พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่161 ต่อต้านเทคโนโลยีอี้ฉี
บทที่161 ต่อต้านเทคโนโลยีอี้ฉี
โห!เขามาหาไอ้เจ้านี่ มิใช่มาหาสองพี่น้องตระกูลเจียงนี่หว่า!
ทุกคนเห็นเช่นนี้ ก็ล้วนตะลึงกันอีกครั้ง และยิ่งสงสัยมากขึ้นเกี่ยวกับฐานะของลู่เฉิน
เซ่ซูเจี๋ยได้กล่าวถึงเขา?
หรือเขาเป็นคุณชายที่มาจากเมืองหลวงจริงๆ?
สีหน้าของเจียงเทาทั้งสี่คนล้วนเก้อเขินมาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นสายตาที่เสียดสีและเยาะเย้าของทุกคน ทั้งสี่คนยิ่งรู้สึกอับอายเข้าไปใหญ่
ตกลงไอ้เจ้านี่เป็นใครกันแน่ ทำไมตระกูลเจียงเราได้บริจาคเงินตั้งสิบล้านยังไม่ได้รับการชื่นชมจากเซ่ซูเจี๋ยเลย ส่วนเขาก็ไม่ใช่คนบริจาคโดยตรง ทำไมเซ่ซูเจี๋ยจะกล่าวถึงเขาล่ะ?
ทั้งสี่คนล้วนคิดไม่ออกว่า ทำไมเลขาจางไม่ได้มาหาพวกเขากลับได้ไปหาลู่เฉินล่ะ
“ครั้งนี้เซ่ซูเจี๋ยได้สั่งคนมาเรียกเขาอีกแล้ว พี่ลู่นี่สุดยอดจริงๆ!”หลอหยุนฮวยมองไปดูเลขาจางที่เคารพต่อลู่เฉิน รู้สึกทอดทอนใจ
นี่ถึงเป็นคนสุดยอดจริงๆ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ขอให้เป็นที่ที่มีเซ่ซูเจี๋ย ลู่เฉินก็จะเป็นจุดเด่นแน่นอน
“งานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้ ฉันก็ต้องมาอยู่แล้วสิ”ลู่เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“นั้นจะเข้าไปตอนนี้เลยไหม?”เลขาจางถามลู่เฉิน
“โอเค”ลู่เฉินพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปภายใน
แม้ว่าห้องโถงด้านนอกล้วนเป็นหนุ่มสาวที่มีชื่อเสียงมีตระกูลในเมืองหนูโจว แต่เวลาที่อยู่กับพวกเขายิ่งนาน ลู่เฉินก็ยิ่งมีความรู้สึกว่าไอคิวลดลง
จะพูดยังไงดีล่ะ วิสัยทัศน์ของเขาในตอนนี้ได้กว้างขวางกว่าคนรุ่นเดียวกันแล้ว ดังนั้นพฤติกรรมการพูดคุยหรือท่าทางต่างๆของคนรุ่นเดียวกันทำให้เขารู้สึกเป็นพฤติกรรมที่เหมือนเด็ก
เอาสี่พี่น้องของตระกูลเจียงมาเป็นตัวอย่างก็ได้ เดิมทีลู่เฉินก็ไม่ได้ยั่วยวนพวกเขาด้วยซ้ำ แต่พอพวกเขาเห็นว่าลู่เฉินได้นั่งแท็กซี่มา ก็คิดจะหยอกล้อลู่เฉินสักหน่อย เพื่อหาความสำเร็จในตัว
คิดไม่ถึงว่าก่อนหน้านี้ขายหน้าในข้างล่างยังไม่พอ ยังปัญญาอ่อนแบบนั้นอีก ยังต้องขายหน้าอีกสักรอบ สองรอบถึงจะฉลาดขึ้นมาหน่อย คนปัญญาอ่อนอย่างพวกเขา ลู่เฉินจะเข้ากับพวกเขาได้ยังไงล่ะ
“สังคมกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มีคนรํ่ารวยเกิดขึ้น ก็มีคนปัญญาอ่อนมากมายเข้ามาผสมด้วย”ลู่เฉินพูดทอดถอนในใจ
ภายในห้องโถงมีโต๊ะไม่เท่าไหร่ รวมพวกสิ่งจากแหล่งต่างๆ ก็แค่ไม่สิบกว่าโต๊ะเอง
คนในนี้ ส่วนใหญ่เป็นคนรวยที่บริจาคเงินตั้งแต่ล้านหนึ่งขึ้นไป
และส่วนใหญ่ก็รู้จักกันมาก่อน ตรงกลางของห้องโถงเป็นเวที ขณะนี้มีนักแสดงกำลังแสดงอยู่บนเวที
ส่วนโต๊ะได้จัดล้มรอบเวทีเป็นวงหนึ่ง ข้างหลังของโต๊ะ ก็คือสื่อกระแสหลักจากแหล่งต่างๆที่กำลังถ่ายทอดสด
“คุณลู่ ไปโต๊ะของพวกเซ่ซูเจี๋ยเลย”เลขาจางกล่าว
ลู่เฉินพยักหน้า เพิ่งคิดจะพูดอะไรก็เห็นเฉินจือหรานลุกขึ้นเดินมาทักทายกับเขา”คุณลู่ คุณมาแล้วหรือ รถคันนั้นคุณชอบหรือเปล่าคะ”
“เออ ต้องขอโทษที่ทำให้คุณเสียค่าใช้จ่ายด้วยนะ”ลู่เฉินพยักหน้า เพิ่งคิดจะจากไปก็เห็นหลินอี้จุนก็อยู่ในโต๊ะนี้ด้วย แถมตอนนี้กำลังมองเขาด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น
ลู่เฉินตะลึงในใจ จากสายตาของหลินอี้จุนเขาได้รับรู้ถึงความหึง และความโกรธขรึมที่เย็นชา
หลินอี้จุนหายใจเข้าลึกๆ คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินได้ให้รถเป็นของขวัญแก่ลู่เฉิน เธอจะให้รถแก่ลู่เฉินเพื่อ?
