พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่175 แกคิดจะทำอะไรกันแน่
บทที่175 แกคิดจะทำอะไรกันแน่
“แกกำลังจะพูดว่าฉันหาที่ตายยังงั้นเหรอ?” ลู่เฉินกระชากคอเสื้อของจางดาวเรนเข้ามาใกล้และตบฝ่ามือลงบนไหล่กว้างสองสามที
ทางด้านจางดาวเรนที่โดนกระชากก็ยังไม่ค่อยรู้สึกตัว เขายังมีอาการมึนงงอยู่เล็กน้อย
ทุกเหตุการณ์ถูกจับจ้องโดยเหล่าพนักงานของบ้านจาง ทุกคนต่างล้วนมองดูเขาถูกประทุษร้ายทุบตี
ว่าแต่ไอ้คนพวกนี้มันเป็นใครกัน ไม่ไว้หน้าตระกูลของเขาเลย มิหนำซ้ำยังตบเขาต่อหน้าของทุกคนอีก ไอ้พวกที่กล้าต่อกรกับเขาแบบนี้ปรากฏตัวอยู่ที่ยวี่โจวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
จางซิงฉวนก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าทุกอย่าง ใจของเขากระตุกวูบทันทีเมื่อเขาเห็นจางดาวเรนถูกตบ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งเหตุการณ์ตรงหน้านี้ได้
จางซิงฉวนครุ่นคิดภายในใจว่า ต่อให้วันนี้ลู่เฉินไม่ตบจางดาวเรน อย่างไรในวันนี้จางดาวเรนก็ต้องถูกเขาตบตีอย่างแน่นอน
หลายต่อหลายครั้งที่ลู่เฉินเปิดเผยตัวตนว่าตนเองคือคนของเซ่ซูเจี๋ย แต่ไอ้ลูกโง่ๆของเขาคนนี้ก็ยังกล้าที่จะไปยุ่งวุ่นวายกับลู่เฉิน ถ้าไม่ให้เขาตบตีจางดาวเรนแล้วจะให้เขาตีใครล่ะ?
หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าจางดาวเรนไม่มีความคิดและความสามารถมากพอที่จะบริหารงานต่อจากเขา ซึ่งหลังจากนี้เขาคงจะต้องกีดกันไอ้ลูกชายตัวดีให้พ้นจากสิทธิในกองมรดกซะแล้ว
ถ้าบริษัทที่เขาลงทุนลงแรงสร้างมาต้องตกไปอยู่ในมือของคนงี่เง่าไม่เอาไหนแบบนี้ แน่นอนว่าไม่ช้าก็เร็วบริษัทที่เขารักต้องพังพินาศลงต่อหน้าเขาแน่ๆ
“ลู่เฉิน ไอ้เหี้ย กูจะฆ่ามึง!” จางดาวเรนจ้องมองลู่เฉินด้วยดวงตาวาวโรจน์พร้อมทั้งตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองโดนลู่เฉินตบต่อหน้าทุกคน
“เพี๊ยะ!”
เสียงฝ่ามือที่ถูกตบลงบนใบหน้าของจางดาวเรนดังขึ้นอีกครั้ง แต่เหมือนกับว่าครั้งนี้ลู่เฉินจะใช้แรงตบมากกว่าครั้งแรก เพราะในตอนนี้บริเวณริมฝีปากของจางดาวเรนเริ่มมีเลือดสีแดงฉานไหลซึมออกมา ดีไม่ดีฟันของเขาอาจจะถูกตบจนล้มหมดแล้วก็เป็นไปได้
“คนอย่างแกมันก็เป็นแค่เศษขยะ แต่กลับกล้าพูดออกมาว่าจะฆ่าฉัน?” ลู่เฉินยิ้มขำพลางพูดเย้ยหยันคนตรงหน้า
ฝั่งจางดาวเรนเมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วน เขาก็จ้องเขม็งไปยังลู่เฉินอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน “ถ้านายมันเก่งจริงอย่างที่ปากว่า พวกเราก็ลองออกมาประชันกันสักครั้งสิ คืนนี้มาเจอกันที่สนามประลอง!”
ถ้าเขาขอให้มังกรตะวันออกและฮันเทียนช่วยเขาจัดการลี่เฉิน ลี่เฉินคงไม่มีชีวิตรอดกลับออกไปแน่นอน!
