ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 14 จอมเวทผู้แข็งแกร่งที่สุด (14)
สวินหรานตูได้จัดให้ซูหว่านและซูเจินเจินนอนที่ห้องข้างของเรือนพักเขา แต่ซูรุ่ยที่เป็นถึงแขกพิเศษของเยี่ยจื่ออัน เป็นธรรมดาที่จะมีบ้านพักแขกส่วนตัวของสำนักซั่งชิงไว้พักอาศัย
ยามค่ำคืน แสงจันทร์สว่างจนเกือบมองไม่เห็นดวงดาว
เงาสีดำสายหนึ่งผ่านเข้ามาที่ห้องซูหว่านโดยแทบไม่มีเสียง…
ซูหว่านที่อยู่บนเตียงขยับตัวไปหลายที พลิกตัวอย่างขี้เกียจ วินาทีต่อมา ทั้งร่างก็โดนซูรุ่ยโอบกอดเอาไว้ในอ้อมอกอก “ภรรยา ยังไม่นอนเหรอ”
“อือ”
ซูหว่านพลิกตัวอยู่ในอ้อมอกของซูรุ่ย ยื่นมือออกมาโอบกอดเขาไว้แนบแน่น
ระหว่างทางที่เดินมายังเขาเหมาซาน เธอมีความกังวลใจมาโดยตลอด แวบแรกที่เห็นซูรุ่ยสลบไปแล้วไม่ตื่นในป่า ช่วงเวลานั้น ซูหว่านรู้สึกว่าหัวใจของตนเองหยุดเต้นไปแล้ว เธอ ไม่เคยกลัวและกังวลขนานนี้มาก่อน
การสูญเสียคนคนหนึ่งไป
เธอไม่ใช่ว่าไม่เคยสัมผัสรสชาติแบบนี้ แต่ว่า ซูรุ่ยนั้นต่างกับคนอื่น
เธอเสียเขาไปไม่ได้
รู้สึกถึงความกังวลของซูหว่าน ซูรุ่ยอดใจไม่ได้ที่จะก้มหัวหอมไปที่หน้าผากเธอ
“พอแล้ว ภรรยา เรื่องมันผ่านไปแล้ว คุณไม่ต้องกลัว”
“ใครบอกว่าฉันกลัว”
ซูหว่านที่อยู่ในอ้อมอกซูรุ่ยเงยหน้าขึ้น จ้องมองเขานิ่ง ต่อมา ดวงตาของซูหว่านก็วาบประกายน้อยๆ เธอถึงได้สังเกตเห็นสุนัขสีดำตัวหนึ่งกำลังนอนหมอบพร้อมทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่บนโต๊ะในห้องของตนเอง ดวงตาสุกใสคู่นั้น จ้องมองเธอแบบไม่กะพริบตา
เอ่อ
ซูหว่านรีบลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง หรี่มองไปที่ราชันมังกรดำบนโต๊ะ
“…” ราชันมังกรดำงงงัน
เจ้าจ้องมองข้าผู้เป็นราชันทำไม พวกเจ้าต่อกันเลย คิดเสียว่าข้าไม่มีตัวตนอยู่ก็แล้วกัน~
สังเกตเห็นท่าทางของซูหว่าน ซูรุ่ยก็ลุกขึ้นนั่งตาม “ผมไม่วางใจปล่อยให้มันอยู่ทางโน้นคนเดียว ก็เลยพามาด้วยเลย”
“ก็จริง”
ซูหว่านยกมือคลึงคางเบาๆ “มีเจ้านี่อยู่ก็ยุ่งยาก เอามาต้มกินเลยดีไหม”
มังกรราชาดำได้แต่โต้ตอบในใจ โฮ่ง~ เนื้อของข้าผู้เป็นราชันรสชาติมันเปรี้ยว กินไม่ได้นะ~
เห็นราชันมังกรดำสะบัดอุ้งเท้าหน้าของตัวเองไม่หยุดและมองมาที่ตนด้วยใบหน้าน่าสงสาร ซูรุ่ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “กินไปก็น่าเสียดายแย่ ผมมีแผนดีๆ อยู่แผนหนึ่ง เยี่ยอวี้ฉีบอกว่าบนยอดเขาเหมาซานมีวังจิ่วเซียววั่นฝูอยู่หลังหนึ่ง ผมสงสัยว่าในวังจะเก็บวิชาลับหรือไม่ก็อาวุธเวทที่สืบทอดกันมาของสำนักซั่งชิง ถ้าอิงจากพลังวิญญาณของคุณกับผมในตอนนี้ก็คงยังไม่สามารถขึ้นไปถึงบันไดบนยอดเขาได้ และมีความเสี่ยงที่จะโดนผู้คนสังเกตเห็นตลอดเวลา แต่ผมรู้สึกว่าน่าจะให้มันลองดูได้”
“หือ?”