แม้ว่าเธอจะโง่ยังไง แต่ก็สามารถมองเห็นสายตาที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินมองไปทางลู่เฉินเต็มไปด้วยความรักและเคารพ
แม้ว่าเฉินจือหรานซ่อนตัวได้อย่างดี แต่ในฐานะที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน หลินอี้จุนก็เป็นคนช่างสังเกตด้วย ดังนั้นจึงหนีไม่พ้นตาของเธอ
ลู่เฉิน คาดไม่ถึงว่าคุณไม่เพียงแต่ไปเกลือกกลั้วที่ Moonlight Baths ยังมีความสัมพันธ์แบบคลุมเครือกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉินด้วย คุณนึกว่าฉันตายแล้วหรือ?
หลินอี้จุนกำมือไว้อย่างแน่น และพยายามระงับความโกรธขรึมในใจลงไป
“ฉันนั่งที่โต๊ะนี้เป๊ะหนึ่งก่อน เดี๋ยวค่อยไปชนแก้วกับเซ่ซูเจี๋ย”ลู่เฉินพูดกับเลขาจาง จากนั้นก็เดินไปนั่งที่ข้างๆหลินอี้จุน
โต๊ะนี้ไม่ได้นั่งเต็ม แต่ก็มีผู้หญิงสี่หน้าคนอยู่
นอกจากหลินอี้จุน เฉินจือหราน หลานหลิน ยังมีผู้หญิงวัยกลางคนอีกสองคน แต่ลู่เฉินล้วนไม่รู้จัก
เขาเพิ่งคิดจะแนะนำเฉินจือหรานให้หลินอี้จุน ก็ได้ยินเฉินจือหรานอ้าปากพูดก่อน”คุณลู่ นี่เป็นหลานหลิน เพื่อนร่วมห้องสมัยมหาวิทยาลัยของฉัน”
“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักคุณค่ะ”หลานหลินไม่ทันรอให้ลู่เฉินตอบกลับ ก็เอื้อมมือขวาไปถึงตรงหน้าของลู่เฉิน
“สวัสดีครับ”ลู่เฉินพยักหน้าและเอื้อมมือไปจับกับหลานหลิน จากนั้นก็เก็บมือกลับมา
“คุณลู่ หลังงานเลี้ยงเสร็จสิ้นเราไปกินอาการดึกกันไหม”หลานหลินพูดด้วยรอยยิ้ม
ลู่เฉินมองไปดูหลานหลิน วันนี้พวกเขาแค่ได้รู้จักกันเป็นวันแรกเอง ทำไมถึงมาชักชวนเขาไปกินอาหารดึกล่ะ?
