พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่144 บริจาคเงิน
บทที่144 บริจาคเงิน
เงาสองคนนั้นก็คือลู่เฉินและวูเทานั่นเอง ทั้งสองคนนับว่าโชคดีที่วิ่งออกมาจากตึกได้ หลังจากนั้นก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นตึกถล่มลงทันใด! ทั้งสองแทบจะหนีออกมาไม่ทัน
เมื่อวิ่งออกมาได้ประมาณสิบกว่าเมตรแล้วหันกลับไปดูตึกที่ถล่มลงมา ใจก็แทบจะหยุดเต้น
“พ่อหนุ่ม วางฉันลงเถอะ” หญิงชราพูดกับวูเทา
เมื่อหญิงชรามองไปยังบ้านที่อาศัยอยู่หลายสิบปีพังลงเป็นกองขยะ เธอก็ตาแดงก่ำด้วยความอาลัย
“ไปกันเถอะครับ ที่สวนสาธารณะปลอดภัยที่สุด” ลู่เฉินบอกกับทั้งสองคน
หญิงชราพยักหน้าตอบรับแล้วเดินไปยังสวนสาธารณะกับเขาทั้งสอง
“มาแล้วๆ! เขาออกมาทัน!”
“เขาอุ้มเด็กออกมาด้วย! เขาเข้าไปช่วยเด็กคนนั้นจริงๆเหรอ?”
เมื่อคนที่สวนสาธารณะมองเห็นลู่เฉินเดินออกมา พวกเขาก็พากันชื่นชมลู่เฉินถึงความกล้าหาญ แต่บางคนก็ว่าลู่เฉินนั้นโง่ แต่อย่างไรก็ถามทุกคนล้วนตกตะลึงที่ระยะเวลาสั้นๆนี้ เขาขึ้นไปชั้นห้าและช่วยเด็กลงมาทันได้อย่างไร สุดยอดจริงๆ!
“แม่! แม่!” เด็กน้อยเมื่อเห็นหญิงขาพิการผู้นั้นก็ร้องหา
ลู่เฉินวางเขาลงและเด็กน้อยได้วิ่งตรงเข้าไปหาผู้เป็นแม่
“เสี่ยวเป่า!” ผู้เป็นแม่โอบกอดลูกไว้แน่น น้ำตาเธอไหลริน
เมื่อตอนที่เห็นภาพตึกถล่มลงมา ในสมองของเธอว่างเปล่าและคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอลูกชายอีกแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มคนนั้นจะเข้าไปช่วยลูกชายเธอออกมาได้ทันเวลา
หญิงขาพิการผู้นั้นปล่อยลูกชายลงแล้วคุกเข่าที่พื้น ก้มหัวคารวะและร้องไห้ “ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ……”
ลู่เฉินพยุงเธอลุกขึ้นมาและส่ายหัวพูดว่า “ไม่เป็นไรครับเรื่องแค่นี้เอง”
“คุณคะ คุณรู้จักเธอไหม? ทำไมถึงเลือกที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเด็กคนนั้นออกมากัน?”
