พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่27 ลู่เฉินโมโห
บทที่27 ลู่เฉินโมโห
“นึกไม่ถึงว่าไอ้นี่มันจะโชคดีขนาดนี้นะ ถ้าผู้บริหารเสี้ยออกหน้าเองเดี๋ยวก็คงไปจัดการดูกล้องวงจรปิด เดี๋ยวช่วยรีบจัดการลบความจำกล้องพวกนั้นด้วยนะ แล้วก็ให้คนเอาเงินไปคืน ระวังอย่าให้ใครจับได้” ฟ่านหมิงออกคำสั่ง
เรื่องนี้พวกเขาเป็นคนจัดฉากขึ้นมาเองเพื่อเล่นงานลู่เฉิน แต่ตอนนี้เสี้ยจุนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟ่านหมิงจำเป็นจะต้องวางมือ
และที่สำคัญคือเขายังไม่ได้รับความวางใจจากผู้ถือหุ้นใหญ่ เขาไม่กล้าพอที่จะสู้กับเสี้ยจุน ถ้าเสี้ยจุนปกป้องลู่เฉินเขาเองก็ไม่มีปัญญาทำอะไร
“แม่งเอ้ย โอกาสดีๆแบบนี้ปล่อยให้หลุดไปได้ เกือบให้ไอ้ลู่เฉินเข้าไปนอนเล่นในคุกได้แล้วเชียว”หยูไห่พูดอย่างไม่สบอารมณ์
“อืม ถ้าเห็นผู้ถือหุ้นรายใหม่มาที่บริษัทรีบแจ้งผมเป็นคนแรก เข้าใจไหม” ฟ่านหมิงพูดกับหยูไห่ แผนการที่เขาจะปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่นั้น เขาได้เตรียมการมาล่วงหน้าแล้ว สองสามวันมานี้เขาวิ่งวุ่นกับเรื่องพวกนี้และเชื่อว่าผู้ถือหุ้นรายใหม่จะเชื่อใจเขาแน่นอน
หยูไห่ตอบรับแล้วรีบไปทำตามคำสั่งของฟ่านหมิง
เมื่อลู่เฉินและอีกสองคนมาถึงห้องทำงานของเสี้ยจุน หวังเหยียนก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เสี้ยจุนฟังอีกหนึ่งรอบ
แต่อยู่ต่อหน้าเสี้ยจุน เธอไม่กล้าพูดชัดเจนว่าลู่เฉินเป็นคนเอาเงินไป
“คุณบอกว่ากระเป๋าเงินทำตกที่ข้างนอก แต่ลู่เฉินเป็นคนเจอตอนนั้นกระเป๋าเงินตกอยู่ในบริษัทของเราเอง ชัดเจนว่าลู่เฉินไม่ใช่คนเอาเงินไป” เสี้ยจุนพูด
ลู่เฉินเป็นถึงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ต่อให้ตายเขาก็ไม่เชื่อว่าลู่เฉินจะขาดแคลนเงินหนึ่งแสนนั่น
“บริษัทติดกล้องวงจรปิดไว้ ไปดูก็น่าจะรู้ว่าใครเป็นคนเอากระเป๋าเข้ามาในบริษัท” ลู่เฉินพูด
ก่อนหน้านี้เขาทำงานอยู่ที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยเขารู้ดีเรื่องกล้องวงจรปิด ทุกจุดล้วนมีการติดตั้ง สืบหาข้อมูลได้ไม่ยาก
“อืม ถ้าอย่างนั้นไปดูกล้องวงจรปิดกัน” เสี้ยจุนพูด
ทันใดนั้นมีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น เสี้ยจุนเอ่ยอนุญาตให้เข้ามาได้ พบว่าเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งเดินถือถุงกระดาษเข้ามา
“ผู้บริหารเสี้ยครับ ตอนที่ผมออกลาดตระเวนบังเอิญไปพบถุงนี้เข้า ข้างในมีเงินจำนวนหนึ่งแสนพอดี ไม่รู้ว่าใช่เงินที่หวังเหยียนทำหายไหม” เขาวางถุงกระดาษลงที่โต๊ะทำงานเสี้ยจุน
“ใช่ๆๆๆ ถุงนี้แหละฉันจำได้ ธนาคารใช้ถุงนี้ใส่เงินออกมาให้” หวังเหยียนเปิดถุงดูแล้วพูดอย่างดีใจ
“ถ้าเป็นเงินของหวังเหยียนก็โล่งใจไป” เจ้าหน้าที่คนนั้นพูดจบก็ออกไป