“ไม่ละกัน มีโอกาสค่อยว่ากัน”ลู่เฉินส่ายหน้าปฏิเสธการเชิญชวนของหลานหลินโดยตรง
หลินอี้จุนนั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าลู่เฉินปฏิเสธหลานหลิน เธอไม่ได้ดีใจ กลับยิ่งรู้สึกว่าลู่เฉินเป็นคนหน้าซื่อใจคด
เฉินจือหรานคิดจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นว่าโต๊ะนี้ยังมีบางคนที่เธอไม่รู้จัก เลยทนไว้ไม่ได้พูดออกมา
“ฉันมีข้อเสนอแนะ ฉันคิดว่าพรุ่งนี้พวกเราควรรวมตัวกันไปหน้าประตูเทคโนโลยีอี้ฉี บังคับให้เจ้าของออกมา”
พอดีในเวลานี้ จางเซิงเฉียวในโต๊ะที่ไม่ไกลจากเขานั้นพูดขึ้นมาทันที
เสียงของเขาค่อนข้างดัง ทำให้คนในโต๊ะรอบข้างล้วนได้ยิน
ลู่เฉินได้ยินเช่นนี้ก็มองไปทางโต๊ะของจางเซิงเฉียว พบว่าโต๊ะนั้นนอกจากมีท่านปู่ของตระกูลจาง หลิว และจั่วแล้ว ยังมีชายชราอีกสามคนนั่งอยู่ ดูท่าทางแล้วคงรู้จักกันมาก
พวกชายชราพวกนี้ แม้ว่าไม่ได้บริหารจัดการธุรกิจในตระกูลแล้ว แต่พวกเขารวมตัวกันยังมีอำนาจพลังใหญ่อยู่
“ดูเหมือนว่าคนที่ใช้สื่อในการแพร่หลายข่าวลือในหลายวันนี้ก็คือชายชราหลายคนนี้แหละ”เมื่อลู่เฉินนึกถึงคำพูดที่จางเซิงเฉียวพูดในงานเลี้ยงวันเกิดของท่านปู่ตระกูลเฉิน จางเซิงเฉียวได้พูดว่าจะรวมตัวกับตระกูลอื่นๆเพื่อบังคับให้ลู่เฉินต้องสละผลกำไรออกมาส่วนหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจสาเหตุที่สื่อมาเล่นงานเทคโนโลยีอี้ฉีในช่วงหลายวันนี้แล้ว
“นึกว่าตระกูลของพวกคุณรวมตัวกันก็จะมีอำนาจมหาศาลหรือ?นึกว่าฉันจะถูกพวกคุณรังแกได้ง่ายๆเหรอ?”ลู่เฉินเหล่ตาขึ้นมา ต้องหาโอกาสเตือนไอ้ชราหลายคนนี้ให้จำ ไม่นั้นพวกเขาก็จะสร้างความวุ่นวายไปเรื่อยๆอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ
“ใช่ แม้กระทั่งกิจกรรมการกุศลแบบนี้ยังไม่เข้าร่วมเลย เทคโนโลยีอี้ฉีไม่คู่ควรที่จะเป็นธุรกิจชั้นนำของเมืองยวี่โจวเรา”ท่านปู่ตระกูลจั่วพูดอย่างเย็นชา
ชายชราคนอื่นๆล้วนพยักหน้าเห็นด้วย
ทีละคนเหมือนมีความแค้นอันใหญ่ยิ่งกับเทคโนโลยีอี้ฉี ต่างรวมตัวกันต่อต้านเจ้าของเทคโนโลยีอี้ฉี
จู่ๆจางเซิงเฉียวก็ลุกขึ้นมาพูดว่า”ทุกท่านกรุณาฟังผมครับ ผมคิดว่าทุกท่านคงรู้ดีกับเรื่องที่เทคโนโลยีอี้ฉีไม่ได้บริจาคเงินในวิกฤตครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในธุรกิจชั้นนำของเมืองหนูโจวเรา แต่เทคโนโลยีอี้ฉีกลับไม่บริจาคงินแม้แต่บาทเดียว แถมเจ้าของเทคโนโลยีอี้ฉีก็ไม่ได้ปรากฏตัวในงานด้วยซ้ำ ขายหน้าของคนยวี่โจวเราจริงๆ
ฉันเสนอให้ทุกคนรวมตัวกันไปต่อต้านเทคโนโลยีอี้ฉีในวันพรุ่งนี้ ถ้าหากเขาไม่ให้คำอธิบายแก่เรา นั้นพวกเราก็ขับไล่มันออกไปจากเมืองยวี่โจว เมืองยวี่โจวของเราไม่ต้องการนักธุรกิจที่ใจดำไร้น้ำใจแบบนี้”
เมื่อเห็นว่าคนที่นำหน้าต่อต้านเทคโนโลยีอี้ฉีเป็นท่านปู่ตระกูลจาง ก็มีชายหนุ่มบางคนปรบมือเห็นด้วยกับคำพูดของเขา ส่วนคนที่ค่อนข้างมีอายุหน่อย กลับได้คิดไตร่ตรองจุดประสงค์ของจางเซิงเฉียว
เมื่อเซ่เว่ยเหาได้ยินคำพูดของจางเซิงเฉียว ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ไม่นานเขาก็ได้ยิ้มออกมา
สายตามอวไปทางลู่เฉิน จู่ๆก็เข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว