พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่ 41 กลับเมืองหลวง
บทที่ 41 กลับเมืองหลวง
ลู่เฉินรู้ดีว่าสถานะครอบครัวของตนเองในเมืองหลวงแม้ถือไม่ได้ว่าอยู่ในลำดับหนึ่งหรือสอง แต่ก็อยู่ในห้าอันดับแรกเช่นกัน เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าพ่อของเขาจะทำเช่นนี้ และยังประกาศว่าตระกูลลู่จะไม่มีอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป
เกิดอะไรขึ้นก่อนที่พ่อจะตัดสินใจเรื่องนี้?
“ท่านนายบอกก่อนว่าเขามีเรื่องสำคัญที่จะต้องออกจากเมืองหลวง และเขาฝากบอกคุณว่าอย่ากลับไปที่เมืองหลวงอีก ทีหลังก็ดำรงชีวิตที่เมืองหยูโจว”หลู้จองพูด
“แม้ว่าเขาต้องการออกจากเมืองหลวงช่วงเวลาหนึ่ง เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ใช่ไหม?” ลู่เฉินจ้องมองไปที่หลู้จองด้วยความรู้สึกวิตกกังวลในใจ
“ฉันไม่รู้ว่าท่านนายคิดอย่างไร อย่างไรก็ตามท่านนายยังบอกว่า คุณควรจะพยายามทำเป็นคนธรรมดาในหยูโจว ดีที่สุดคืออย่าให้คนอื่นรู้ว่าคุณมาจากตระกูลลู่ในเมืองหลวง” หลู้จองส่ายหัวและพูด
“ลุงจอง คุณไม่สามารถบอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันได้หรือ?” ลู่เฉินถามด้วยเสียงที่ดังขึ้น
“คุณชาย ฉันไม่รู้จริงๆ ท่านนายยังบอกฉันว่าดีที่สุดก็ทำให้กลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ยล้มละลายและหายไปด้วย”หลู้จองยิ้มอย่างขมขื่น
“เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อใด” ลู่เฉินถาม
“เมื่อคืน” หลู้จองตอบ
ลู่เฉินขมวดคิ้วรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและหาเบอร์ของลู่เทียนซิงซึ่งก็คือพ่อของเขานั่นเอง
แต่เขาโทรติดต่อหลายครั้ง ได้รับแจ้งว่าหมายเลขที่กดนั้นไม่มีอยู่
ลู่เฉินเกิดความกระวนกระวายใจขึ้นมา
“ฉันเข้าใจแล้ว คุณทำตามที่พ่อบอกเลย” ลู่เฉินหยิบบัตรเพชรและออกจากโรงแรมแกรนด์ไฮแอท
กลับมาบนรถ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและจองตั๋วไปเมืองหลวงแต่สามารถจองตั๋วของวันพรุ่งนี้เช้าเท่านั้นเอง
ยังไงเขาก็ต้องกลับไปดู
เขาเกลียดลู่เทียนซิงที่ฆ่าแม่ของเขาในทางอ้อม แต่ยังไงลู่เทียนซิงก็เป็นพ่อผู้ให้กำเนิดของเขา
ในช่วงบ่ายลู่เฉินได้รับโทรศัพท์จากหลินอี้จุน โดยบอกว่าเธอต้องการเลี้ยงทุกคนในแผนกไปทานอาหารค่ำ เธอจึงขอให้ลู่เฉินไปรับฉีฉี
ลู่เฉินรับฉีฉีเสร็จและไม่ได้กลับไปทำอาหารที่บ้าน แต่กลับพาฉีฉีไปทานที่ร้านอาหารข้างนอก
หลังห้าทุ่มหลินอี้จุนถึงจะกลับมา
ลู่เฉินหลับไปแล้ว แต่ตอนที่หลินอี้จุนเข้านอนเขาก็ถูกปลุกขึ้นมา
ลู่เฉินมองไปที่หลินอี้จุน แม้จะอาบน้ำแล้วเขาก็ได้ดมกลิ่นเหล้า
พวกเขานอนห้องแยกกันในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และลู่เฉินก็ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้หลินอี้จุนต้องนอนกับเขา
ราวกับเห็นรอยยิ้มในดวงตาของลู่เฉิน หลินอี้จุนกล่าวว่า “ฉีฉี หลับไปแล้วฉันไม่อยากไปรบกวนฉีฉี คุณอย่าคิดมาก”
ลู่เฉินยิ้มจางๆ ไม่พูด พลิกตัวและนอนต่อ
“ฉันมีข่าวดีจะบอกคุณ วันนี้ฉันได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขาย” หลินอี้จุนเอนไปด้านข้างลู่เฉิน วางมือขวาของเธอไว้บนไหล่ของเขาแล้วพูด
“โอ้ ขอแสดงความยินดีด้วยนะ”ลู่เฉินพูดอย่างไร้อารมณ์ใดๆ
“เฮ้ นี่เป็นวิธีที่คุณแสดงความยินดีกับผู้คนหรือ” หลินอี้จุนเริ่มไม่พอใจ นี่เป็นท่าทีแบบไหนของลู่เฉินวะ
“แล้วถ้าไม่แสดงความยินดีเเบบนี้ คุณจะให้ฉันแสดงความยินดีอย่างไร?” ลู่เฉินนอนราบและมองไปที่หลินอี้จุนพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของเขา
“หึ วันนี้ฉันอารมณ์ดี ฉันไม่อย่าเถียงกับคุณ แต่ฉันต้องการตอบแทนคุณ” หลินอี้จุนกระพริบตา พลิกตัวและกดลู่เฉินไว้ใต้ตัวเธอ
ทั้งสองจูบกันสักพักลู่เฉินก็ผลักหลินอี้จุนออกจากร่างของเขาและพูดว่า “โอเค นอนเถอะ วันนี้ฉันง่วงหน่อย”
“คุณหมายความว่าอย่างไร”ไม่ได้มีเซ็กส์กับลู่เฉินมาสิบวันแล้ว แถมวันนี้ก็ดื่มไวน์เยอะมากด้วย ตอนนั้นความต้องการทางเพศของหลินอี้จุนจึงสูงขึ้น แต่ลู่เฉินกลับไม่ยอม เธอจึงรู้สึกโกรธทันที
“โอ้ ฉันง่วงจริงๆ” ลู่เฉินอธิบาย
“คุณง่วงมาก คุณไม่สนใจความรู้สึกของฉันเหรอ?” หลินอี้จุนกล่าวอย่างโกรธเคือง
ลู่เฉินขมวดคิ้วและพูดว่า “วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากทำเรื่องแบบนั้น”
หลินอี้จุนจ้องไปที่ลู่เฉินจากนั้นก็พูดว่า “ลู่เฉิน คุณคิดว่าตำแหน่งของฉันได้มาจากการกระทำที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ คุณสงสัยในตัวฉันหรือไม่?”
ลู่เฉินรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาบอกอยู่ในใจว่า ฉันนี่แหละเป็นคนที่เลื่อนตำแหน่งให้คุณ ฉันสงสัยคุณทำไม มีอะไรให้สงสัย?