ได้ยินคำที่ซูรุ่ยพูด ซูหว่านก็อดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียดขึ้นมา วังจิ่วเซียววั่นฝูเป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนักซั่งชิง ในโครงเรื่องเดิมไม่ได้มีการอธิบายรายละเอียดไว้มากนัก แต่สำนักใหญ่ที่สืบทอดมานับพันปีนี้ต้องมีของดีอะไรสักอย่างที่ซ่อนไว้แน่นอน
“ความคิดนี้ของคุณไม่เลว แต่แค่เจ้านี่ดูแล้วมันก็ไม่น่าพึงพานะ”
ซูหว่านอดไม่ได้ที่จะจ้องมองราชันมังกรดำอีกครั้ง เพราะว่าร่างจิตของเขาถูกซูรุ่ยทำร้าย ถึงได้โดนตนผนึกไว้ง่ายขนาดนี้ ถ้าหากพลังจิตของเขาฟื้นฟูกลับมาแล้ว ก็สามารถทำลายเวทผนึกวิญญาณของตนเองได้ตลอดเวลา ถึงตอนนั้น พลังของตนและซูรุ่ยรวมกันน่าจะยังไม่ใช่ศัตรูของราชันมังกรดำนี่ด้วยซ้ำ
ราชันมังกรดำยังคงได้แต่บ่นในใจ ว่ากันว่าพิษที่ร้ายที่สุดก็คือใจของสตรี เสี่ยวเย่ว์เย่ว์ ภรรยาผู้นี้ของเจ้า แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่ร้ายกาจเหมือนอสรพิษ~
รู้สึกถึงสายตาเย็นชาของซูหว่าน แม้ในใจราชันมังกรดำอาจจะไม่พอใจแต่ก็ต้องพยายามแสร้งทำหน้าน่าสงสารออกมา
ในเวลานี้เอง สายตาของซูรุ่ยพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาสบตากับซูหว่านแวบหนึ่ง ขยับตัววาบเดียว ก็ลงมาจากเตียงแล้วอุ้มราชันมังกรดำไว้ ทั้งคนและสุนัขพลันหายตัวไปจากที่เดิม
แอ๊ด
ประตูห้องของซูหว่าน ถูกเปิดออกเบาๆ
“ซูเจินเจิน?”
เสียงผู้ชายที่ไม่ชัดเจนนักแฝงนัยสืบถามอย่างระมัดระวัง เห็นคนบนเตียงไม่ตอบโต้อะไร เงาดำหน้าประตูถึงได้เดินย่องเข้ามาอย่างช้าๆ
คนที่เข้ามาไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือสวินหรานตู
สวินหรานตูในตอนนี้สวมใส่ชุดคลุมของสำนักซั่งชิงตลอดทั้งร่าง มองดูแล้วเหมือนผู้บำเพ็ญเพียรรักอิสระ ทว่าคนที่แอบเข้าห้องนอนผู้หญิงกลางดึกแบบนี้ เป็นลูกผู้ชายจริงหรือเปล่า
“ซูเจินเจิน?”
สวินหรานตูยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงและเรียกซูหว่านเบาๆ อีกครั้ง เหมือนว่าซูหว่านบนเตียงจะหลับสนิทมาก ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรเลย
มองดูใบหน้าอันคุ้นเคยที่อยู่บนเตียงนั้น สายตาของสวินหรานตูก็ค่อยฉายแววเคร่งขรึม
ตอนกลางวัน เขาแค่รู้สึกว่า ‘ซูเจินเจิน’ คนนี้มีความแปลกประหลาดเล็กน้อยเท่านั้น พอตกดึกของทุกวันเขามีนิสัยเมื่อฝึกวิชาเสร็จแล้วจะมานั่งดูปรากฏการณ์ทางท้องฟ้า สวินหรานตูกลับพบว่าหลักโหราศาสตร์ดวงชะตาในชีวิตตัวเองวุ่นวายไปหมด…
ดังเช่นรักษาคนไม่รักษาตน สวินหรานตูดูดวงชะตาให้คนอื่น แต่ที่จริงแล้วเขาคิดคำนวณชะตาชีวิตตนเองไม่ได้สักที ตอนเขายังเด็กก็มีอาจารย์ที่เป็นคนกำหนดชะตาดวงชีวิตให้เขา
ตอนนั้นอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ชีวิตของทุกคนถูกกำหนดไว้แล้ว ตั้งแต่วินาทีที่คุณเกิดมา ก็ได้กำหนดไว้แล้วว่าทั้งชีวิตนี้ควรจะเดินในทางแบบไหน
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ถ้าไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อะไร โชคชะตาชีวิตของคน ดวงชะตาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต
แต่ในคืนนี้ สวินหรานตูพบเจอแต่ความมืดมนในดวงชะตาตนเอง วาบประกายแสงสีเลือดอันโหดร้ายให้เห็นอยู่เลือนราง
นี่มัน…ลางวิบัติ
สวินหรานตูรีบคำนวณชะตาชีวิตของตัวเองทันที แต่น่าเสียดายที่ต่อให้เขาพยายามเต็มที่แล้ว อนาคตที่เห็นก็ยังคงเป็นสีเลือดผืนหนึ่ง เป็นภาพที่น่าตกใจมาก!
ทำไมถึงเป็นแบบนี้
เพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้
ในตอนที่สวินหรานตูอารมณ์สับสน เขาจำเป็นต้องใช้มีดที่พกติดตัวกรีดมือตัวเองเป็นแผล ใช้พลังวิญญาณในตัวของเขาบีบเลือดบริสุทธิ์ในร่างกายออกมาสามหยด จากนั้นก็ใช้วิชาต้องห้ามที่เขาเคยเรียนมาเปิดประตูต้นเหตุแห่งโชคชะตาชีวิต!
ผลลัพธ์ที่ได้…
วิชาลับนี้มีเลือดสดเป็นตัวชักชำ ขีดเป็นเส้นสีแดงยาวออกมาเส้นหนึ่ง ปลายเส้นสีแดงนี้ ก็คือ หน้าประตูห้องของ ‘ซูเจินเจิน’
เป็นเธอเหรอ
เป็นเธอที่มาขัดโชคชะตาชีวิตของตนเอง?
เป็นเธอที่พาวิบัติอันโหดร้ายมาเยือน?
ในตอนนั้น สวินหรานตูที่สติไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวไม่ทันสังเกตเห็นว่า ในห้องตอนนี้ ไม่ได้มีแค่ซูหว่านแค่คนเดียว…
ในยามค่ำคืนที่แสงจันทร์สว่าง ในห้องเหมือนจะเห็นหญิงสาวที่นอนหลับลึกอยู่รางๆ
สวินหรานตูยืนอยู่ข้างเตียงของซูหว่านไม่ขยับไปใหน เขายกแขนขึ้นเบาๆ บนฝ่ามือเหมือนว่าจะมีพลังวิญญาณรวบรวมอยู่ในนั้น
แค่ฝ่ามือเดียว เขาแค่ฟาดลงไปฝ่ามือเดียว หญิงงามก็จะดับสูญ!
“อืม”
ในตอนนี้หญิงสาวที่หลับสนิทอยู่ เหมือนจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เธอพลิกตัวอยู่บนที่นอนอย่างสบายอารมณ์ แสงจันทร์อันนวลเนียนส่องกระทบลงบนหน้าอันเนียนนวลของเธอ ฉาบย้อมเป็นความน่าลุ่มหลงชั้นหนึ่ง
นี่…
คือชีวิตชีวิตหนึ่ง
มือของสวินหรานตูสั่นเบาๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นวีรบุรุษอะไร แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนเลวที่ไม่เห็นค่าชีวิตมนุษย์อย่างแน่นอน
ในขณะที่สวินหรานตูทำใจไม่ได้และคิดวิธีไม่ออก บนเพดานห้องก็มีเสียงเบาๆ ส่งมา
“ใคร”
สวินหรานตูสีหน้าเย็นลง หันตัวกลับอย่างรวดเร็ว กลับมีสุนัขสีดำตัวหนึ่งโดดลงมาจากเพดาน ตกลงมาที่หน้าเขาเต็มๆ
“จิ่วเย่ว์?”
