พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่152 พบเฉินเสี่ยวปิงอีกครั้ง
บทที่152 พบเฉินเสี่ยวปิงอีกครั้ง
“ก็ใช่น่ะสิ น่าเสียดายที่วันนี้ทำให้เขาอารมณ์เสียไปซะก่อน ครั้งหน้าก็คงจะนัดยากขึ้นแล้วล่ะ” เฉินจื่อหรานพยักหน้าด้วยความไม่พอใจ
“เขาเป็นใครกัน?” หลานหลิงถามด้วยความสงสัย
คุณชายสี่ตระกูลใหญ่ไม่ว่าจะเป็นใครเฉินจื่อหรานก็เคยพูดให้เธอฟังทั้งนั้น แต่สำหรับคนที่ชื่อลู่เฉินเธอไม่เคยได้ยินชื่อเลย
“ฉันบอกเธอตรงๆนะว่าฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเหมือนกัน รู้แต่ว่าคุณพ่อนับถือเขาเป็นพี่น้อง Xie Shuhaoเองก็เหมือนกัน อีกทั้งยังยกดื่มให้กับเขาด้วย” เฉินจื่อหรานพูด
หลานหลิงตกใจและพูดออกมาว่า “แหมลึกลับจริงๆเลย หรือเขาจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยีอี้ฉีที่ใหญ่ที่สุดในหยูโจวกัน?”
เฉินจื่อหรานตกใจเมื่อหลานหลิงพูดออกมาแบบนี้ เธอเองก็คล้ายกับนึกอะไรออกมาได้ แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ?
เขาอายุยังน้อยจะก่อตั้งเทคโนโลยีอี้ฉีที่ใหญ่โตขนาดนั้นได้ยังไง?
เขาเป็นเจ้าของร้านซูเปอร์มาร์เก็ตเซิ่งซื่อไม่ใช่เหรอ?
เฉินจื่อหรานเองแม้จะรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่ลู่เฉินจะเป็นเจ้าของเทคโนโลยีอี้ฉีก็จริง แต่เธอก็ยังไม่อยากเชื่อ
เพียงแต่……แค่เจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตธรรมดาๆจะทำให้พ่อของเขาและเซ่ซูเจี๋ยเคารพนับถือขนาดนั้นเชียวเหรอ?
“เขาเป็นเจ้าของเทคโนโลยีอี้ฉีหรือเปล่าฉันไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าเขาเปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อว่าเซิ่งซื่อ อีกอย่างเมื่อครั้งที่แล้วเธอ อยากรู้จักคนที่ทำให้โจวซุนเฟยแพ้อย่างไม่เป็นท่าไม่ใช่เหรอ?ก็คือเขาคนนี้แหละ ลู่เฉินเอาชนะศาสตราจารย์เจิ้งซีเหอได้อย่างราบคาบและทำให้โจวซุนเฟยแพ้อย่างไม่เป็นท่า” เฉินจื่อหรานพูดออกมา
“โอ้โห! นั่นคงน่าเสียดายจริงๆ ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสเจอเขาอีกหรือเปล่า?” หลานหลิงอุทานออกมาด้วยความเสียดาย
การที่เธอเดินทางมาหยูโจวครั้งนี้ มองเผินๆคิดว่าเธอมาเที่ยว แต่ที่จริงแล้วเธอต้องการมาตามหาคนที่เอาชนะตระกูลโจวได้ใน งานจัดแสดงครั้งนั้น
เธอต้องการจะซื้อช่องทางการค้ากลับไป
เนื่องจากบ้านตระกูลหลานและบ้านตระกูลโจวมีการต่อสู้กันค่อนข้างสูง สามารถพูดได้ว่าทั้งสองตระกูลไม่ถูกกันอย่างแรง ช่องทางการค้าอัญมณีนั้นเป็นเหมือนชีวิตของตระกูลโจว หากพวกเธอสามารถเอามาไว้ในกำมือได้ก็จะสามารถต่อสู้กับตระกูลโจวได้และชนะอย่างแน่นอน
“”อืม อีกสองวันจะมีงานเลี้ยงขอบคุณ เป็นองค์กรของรัฐจัดขึ้น เขาน่าจะไปร่วมงามด้วย” เฉินจื่อหรานพูด