“คุณไม่ได้พูดอะไรเลย คุณยอมรับใช้ไหม” หลินอี้จุน กล่าวอย่างโกรธเคือง
“คุณคิดมากเกินไปแล้ว” ลู่เฉินพูดเสียงแผ่ว
“ตกลงฉันคิดมากเกินไปแล้วคุณให้เหตุผลที่เหมาะสมกับฉันได้ไหมล่ะ?” หลินอี้จุนกล่าวอย่างไม่มีเหตุผล
“ฉันบอกคุณแล้วว่าวันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ยังไงก็ตามฉันจะกลับไปที่เมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ อย่าลืมไปรับส่งฉีฉีให้ตรงเวลานะ” ลู่เฉิน กล่าว
“คุณจะไปทำอะไรที่เมืองหลวง” หลินอี้จุนถามด้วยความตกใจ
“บ้านของฉันอยู่ในเมืองหลวงไง ฉันไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้ว ฉันจะกลับไปดู” ลู่เฉินพูด
หลินอี้จุนตะลึง แต่จำได้ว่ลู่เฉินดูเหมือนจะเป็นคนของเมืองหลวงจริงๆนะ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยบอกจะกลับไปและเธอก็ลืมเรื่องนี้ไป
“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับครอบครัวของคุณหรือไม่?” หลินอี้จุนสงบลงและถามเบา ๆ
“ไม่ ฉันแค่ไม่ได้เจอพ่อมานาน แล้วฉันอยากกลับไปเยี่ยมเยียนเขา” ลู่เฉินพูดอย่างใจเย็น
ลู่เฉินนึกถึงคำพูดของหลู้จองในตอนเช้า และแผนการเดิมของเขาคิดจะค่อยๆให้หลินอี้จุนรู้ว่าเขาเป็นลูกคนรวยที่ร่ำรวยมากๆแต่ตอนนี้แผนนี้ก็ต้องถูกละทิ้งก่อน คงต้องรอจนกว่าเขาจะเข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาถึงต้องการทำเช่นนี้ และก่อนที่เขาจะทำความเข้าใจก็จะไม่ให้คนอื่นรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาด้วย
“พวกเราพาฉีฉีไปกันเถอะ คุณไม่เคยได้พาฉันไปพบครอบครัวของคุณหลังจากแต่งงานมาเลย” หลินอี้จุนกล่าว
ลู่เฉินผงะและส่ายหัว “ฉันจองตั๋วแล้วฉัน ครั้งหน้าเถอะ”
พ่อของเขาได้จัดการเรื่องนี้แล้วและแน่นอนว่าเขาไม่สามารถพาหลินอี้จุนไปเมืองหลวงได้
ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาคิดที่จะพาหลินอี้จุนและฉีฉี กลับไปให้พ่อดู
แต่ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าจะได้เจอพ่อหรือเปล่า
“ลู่เฉิน คุณรู้สึกว่าฉีฉีและฉันไม่มีสิทธิ์ได้เจอญาติพี่น้องของคนใช่ไหม?” หลินอี้จุนคิดว่าลู่เฉินจงใจแก้ตัว จึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
“คุณกำลังคิดอะไรอยู่?ไม่ต้องกังวล สักวันหนึ่งฉันจะบอกตัวตนที่แท้จริงของฉันให้คุณทราบ” ลู่เฉินพูดอย่างไร้เสียง
“ตัวตนของคุณ?คุณยังมีตัวตนที่โดดเด่นหรือ” หลินอี้หยุนตกใจและจ้องมองไปที่ลู่เฉินอย่างแน่วแน่
“ช่างเถอะ คุณอย่ามาหาข้ออ้างเยอะขนาดนี้คุณ คุณไม่อยากให้ ฉีฉี กลับไปที่ตระกูลของตัวเองก็เป็นเรื่องของคุณ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับฉัน” หลินอี้จุนมองไปที่ลู่เฉินสักพัก และก็เอนตัวไปอีกด้านและหยุดคุย
เพียงแค่ว่าเธอรู้สึกไม่สบายใจ
เธอรู้สึกว่าลู่เฉินมีหลายสิ่งปิดบังเธอไม่ให้เธอรู้
ลู่เฉินยิ้มอย่างจนปัญญาและเอื้อมมือไปปิดไฟเพื่อเข้านอน
ในเวลาสิบโมงเช้าวันรุ่งขึ้นลู่เฉินก็มาถึงเมืองหลวง
เขาไม่ได้กลับมาที่นี่หลายปีแล้ว เมื่อมองไปที่เมืองหลวงที่พลุกพล่าน เขามีความรู้สึกแปลกๆเป็นพิเศษ
ลู่เฉินนั่งแท็กซี่มาที่วิลล่าของตระกูลลู่ ภายในวิลล่าดูหดหู่และร้างไปเล็กน้อย
ถ้าไม่ถึงว่ามองไม่เห็นคนแม้แต่คนเดียว
ความวิตกกังวลในใจของลู่เฉินเริ่มมากขึ้นและเขาผลักเปิดประตูวิลล่าแล้วเดินเข้าไป
เมื่อเขาเดินผ่านลานหินแห่งหนึ่ง ตาของเขาก็สว่างขึ้นและเขาก็หยุดลง
ชายชราผมขาวคนหนึ่งเดินออกมาอย่างช้าๆ
“หยุนเหลา” เมื่อเห็นชายชราผมขาว ลู่เฉินก็ดีใจและทักทายเขา