“ได้ คืนนี้ฉันจะไปที่สนามประลอง ฉันรับรองว่าแกจะพึงพอใจกับมันแน่” ลี่เฉินฉีกยิ้มเยือกเย็นพร้อมปล่อยร่างของจางดาวเรนทิ้งลงกับพื้น
“ตอนนี้ให้คนของนายถอยออกไปก่อนได้ไหม คนเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆแล้ว เห็นทีว่าจะทำให้การจราจรติดขัด พวกนายอย่าเที่ยวหาเรื่องให้เสี่ยวซัวจุนได้ไหม?” ตู้เฟยที่ยืนมอง
เหตุการณ์อยู่นานเริ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นการจราจรบนท้องถนนใหญ่เริ่มชะงักงัน
เสี่ยวซัวจุนเป็นคนกล้าหาญและชาญฉลาด เขามีกลุ่มคนที่กุมอำนาจใหญ่คอยเกื้อหนุนอยู่เบื้องหลัง ขอเพียงแค่ลู่เฉินไม่ทำเรื่องต่างๆให้มันร้ายแรงเกินไป เสี่ยวซัวจุนก็จะปิดหูปิดตาและไม่เข้ามาวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้อย่างแน่นอน และต่อให้เป็นตู้เฟยเขาก็ไม่เกรงกลัวหรอก
ลู่เฉินหันหลังกลับไปมองบนท้องถนนที่ทอดยาวและเต็มไปด้วยรถรามากมาย ก็จริงอย่างที่ตู้เฟยพูดในตอนนี้เขาควรพาคนของเขากลับไปก่อน
เซ่ซูเจี๋ยให้ความช่วยเหลือเขา เพราะฉะนั้นเขาไม่ควรจะทำให้เรื่องพวกนี้มันบานปลายและรุนแรงเกินไป ถ้าหากเรื่องนี้ยิ่งขยายวงกว้าง มันจะยิ่งจะส่งผลกระทบไปถึงเซ่ซูเจี๋ย
“พวกนายสามคนไปซื้อน้ำมันเบนซินมาสิ” ลี่เฉินหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนอยู่
“พวกแกจะทำอะไรกัน? จะเผาตึกงั้นเหรอ?” ตู้เฟยเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เขาคิดว่าตัวเองเป็นคนโหดเหี้ยมพอตัว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าลู่เฉินจะโหดเหี้ยมกว่าเขาอีก
ลูกน้องทั้งสามคนและหลิวจื่อซิ่วที่ยืนอยู่ก็ตกใจไม่แพ้กัน
แค่ทุบทำลายมันคงยังไม่พอ ยังต้องจัดการเผาให้ราบคาบ การกระทำแบบนี้มันโหดเหี้ยมมากๆ เห็นทีว่าถ้านำไฟมาเผาตึกอาคารนี้จริงๆล่ะก็ เรื่องราวของบ้านตระกูลจางจะต้องถูกเล่าต่อกันไปเป็นเรื่องตลกขบขันในยวี่โจวอย่างแน่นอน
พวกเขารีบดึงสติอีกทั้งความตกอกตกใจกลับมาและรีบวิ่งไปซื้อน้ำมันเบนซินเพื่อนำมาให้ลี่เฉินตามคำสั่ง
“จื่อซิ่ว นายขึ้นไปดูข้างบนตึกให้ฉันทีว่าบนนั้นมีพวกตู้นิรภัยอะไรไหม ถ้ามีนายก็จัดการเก็บเอกสารทั้งหมดกลับมาให้ฉัน” ลู่เฉินหันไปสั่งการกับหลิวจื่อซิ่ว
ณ ที่แห่งนี้เปรียบเสมือนแหล่งทำมาหากินที่หล่อเลี้ยงครอบครัวตระกูลจาง แน่นอนว่าในบริษัทจะต้องมีเอกสารลับมากมายซ่อนอยู่ ขอเพียงแค่เอกสารเหล่านั้นมาอยู่ในเงื้อมมือของเขา ต่อไปมันจะกลับมาเป็นตัวทำลายครอบครัวตระกูลจางเอง
“ได้ครับ” หลิวจื่อซิ่วพยักหน้ารับคำสั่งพลางก้าวเท้าเดินมุ่งตรงไปยังตึกใหญ่ตรงหน้า
การขโมยสิ่งของมาเก็บไว้กับตัวก็คงจะเหมือนการเล่นเกมสนุกๆสักเกมหนึ่ง ที่คงไม่ต้องพูดถึงความยุติธรรมและความซื่อสัตย์เพราะมันไม่มีทางมี
สิ่งเดียวที่มันค่อนข้างจะยุ่งยากก็คือต้องค่อยๆหามันอย่างช้าๆ
แต่โชคดีที่เขาเคยทำเรื่องพรรค์นี้บ่อย เขาจึงพอที่จะเดาได้ว่าพวกคนเหล่านั้นจะนำกล่องนิรภัยซ่อนไว้ที่ไหน
ทางด้านของจางซิงฉวนก็ไม่หยุดที่จะต่อสายหาญาติสนิทมิตรสหายที่พัวพันกับครอบครัวตระกูลจางเพื่อขอความช่วยเหลือ ในเมื่อลู่เฉินพึ่งพาเซ่ซูเจี๋ยดังนั้นจำนวนคนเพียงน้อยนิดคงไม่สามารถกดดันหรือทำให้พวกคนเหล่านั้นหวาดกลัวได้ เขาจึงต้องพึ่งพิงบรรดาญาติของตนเองเพื่อต่อกรกับเซ่ซูเจี๋ย
ถึงแม้ในใจของเขาจะเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ ตระกูลจางซึ่งเป็นถึงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่กำลังถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรี ถึงแม้ว่าถ้าตอนนี้ลู่เฉินต้องการคืนดี ก็คงจะยากที่จะกลับไปดีกันดังเดิมได้
ถ้าหากว่าบทสรุปของเรื่องนี้ลู่เฉินไม่ตาย บ้านตระกูลเจียของเขาคงยากที่จะอยู่ที่ยวี่โจวต่อไป
ส่วนทางด้านของจางดาวเรนก็ได้แต่จ้องมองมายังลู่เฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเครียดแค้นและความต้องการที่จะฆ่าลู่เฉินให้ตายจากไป
แต่ในขณะนั้นเองก็มีกลุ่มตำรวจจราจรปรากฏตัวออกมาเพื่อจัดการปัญหาการจราจรติดขัด หาใช่กลุ่มตำรวจที่ครอบครัวตระกูลจางกำลังเฝ้ารออยู่ไม่
“พวกแกอยากตายกันหรือยังไง ทำไมไม่รีบไปแจ้งตำรวจล่ะว่ะ” จางดาวเรนหันไปตะคอกใส่ผู้จัดการ
“ผมแจ้งแล้วครับ ผมแจ้งตั้งแต่พวกเขาเข้ามาล้อมพวกเราไว้แล้ว แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมพวกตำรวจยังไม่มา” ผู้จัดการอธิบายให้จางดาวเรนฟังด้วยความสงสัย พวกเขารอการปรากฏตัวของตำรวจอยู่นานมาก แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว หรือว่าพวกตำรวจจะเห็นว่าเรื่องของครอบครัวตระกูลจางคงไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร?
“แจ้งแล้วยังงั้นเหรอ?”
จางดาวเรนหยุดนิ่งคิดพลางนึกย้อนไปถึงตอนที่พวกเขาไปเยี่ยมชมซุปเปอร์มาร์เกต และตอนที่เขาส่งคนไปทักทายในสำนักงาน
หรือว่า…
ฉับพลันจางดาวเรนก็คิดออกทันทีว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการช่วยเหลือลู่เฉินก็คือเซ่ซูเจี๋ย
ภายในใจเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ สองมือกำหมัดแน่นเพื่อพยายามระงับความโกรธที่กำลังพุ่งทะยาน
ไม่แปลกที่ลู่เฉินกล้าที่จะทุบทำร้ายบริษัทของบ้านเจีย ก็เพราะมันมีเซ่ซูเจี๋ยคอยเป็นเกราะป้องกันให้อยู่นี่เอง
ชั่วแวบหนึ่งที่จางดาวเรนรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาทำพลาดไป
เขารู้สึกใจเป็นอย่างมากที่พาฮันเทียนและพรรคพวกไปทุบทำร้ายซุปเปอร์มาร์เกตของลู่เฉินก่อน
นี่มันเหมือนเขาเข้าไปหาเรื่องให้กับตัวเอง เขาทำให้เรื่องทุกอย่างมันบานปลายเป็นแบบนี้ มันคงไม่ต่างอะไรกับการที่เขากำลังจุดไฟเผาตัวเองเลยใช่ไหม?