ลู่เฉินมองไปที่ยามคนนั้นแล้วยิ้ม
“ครั้งหน้าระวังหน่อยแล้วกันนะ เอาละมีอะไรก็รีบไปทำซะ” เมื่อเห็นสีหน้าของลู่เฉินไม่สู้ดีนัก เสี้ยจุนจึงรีบสั่งให้หวังเหยียนกลับฝ่ายการเงินไป
“ขอบคุณค่ะผู้บริหารเสี้ย แล้วก็พี่ขอโทษนะลู่เฉินที่เกือบเข้าใจเธอผิดไป” หวังเหยียนหันไปขอโทษลู่เฉินแล้วเดินออกไป
“คุณชายลู่ไปขัดขาใครในศูนย์รักษาความปลอดภัยหรือเปล่าครับ?” เสี้ยจุนถาม เหตุการณ์นี้ชัดเจนว่ามีคนจัดฉากขึ้นเพื่อใส่ร้ายลู่เฉิน เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามาขวางจึงจำเป็นต้องนำเงินมาคืนให้เรื่องจบลง
“ดูดูแล้วหากเสือไม่แผ่เล็บ พวกมันคงคิดว่าผมเป็นแมวสินะ” ลู่เฉินยิ้ม
เรื่องนี้เขาแน่ใจว่าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับหยูไห่ แต่จะเกี่ยวข้องกับฟ่านหมิงหรือไม่เขาเองไม่แน่ใจเท่าไหร่
เขาไม่มีเวลามาสนใจสองคนนี้เพราะทั้งสองไม่ได้ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลยแม้แตน้อย แต่คาดไม่ถึงว่าทั้งสองจะยังตามรังควานเขาแบบไม่หยุดหย่อน ท่าทางคงต้องสั่งสอนให้บ้างแล้ว
“คุณชายลู่คิดว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงครับ ส่งต่อให้ตำรวจดีไหม?” เสี้ยจุนกำลังเดาความคิดของลู่เฉินที่รู้ตัวการของเรื่องนี้แล้ว
“พวกเราไปดูกล้องวงจรปิดก่อน แล้วส่งต่อข้อมูลให้ตำรวจจัดการเป็นยังไง?” เสี้ยจุนถามต่อ
“กล้องวงจรปิดป่านนี้คงถูกพวกมันลบทิ้งไปแล้วละ ในเมื่อพวกมันเป็นคนบงการก็คงไม่พลาดเรื่องเล็กๆน้อยๆนี้ บางทีตอนที่เกิดเหตุอาจจะตั้งใจปิดกล้องบางตัวที่ใช้เป็นหลักฐานไปแล้วก็ได้
เรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้วกัน ตอนนี้ผมรบกวนคุณไล่จู้สวยกับหยูเจิ้งฝ่ายรักษาความปลอดภัยออกด้วยนะครับ เหตุผลคือพวกเขาแพร่กระจายข่าวลือเรื่องภรรยาของผม แล้วให้ทางตำรวจจัดการสืบหาตัวผู้ปล่อยข่าวลือนี้ด้วย”
ลู่เฉินต้องการลากตัวคนที่แอบปล่อยข่าวเรื่องภรรยาเขาออกมาให้ได้ ส่วนเรื่องก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เอามาใส่ใจแม้แต่น้อย
เสี้ยจุนเมื่อได้ยินก็ตกใจเพราะเขาเองก็กำลังสืบหาตัวคนร้ายอยู่ มองดูแล้วลู่เฉินคงไม่พอใจกับความสามารถในการทำงานของเขาเท่าไหร่นัก
“คุณชายลู่ ผมคิดว่าให้ตำรวจเข้ามามีส่วนร่วมดีกว่า หลังจากได้ตัวคนร้ายแล้วค่อยไล่สองคนนั้นออกไป น่าจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่า” เสี้ยจุนรีบพูดขึ้น
“ตามนั้นก็ได้ ถ้าหากทางคุณไม่มีคนในกรมให้บอกผม ผมจะส่งคนไปออกหน้าเอง” ลู่เฉินพูด
“ครับ ผมจะรีบจัดการเดี๋ยวนี้ ผมรู้จักกับหัวหน้ากรมอยู่ เรื่องแค่นี้เขาคงเห็นแก่หน้าผมบ้าง คาดว่าน่าจะได้รู้ผลในเร็วๆนี้” เสี้ยจุนพูดขึ้นแล้วรีบโทรหาบุคคลดังกล่าว