สวินหรานตูขยับตัวอย่างรวดเร็ว เอื้อมมือออกมาอุ้มสุนัขสีดำตัวนั้นเข้ามาในอ้อมอกของตัวเอง
“โฮ่ง~”
เจ้าตัวน้อยสีดำ ทำตัวน่าสงสารและกะพริบตาโตๆ จ้องมองยังสวินหรานตู
สวินหรานตูขมวดคิ้ว “จิ่วเย่ว์ แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง อวี้ฉีเป็นห่วงแกจะตายแล้ว”
“โฮ่ง~”
เจ้าตัวน้อยในอ้อมอกมองตนด้วยสีหน้าอันโง่เขลา สวินหรานตูอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว
ในตอนนี้ ‘ซูเจินเจิน’ ที่อยู่บนเตียงเหมือนจะถูกเสียงร้องของสุนัขรบกวนแล้ว เธอขมวดคิ้วขยับขนตา ดูท่าจะตื่นแล้ว สวินหรานตูเห็นว่าเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ก็รีบอุ้มสัตว์เลี้ยงในอ้อมอกออกจากห้องของซูหว่านอย่างรวดเร็ว
รอจนร่างเงาของเขาหายไปจากระเบียงหน้าห้อง ซูหว่านที่อยู่บนเตียงพลันลืมตาอย่างรวดเร็ว
เงาสีดำสายหนึ่งลงมาจากบนห้อง รอบตัวมีแต่กลิ่นอายเย็นเยียบที่อดกลั้นไว้
“ซูรุ่ย คุณใจเย็นก่อน”
ซูหว่านลุกขึ้นมา พร้อมด้วยโอบกอดซูรุ่ยเบาๆ จากด้านหลัง “แผลบนร่างคุณยังไม่หายดี อย่าทำอะไรซี้ซั้ว เข้าใจไหม”
“ผมรู้”
ซูรุ่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ เก็บกดความรู้สึกแย่ๆ ที่พร้อมทะลักออกมาได้ตลอดเวลาของตัวเองไว้
ตั้งแต่ได้มาอยู่ด้วยกันกับซูหว่าน ต่างฝ่ายต่างมีผลกระทบต่อกัน ซูรุ่ยไม่ได้โหดร้ายและอารมณ์ร้อนเหมือนแต่ก่อน แต่ว่าครั้งนี้ ตอนที่เสี่ยงจะโดนราชันมังกรชิงร่าง เขาได้กลืนกินพลังความมืดจากวิญญาณราชันมังกรเข้าไปบางส่วน มันทำให้ความดุร้ายที่โดนกดไว้ในใจลึกของซูรุ่ยกำลังจะกลับมาสั่นคลอนอีกครั้ง…
ฆาตกรรม เลือดสด
ความตาย ความมืด
พวกนี้…
ก็เหมือนดอกไม้ที่สวยงามที่สุด ไม่มีเวลาไหนที่จะหยุดโปรยเสน่ห์สะกดใจคน
ซูรุ่ยรีบหันตัวมาจูบเข้าที่ริมฝีปากของซูหว่าน มือคู่ใหญ่คู่นั้นก็อดใจรอไม่ได้ที่จะฉีกชุดนอนบนตัวของเธอ
“เสี่ยวหว่าน ให้ผมเถอะ”
“อือ”
ถึงแม้จะรู้ว่าตอนนี้ร่างของตนเองเป็นแค่ร่างวิญญาณ ถ้าหากประสานเข้ากับซูรุ่ย ก็จะดูดพลังหยางในตัวของเขาไม่หยุด แต่ซูหว่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ
บางทีอาจจะมีแค่วิธีนี้ ถึงจะทำให้ซูรุ่ยสงบลงได้ชั่วคราว…