“ลู่เฉิน ก่อนหน้านี้มันเป็นฉันเองที่ทำผิดกับนายก่อน ฉันทำให้ซุปเปอร์มาร์เกตของนายได้รับความเสียหาย ดังนั้นฉันจะชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้กับนายเอง” เมื่อนึกรู้ความจางดาวเรนก็พยายามสะกดกลั้นความโกรธของตนเองลง และเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอร้องความเมตตาจากลู่เฉินทันที
ความเสียหายจากซุปเปอร์มาร์เกตของลู่เฉินมีหรือจะเทียบเท่ากับบริษัทของตระกูลจาง ถ้าหากว่าลู่เฉินยังไม่คิดจะวางมือและปล่อยพวกเขาไป เห็นทีว่าครอบครัวของพวกเขาคงจะต้องพบเจอกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
“นายจะชดใช้ให้ฉัน? นายจะชดใช้มันไหวเหรอ?” ลู่เฉินพูดพลางหัวเราะเยาะ
“นายบอกราคามันมาสิ” จางดาวเรนตอบกลับ
“งั้นนายก็ฟังให้ไว้ให้ดีนะ มูลค่าที่ฉันต้องการคือการทำให้ครอบครัวตระกูลจางของแกไม่อยู่บนโลกนี้” น้ำเสียงเคร่งขรึมที่เปรียบเสมือนคำสัตย์สาบานว่าจะไม่มีวันปล่อยครอบครัวตระกูลจางให้หลุดพ้นไปได้
จางดาวเรนชะงักไปเพียงชั่วครู่ และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เริ่มดังขึ้นกว่าเดิม “ลู่เฉิน นายบ้าไปแล้วหรือเปล่า ถ้านายทำให้ครอบครัวตระกูลจางของฉันตายมันจะไปมีความหมายอะไรล่ะ? สุดท้ายมันก็จะเป็นการสูญเสียผลประโยชน์ไปทั้งหมด!”
“สำหรับฉันแล้ว ฉันไม่ได้สนใจกับซุปเปอร์มาร์เกตเล็กๆนั้นหรอก ที่ฉันสนใจคือฉันต้องการจะทำให้พวกแกลงไปอยู่ในน้ำแล้วหายไปต่างหาก” ลู่เฉินเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“แก…….” จางดาวเรนโกรธจนตัวสั่น โกรธจนพูดไม่ออก
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าลู่เฉินจะเป็นคนบ้าคลั่งขนาดนี้ นี่มันบ้าเกินมนุษย์ไปแล้ว
จางดาวเรนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ทำให้เรื่องบ้าๆนี่มันวุ่นวาย ถ้าเขารู้ก่อนหน้าว่าลู่เฉินเป็นคนบ้าคลั่งแบบนี้ เขาก็คงไม่กล้าที่จะเข้าไปวุ่นวาย เขารอให้มังกรตะวันออกเป็นคนจัดการลู่เฉินเองไม่ดีกว่าเหรอ
ในขณะนั้นเองก็ปรากฏร่างลูกน้องของลู่เฉินที่มาพร้อมกับถังน้ำมันเบนซินสามถังใหญ่ เมื่อจางดาวเรนได้กลิ่นฉุนของน้ำมันเบนซิน สีหน้าของเขาก็ซีดลงทันที จิกสายตาเขม็งจ้องมองไปยังลู่เฉิน
“แกคิดจะทำอะไรกันแน่?” ในตอนนี้อารมณ์โกรธของจางดาวเรนกำลังทะยานขึ้นสูง
“รอดูสิ เดี๋ยวก็รู้” ชั่วแวบตาที่ดวงตาของลู่เฉินฉายแววความโหดเหี้ยมออกมาให้ได้เห็น
เมื่อจางดาวเรนเห็นเหล่าบรรดาลูกน้องชองลู่เฉินถือถังน้ำมันเข้าไปในตัวอาคาร สมองของเขาก็ขาวโพลนโดยฉับพลัน
เหล่าบรรดาพนักงานของตระกูลจางต่างก็มีสีหน้าที่ไม่สู้ดีเช่นกัน
ต่อให้พวกเขาจะโง่แค่ไหน ล้วนก็รู้กันดีว่าการถือถังน้ำมันเข้าไปในอาคารนั้นต้องการจะทำอะไร