จากเดิมเรื่องนี้เขาต้องการหาตัวคนร้ายแบบเงียบๆ แต่มองดูแล้วคงไม่ได้เสียแล้ว
……
“แม่งเอ้ย ไอ้ลู่เฉินนั่นยังอยู่ในห้องทำงานของผู้บริหารเสี้ย ผู้บริหารเสี้ยเองก็ไม่กลัวจะส่งผลเสียกับบริษัทหรือไงถึงได้ยอมทำความร่วมมือบ้าๆนี่กับมัน” หยูเจิ้งพูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ พวกเขาออกลาดตระเวนบริเวณตึกทำงาน จึงได้มองเห็นภาพที่ทั้งสองนั่งคุยกันด้วยท่าทางจริงจัง
“เหอะๆ ถ้าเรื่องนี้ได้ยินไปถึงหูผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้าก็คงดี อยากรู้จริงๆว่าเขาจะจัดการกับเรื่องพวกนี้อย่างไร พวกเขาทำเหมือนไม่เห็นผู้ถือหุ้นใหม่ในสายตา” จู้สวยพูดอย่างเยือกเย็น
“ว่าแต่ไอ้ลู่เฉินนี่มันแน่จริงๆ เพื่อผู้บริหารเสี้ยไว้วางใจตัวเอง ถึงกับกล้าส่งเมียไปให้ คนแบบนี้มันยิ่งกล้าได้กล้าเสีย พวกเราอย่าไปยุ่งกับมันดีกว่า” หยูเจิ้งพูดขึ้น
“เออใช่ ไม่รู้ไอ้บ้านั่นมันไปเก่งมาจากไหน ขนาดหัวหน้าเรายังไม่กล้าหาเรื่องมันเลย” จู้สวยพยักหน้าเห็นด้วย นึกถึงเรื่องที่ลู่เฉินต่อยเสี่ยวจิงจนไม่เป็นท่าในครั้งนั้น ทำให้พวกเขาเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา
“ไปกันเถอะ พวกเขาจะออกมาแล้ว” เมื่อประตูในห้องทำงานถูกเปิดออก มีตำรวจสองนายเดินออกมากับพวกเขาด้วย
“พวกคุณสองคนคือจู้สวยและหยูเจิ้งใช่ไหม” ทั้งสองยังไม่ทันจากไป ตำรวจก็เข้ามาหาพวกเขา
ทั้งสองพยักหน้า มองเห็นสายตาของลู่เฉินที่ไม่เป็นมิตร คิดไม่ถึงว่าลู่เฉินจะให้ตำรวจเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้จริงๆ
“พวกคุณสองคนต้องโทษข้อหาแพร่ข่าวลือและใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ ขอให้พวกคุณให้ความร่วมมือไปให้ปากคำที่โรงพักด้วย”
“ลู่เฉิน ไอ้บ้า ไอ้สารเลว คอยดูเถอะ!” ทั้งสองใช้สายตาเคียดแค้นมองไปที่ลู่เฉิน แล้วเดินตามตำรวจไป
ลู่เฉินมองพวกเขาด้วยความสะใจ หลังจากพูดกับเสี้ยจุนไม่กี่ประโยคเขาก็เดินลงตามไป
“ลูกพี่เฉิน พอมีเวลาว่างไหมครับ?” ลู่เฉินกำลังจะเดินออกจากบริษัทก็เห็นเสี่ยวจิงเดินตรงเข้ามา
“มีสิ” ลู่เฉินพยักหน้า ความสัมพันธ์ของเขากับเสี่ยวจิงนั้นเริ่มมาจากการที่ไม่ลงรอยกันมาก่อน สุดท้ายเสี่ยวจิงแพ้เขาอย่างราบคาบและนับถือเขาเป็นลูกพี่
นับจากครั้งนั้นเสี่ยวจิงก็ปฏิญาณตนว่าจะนับถือเขาตลอดไป ในบริษัทนี้ที่จริงก็มีเพียงเสี่ยวจิงคนเดียวที่เห็นว่าเขาเป็นเพื่อน
“ผมเลี้ยงข้าวลูกพี่ได้ไหม พอดีมีบางเรื่องอยากปรึกษาด้วยครับ” เสี่ยวจิงพูดขึ้น
“ได้ ไปกัน” ลู่เฉินพยักหน้าตกลงแล้วเดินออกไป
ทั้งสองคนเดินมากบริษัทได้ไม่ไกลนัก ระหว่างทางเดินซอยหนึ่งพวกเขาเจอชายร่างสูงใหญ่เจ็ดแปดคนดักทางไว้
ที่สำคัญคนคนนั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าเสียด้วย