“โอเค งั้นพวกเราก็ไปร่วมงานด้วยสิ” หลานหลิงตอบกลับมา
ลู่เฉินนั่งแท็กซี่กลับไปที่บ้าน เมื่อเห็นว่าหลินอี้จุนนอนห้องเดียวกับฉีฉีเขาก็ฝืนยิ้มออกมาและเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองอาบน้ำนอน
วันต่อมา เขาโบกแท็กซี่ไปส่งฉีฉีที่โรงเรียน
หลังจากส่งฉีฉีเรียบร้อยแล้ว ลู่เฉินก็นั่งแท็กซี่ไปซูเปอร์มาร์เก็ต เนื่องจากที่เทคโนโลยีอี้ฉีมีวังเว่ยและเสี่ยวซู่ถิงที่มากไปด้วยประสบการณ์อยู่ตั้งสองคน เขาไม่ห่วงเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตนี้ เขาเองกลับไม่ค่อยไว้ใจอู๋เล่ยสักเท่าไหร่
แม้เขาจะวางใจให้อู๋เล่ยเป็นคนจัดการทุกอย่าง แต่เขาก็รู้ว่าอู๋เล่ยอาจทำได้ไม่ดีนัก อีกทั้งเขาต้องการจะใช้ซูเปอร์มาร์เก็ตนี้เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินธุรกิจในอนาคตของเขาด้วย
จากเมื่อวานที่ได้จัดแจงข้าวของเรียบร้อยแล้ว ในวันนี้ซูเปอร์มาร์เก็ตได้เปิดทำการตามปกติ ลู่เฉินอยู่จนดูจนถึงกลางวันตวรจสถานภาพทั่วไปว่าปกติดีแล้ว จึงออกมากินข้าว
“อ้าว!คุณลู่คะ” เมื่อลู่เฉินเดินผ่านร้านเครื่องดื่มก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาเขา เป็นเฉินเสี่ยวปิงนั่นเอง
ข้างๆมีผู้หญิงอายุประมาณ22 ไม่ได้จัดว่าสวยมากแต่การแต่งตัวก็ทันสมัยและดูดี
ลู่เฉินมองไปที่เธอและรู้สึกว่าคุ้นตาแต่จำไม่ได้ว่าเป็นใคร
ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่าเล่ยผู่อิน ลู่เฉินจำเธอไม่ได้แล้วแต่เธอจำลู่เฉินได้อย่างดี
เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นของหลินอี้เจีย ก่อนหน้านี้เคยพบกันมาก่อนและรู้ว่าลู่เฉินนั้นเป็นลูกเขยที่ไม่ได้เรื่องในสายตาของบ้านตระกูลหลิน
“ครับ บังเอิญจัง” ลู่เฉินยิ้มและตอบเฉินเสี่ยวปิงไป
“คุณลู่กำลังจะไปไหนเหรอคะ?” เฉินเสี่ยวปิงเอ่ยถาม หลังจากงานครบรอบ 70 ปีของคุณปู่เมื่อครั้งที่แล้ว เธอก็มีท่าทีต่อลู่เฉินเปลี่ยนไปมาก
“กำลังจะไปกินข้าวครับ พวกคุณกินข้าวหรือยัง?” ลู่เฉิน
ถามออกมาตามมารยาท
“ยังไม่ได้กินเลยค่ะ คุณลู่เอาอย่างนี้ไหม คุณเลี้ยงเครื่องดื่มพวกเราแล้วเราจะเลี้ยงข้าวคุณ เป็นยังไงล่ะ?”เฉินเสี่ยวปิงกะพริบตาและพูด
ลู่เฉินมองไปที่ร้านเครื่องดื่ม เขาเองก็เริ่มหิวน้ำขึ้นมาเหมือนกัน และเตรียมตัวจะตอบกลับไปว่าตกลง แต่กลับถูกเล่ยผู่อินพูดแทรกขึ้นมาว่า
“เสี่ยวปิง เราไปกินกันเองดีกว่า” สำหรับเล่ยผู่อินนั้นเธอรู้แค่ว่าลู่เฉินเป็นพวกไร้ประโยชน์จึง มีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีต่อลู่เฉินเท่าไหร่นัก
ไม่สิ!ดูถูกเขาเสียมากกว่า
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินเสี่ยวปิงจะต้องเอ่ยปากทักทายกับพวกไร้ประโยชน์แบบนี้ และการที่จะเลี้ยงข้าวเขาไม่กลัวว่าคนอื่นจะดูถูกเอาเหรอ?