ในขณะนั้นมีนักข่าวคนหนึ่งถามลู่เฉินขึ้น
ลู่เฉินมองไปที่นักข่าวคนนั้น และงุนงงกับคำถามไร้สาระของเธอ
เขาชี้ไปที่วูเทาและพูดว่า “คุณไปถามเขาเถอะนะครับ เขาถึงจะเป็นฮีโร่ที่แท้จริง เขาแบกคุณยายคนนั้นลงมาจากตึกจนถึงที่นี่”
ลู่เฉินพูดจบก็อุ้มฉีฉีเดินจากไป และหยิบมือถือโทรหาหลินอี้จุน
เมื่อนักข่าวสาวเห็นว่าลู่เฉินไม่ยินยอมให้การสัมภาษณ์ เธอก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินลู่เฉินพูดว่าวูเทาเป็นคนอุ้มคุณยายลงมาจากตึก เธอจึงได้ไปสัมภาษณ์เขาด้วยความกระตือรือร้น
“คุณอยู่ที่ไหน?” เมื่อหลินอี้จุนรับสาย ลู่เฉินก็เอ่ยถามขึ้น
“ฉันอยู่ที่บริษัทค่ะ แต่ว่าตอนนี้พวกเรารวมตัวกันที่สนามหญ้าอย่างปลอดภัยแล้ว คุณกับฉีฉีไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หลินอี้จุนถามด้วยความเป็นห่วง
แม้ว่าเธอจะยังโกรธลู่เฉินอยู่มาก แต่ในตอนนี้เธอก็เป็นห่วงเขาจากใจจริง
เธอรีบโทรหาลู่เฉินตั้งแต่รู้เรื่อง แต่ตอนนั้นลู่เฉินกำลังเข้าไปช่วยเด็กที่ติดอยู่ฝนตึก จึงไม่ทันได้รับสาย
“อืม คุณกลับไปก่อนแล้วกัน วันนี้คงไม่ได้ทำงานแน่ ยังมีอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีก” ลู่เฉินพูด
“จะกลับยังไงคะ อาฟเตอร์ช็อกยังไม่หมด กลับไปยิ่งอันตรายกว่าเดิม ตอนนี้ตำรวจกำลังจัดแจงให้ทุกคนเดินทางไปที่สวนสาธารณะอยู่ รถติดมากๆ ฉันคงกลับไม่ได้ละค่ะ” หลินอี้จุนตอบกลับ
“อืม งั้นเดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่ ติดต่อผมตลอดเวลา เข้าใจไหม” เมื่อพูดจบลู่เฉินก็วางสายลงและพาฉีฉีมานั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในสวนสาธารณะ เขากำลังเชคว่าที่ไหนบ้างได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว
จากรายงานของสื่อ พบว่ามณฑลเสฉวนเมืองหนานอานเขตหวงผิง เกิดแผ่นดินไหวระดับ7.5 ซึ่งอยู่ห่างจากหยูโจวเพียงนิดเดียวนั้น จึงได้รับผลกระทบด้วย
ลู่เฉินโทรหาอู๋เล่ยเพื่อถามเรื่องร้านค้า เขาได้รับรายงานว่าชั้นวางของพังลงมา และสิรค้ากระจัดกระจาย โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร
ต่อมาลู่เฉินโทรหาวังเว่ย เขาถามถึงเรื่องพื้นที่โครงการได้รับคำรายงานว่าไม่มีผลกระทบใด มีเพียงพนักงานบางคนเท่านั้นได้รับบาดเจ็บแผลถลอก
ส่วนตึกจวินเยวี่ยนั้นมีการป้องกันแผ่นดินไหวอย่างดี จึงไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
แต่ว่าสองวันนี้คงต้องหยุดการทำงานก่อน
โดยรวมถือว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก ลู่เฉินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
แต่ว่าคืนนี้ไม่รู้จะมีอาฟเตอร์ช็อกอีกหรือไม่ ลู่เฉินพาหลินอี้จุนและฉีฉีมากางเต็นท์นอนที่ลานหน้าบ้าน
ค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบ เช้าวันต่อมาทุกอย่างเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ลู่เฉินส่งฉีฉีไปโรงเรียน จากนั้นเขาก็ได้รับสายจากเซ่ซูเจี๋ย
