล้าคิดแบบนี้กับลูกสาวเขา
อันดับแรกจางดาวเรนไม่ใช่ผู้สืบทอดตระกูลจาง อีกทั้งมีชื่อเสียงที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก คนแบบนี้จะเหมาะสมกับลูกสาวเขาได้อย่างไร?
เฉินจื่อหรานมองดูจางดาวเรนและเผยสายตาอันดูถูกออกมา เธอรู้สึกว่าข้อตกลงนี้จางดาวเรนเป็นคนเสนอแนะออกมาอย่างแน่นอน!
จากเดิมเธอก็ไม่ได้ชื่นชมยินดีจางดาวเรนเท่าไหร่ ณ ตอนนี้ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน
“ไม่ใช่ว่าไม่กล้าหรอกนะ? เอาอย่างนี้ไหมลูกศิษย์ของคุณทุกคนต่อแถวเข้ามาได้เลย หรือจะรุมกันเข้ามาก็ได้ เพียงแต่ต้องชนะฮันเทียนให้ได้ก็พอ” เมื่อเห็นเฉินหยางเกิดความไม่มั่นใจจางเซิงเฉียวก็เอ่ยเพิ่มเติมออกมา
“คุณจาง หากคุณต้องการจะแข่งขันกับคุณพ่อก็เชิญตามสบายเลย แต่ลูกสาวของผมไม่ใช่สินค้า อีกทั้งไม่ใช่สิ่งของที่ว่าคุณจะนำมาเป็นรางวัลในการแข่งขันได้” เฉินกวงซิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงปกติแต่สามารถฟังเข้าใจว่าเขาโกรธเพียงใด
“อืม มองดูแล้วการที่คุณไม่ดูแลจัดการเรื่องในตระกูล ตอนนี้คำพูดของคุณคงไม่มีน้ำหนักแล้วสินะ?” จางเซิงเฉียวได้ยินคำพูดของเฉินกวงซิงดังนั้นก็ขำและหันไปพูดกับเฉินหยาง
คำพูดของเขาคำนี้เป็นการดูถูกและกระตุ้นเฉินหยางออกมาอย่างแท้จริง เฉินหยางเป็นคนที่มีนิสัยใจร้อนเขาจะอดทนต่อคำท้าทายเช่นนี้ได้อย่างไร
“ตรงนี้ไม่มีเรื่องที่เธอต้องจัดการแล้ว ไปรออยู่ข้างๆเถอะ” เฉินหยางมองดูเฉินกวงซิงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เฉินกวงซิงขมวดคิ้วแล้วถอยหลังกลับไปใกล้ๆลู่เฉิน
เขารู้จักนิสัยของพ่อตนเองดี ยิ่งหาเหตุผลไปคุยกับเขาเขายิ่งไม่อยากฟัง
“แล้วถ้าคุณแพ้ล่ะ” เฉินหยางมองไปทางจางเซิงเฉียว
“ถ้าผมแพ้แล้วละก็ ธุรกิจที่ทำความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีอี้ฉีของตระกูลจางจะยกให้คุณทั้งหมด”
จางเซิงเฉียวหัวเราะแล้วพูดว่า “ผมขอบอกตามตรงนะว่าผมและคุณจั่วและคุณหลิวได้คุยกันมาก่อนแล้ว พวกเราทั้งสามคนจะร่วมกันจับมือบีบบังคับให้เจ้าของบริษัท เทคโนโลยีอี้ฉีปรากฏตัวออกมา และบีบบังคับให้เขาเพิ่มกำไรให้เรามากขึ้น มิเช่นนั้นเทคโนโลยีอี้ฉีของเขาจะเดินหน้าต่อไปได้ยาก หรือถ้าพวกเราทั้ง 4 คนร่วมมือกันแล้วล่ะก็ เทคโนโลยีอี้ฉีในยวี่โจว ก็คงจะเป็นไปได้ยากที่จะพัฒนา”