แต่เธอก็ไม่สามารถพูดออกมาตรงๆได้ เธอและเสี่ยวปิงแม้จะเป็นเพื่อนกัน แต่ทั้งสองตระกูลก็มีความร่วมมือกันอยู่ อีกทั้งตระกูลเล่ยของเธอยังอยู่ใต้อำนาจของตระกูลเฉิน หากทำให้เฉินเสี่ยวปิงไม่พอใจอาจจะส่งผลกระทบต่อความร่วมมือของทั้งสองตระกูลได้
ลู่เฉินมองดูเล่ยผู่อินและเข้าใจถึงสายตาดูถูกของเธอ จึงพูดกับเฉินเสี่ยวปิงว่า “ถ้าอย่างนั้นผมไปกินเองจะสะดวกกว่าครับ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันเลี้ยงคุณคนเดียวก็ได้ แล้วคุณก็เลี้ยงข้าวฉันคนเดียวก็พอ” เฉินเสี่ยวปิงเองก็ฟังออกถึงน้ำเสียงที่เล่ยผู่อินไม่ชอบลู่เฉินและเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
ลู่เฉินเป็นแขก VIP ของบ้านเธอ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกันแล้วต่อให้ยกตระกูลเล่ยขึ้นมาสิบตระกูล ยังสู้ลู่เฉินไม่ได้เลย
เมื่อเห็นท่าทีของเฉินเสี่ยวปิงเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เล่ยผู่อินเองก็ตกใจเช่นกัน
เธอกับเฉินเสี่ยวปิงมองไปคล้ายจะเป็นเพื่อนกัน แต่ทั้งสองตระกูลก็ยังมีประโยชน์ต่อกัน เธอถึงได้ตั้งใจเข้าหาเฉินเสี่ยวปิงและใช้ความน่าเชื่อถือที่ได้รับจากเฉินเสี่ยวปิงนั้นมาเป็นประโยชน์ของตนเอง
และนี่ก็เป็นความต้องการของพ่อเธอด้วย การที่เป็นเพื่อนกับเฉินเสี่ยวปิงก็ต้องตามใจเธอ เนื่องจากกิจการของตระกูลเล่ยนั้นต้องพึ่งพาบ้านตระกูลเฉิน ตระกูลเฉินสนับสนุนกิจการของเขาตระกูลเล่ยจึงจะมีกิน
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเฉินเสี่ยวปิงหรือคนอื่นในบ้านตระกูลเฉิน เล่ยผู่อินก็ทําได้เพียงเอาอกเอาใจ
“งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ!” เล่ยผู่อินรีบพูดออกมา
ถึงแม้ในใจของเธอจะดูถูกลู่เฉินมาก แต่ก็ไม่กล้าที่จะขัดใจเฉินเสี่ยวปิง
เพียงแต่ว่าวันนี้เธอยังนัดผู้ชายที่เธอแอบชอบอยู่ด้วย อีกสักครู่ถ้าเขาเห็นว่าเธออยู่กับลู่เฉินก็คงจะอับอายขายหน้าไม่น้อย
ลู่เฉินมองไปเล่ยผู่อินที่มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเจน ก็ทำให้เขาเกิดความประหลาดใจ
แต่ในไม่ช้าเขาก็เข้าใจว่าเล่ยผู่อินมองดูแล้วเหมือนเป็นเพื่อนกับเฉินเสี่ยวปิง แต่เธอก็ปฏิบัติต่อเฉินเสี่ยวปิงคล้ายกับปฏิบัติกับคุณหนู อีกอย่างคนธรรมดาอย่างเธอจะเป็นเพื่อนกับคุณหนูบ้านตระกูลเฉินได้อย่างไร?
เล่ยผู่อินน่าจะต้องมีวัตถุประสงค์อื่นอย่างแน่นอน ถึงต้องคอยเอาอกเอาใจเฉินเสี่ยวปิงแบบนี้
เมื่อสักครู่เฉินเสี่ยวปิงแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาและเล่ยผู่อินก็สัมผัสได้
แต่ว่าทำไมเธอต้องทำตัวเป็นปรปักษ์กับเขาเมื่อสักครู่ด้วย?
หรือว่าเขาเคยทำอะไรขัดใจเธออย่างนั้นเหรอ?
ลู่เฉินยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