เซ่ซูเจี๋ยเชิญเขาไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน เมื่อลู่เฉินได้ยินก็คิดว่าคงเป็นเรื่องของการระดมทุน
เมื่อถึงเวลานัดหมาย เขาเดินทางมาถึงโรงแรมหยูโจว ก็พบว่าหัวหน้าสี่ตระกูลใหญ่ก็ถูกรับเชิญมาด้วย
เมื่อเฉินกวงซิงเห็นลู่เฉินก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใจ แต่อีกสามคนเมื่อเห็นเขาก็พากันตกตะลึง ทำไมถึงให้คนอย่างลู่เฉินมาร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเขากัน
จางซิงฉวนหรี่ตามองดูลู่เฉิน เมื่อไม่กี่วันก่อนลู่เฉินไม่เพียงแต่ทำให้เขาเสียเงินไปกว่าห้าสิบล้าน อีกทั้งยังเข้าตรวจสอบสถานบริการหลักที่ใช้ในการรองรับผู้ใหญ่ต่างๆด้วย ตอนนั้นเขาโมโหจนแทบกระอักเลือด
แต่โชคดีที่ลู่เฉินไม่ได้ตัดหนทางของเขาจนหมด ลู่เฉินไม่ได้พูดเรื่อง Moonlight Bathsออกมาต่อหน้าผู้คน ถ้าไม่อย่างนั้นวันนี้เขาคงไม่เดินทางมาร่วมงานนี้แน่
“คุณลู่ก็มาเหรอครับ” จางซิงฉวนแม้จะเกลียดลู่เฉินเข้ากระดูกดำ แต่ก็ต้องเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มตามมารยาท คล้ายกับว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
“อ้าว วน้าตระกูลจางนี่เอง สวัสดีครับ” ลู่เฉินหัวเราะเหอะๆและยื่นมือไปจับกับจางซิงฉวนอย่างยินดี
“เช่นกันครับ” จางซิงฉวนหัวเราะออกมา และคิดอยู่ในใจว่าเมื่อไหร่ที่มีโอกาส เขาจะต้องเอาคืนอย่างสาสมแน่
เมื่อจั่วเจียเหลียงเดินมา เฉินกวงซิงจึงแค่พยักหน้ากับลู่เฉินแต่ไม่ได้เดินเข้าไป
จั่วเจียเหลียงก็เสียเงินร้อยล้านให้ลู่เฉินเช่นกัน เขาไม่ชอบขี้หน้าลู่เฉินนัก
แต่เมื่อเห็นว่าวันนี้เซ่เว่ยเหาได้เชิญลู่เฉินมาร่วมงานด้วย ก็รู้ว่าช่วงนี้หากจะจัดการลู่เฉิน น่าจะเป็นไปได้ยากเสียหน่อย
เพียงแต่ว่า พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าเรื่องที่เชิญมาในวันนี้คงไม่พ้นการระดมทุน ลู่เฉินจะมีเงินมาบริจาคมากเท่าไหร่เชียว?
จั่วเจียเหลียงก็ทักทายลู่เฉินแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ
แต่หลิวไคหยาง หัวหน้าตระกูลหลิวจ้องมองลู่เฉินตาไม่กะพริบ เขาไม่เก็บอารมณ์เอาเสียเลย
ครั้งที่แล้วเมื่อเซ่เว่ยเหาดื่มให้กับลู่เฉิน ก็ทำให้เขาตกตะลึงมากพอแล้ว ในวันนี้สถานการณ์แบบนี้ลู่เฉินกลับมาปรากฏตัวที่นี่! หมายความว่าในสายตาของเซ่เว่ยเหานั้น ลู่เฉินมีตำแหน่งเท่ากับพวกเขาทั้งสี่คน
จะเป็นไปได้ยังไง?
เจ้าเด็กนี่มีสิทธิ์อะไรกัน?
ลู่เฉินมองดูหลิวไคหยางที่มองมายังตน จากนั้นเขาได้ส่งรอยยิ้มให้
แม้เขาจะไม่เคยมีปัญหากับหลิวไคหยางมาก่อน แต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นได้ง่ายๆ
จิ้งจอกแก่เจ้าเล่ห์แบบนี้ ทางที่ดีอย่าทำตัวเป็นปรปักษ์กับเขาจะดีที่สุด
“หัวหน้าตระกูลทั้งสี่และคุณลู่ ขอโทษนะครับที่มาช้า รถติดนิดหน่อย”
ในขณะนั้นเอง เซ่เว่ยเหาและเลขาฯก็เดินเข้ามาและกล่าวขอโทษทั้งห้าคน
หมายเหตุ:เรียนผู้อ่าน เซ่ซูเจี๋ย และ เซ่เว่ยเหา ในหนังสือเล่มนี้เป็นบุคคลเดียวกัน