ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 5 ลอยนวล (5)
คืนแรกที่กลับมาถึงคอนโด ซูหว่านก็ทำการรื้อค้นตรวจสอบทั้งบ้านอย่างละเอียด เมื่อมั่นใจแล้วว่าทุกซอกทุกมุมนั้นปลอดภัยดี และทำความคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ดีแล้ว ซูหว่านจึงอาบน้ำอย่างสบายใจได้
สายน้ำอุ่นไหลรดลงมาตามผิวขาวเรียบเนียน ซูหว่านเหม่อมองดูลวดลายรอยสักสีทองจาง ๆ ที่อยู่บนแขนของตัวเอง
มันคือสร้อยข้อมือที่เหลากุ่ยเคยให้เธอไว้ แต่มายังโลกใบนี้ มันกลับกลายเป็นรอยสักติดอยู่บนผิวกาย
ทำไม…
สิ่งของที่เหลากุ่ยให้มาถึงได้ติดตามเธอมายังช่องว่างแห่งกาลเวลาได้ อีกทั้งยังสามารถติดตามเธอไปยังโลกอื่น ๆ ได้อีก
เหลากุ่ย เป็นใคร…กันแน่?
แล้วจะมีความลับอะไรซ่อนอยู่ภายในสร้อยข้อมือเส้นนี้บ้างนะ?
ซูหว่านหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งลงไปกับสายน้ำ
เธอคิดไม่ออก เธอไม่มีเวลาให้มาคิดเรื่องเหลวไหล เธอแค่อยากจะช่วยซูรุ่ยออกมา
ซูรุ่ย นายรอฉันก่อนนะ
นายจะต้องรอฉัน ฉันทำได้ ฉันจะไม่ทำให้นายผิดหวัง…
ตลอดทั้งคืนซูหว่านหลับไม่สนิทนัก เธอฝันตลอดทั้งคืน ในฝันอันแสนวุ่นวายนั้นเธอเห็นซย่าอวี่ซานกับสวีจื่อหมิง และยังมีผู้คนมากมายที่เธอไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ทุกคนต่างมายืนล้อมรอบตัวเธอและกล่าวแสดงความยินดีกับเธอ
สวีจื่อหมิงหยิบแหวนเพชรออกมาจากช่อกุหลาบช่อใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะสวมแหวนนั้นลงบนนิ้วของเธอ เขาบอกว่า “อวี่ซาน แต่งงานกับผมนะ คุณคือฤดูร้อนของผม”
……
ซูหว่านสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาการปวดหัวของเธอแย่ขึ้นอีกครั้ง
ฤดูร้อน…
ฤดูร้อนในความฝัน เป็นบทเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้กับซย่าอวี่ซาน
ทำไมถึงได้ฝันแบบนี้ล่ะ?
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
เสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะความคิดอันสับสนวุ่นวายของซูหว่าน
ซูหว่านหันไปดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว หรือว่าจะเป็นพี่เฉิง? ไม่สิ พี่เฉิงมีกุญแจห้องนี้
ซูหว่านลงมาจากเตียงนอน เปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างหน้าอย่างลวก ๆ
เสียงเคาะประตูยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เคาะอย่างสม่ำเสมอและแรงพอสมควร
ซูหว่านยืนอยู่หน้าบานประตู อดไม่ได้ที่จะลอบดูผ่านช่องตาแมว แว็บแรกที่เธอมองเห็นคือแสงสะท้อนจากตราสัญลักษณ์ของตำรวจ
ตำรวจงั้นหรอ?
ซูหว่านจัดผมของตัวเองให้เข้าที่ แล้วจึงค่อย ๆ เปิดประตูห้อง
“คุณซย่าใช่ไหมครับ?”
ผู้ชายที่เป็นหัวหน้าทีมส่งยิ้มมาให้ซูหว่าน จากนั้นจึงแสดงบัตรประจำตัวเพื่อยืนยันตัวตน “หัวหน้าทีมตำรวจทีมที่หนึ่ง ฝานเคอ”
“ฝานเคอ?”
ซูหว่านเบิกตาโตมองดูผู้ชายแปลกหน้าผิวค่อนข้างคล้ำที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความตกใจ เธอจึงรีบแย่งบัตรประจำตัวของเขามาดู บนบัตรมีรูปภาพของเขาติดอยู่อย่างชัดเจน แล้วยังมีหมายเลขประจำตัวตำรวจด้วย
“ฝานเคอ” คำนี้ถูกพิมพ์อยู่บนบัตรอย่างชัดเจน
“ฝานเคอ นี่มัน…”
ตำรวจหญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างมองดูซูหว่านอย่างงุนงง จากนั้นจึงหันไปมองหน้าหัวหน้าทีมของตัวเองอย่างสงสัย
“อะแฮ่ม”
ฝานเคอเกาหัวตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก “เอ่อ คือ ผมดูไม่เหมือนตำรวจหรอครับ? คุณซย่าถึง…”
“คุณคือฝานเคอ คุณคือฝานเคอจริง ๆ ใช่ไหมคะ? แล้ว…ฝานเคอคนนั้นคือใคร? ไม่ ฉันหมายถึงว่ามีคนอีกคนหนึ่งบอกฉันว่าเขาคือฝานเคอ”
ในระหว่างที่พูดอยู่นั้นซูหว่านก็รีบวิ่งกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือในห้อง เธอรีบหาเบอร์โทรศัพท์ของ “เจ้าหน้าที่ฝาน” แล้วกดโทรออกทันที
“ขออภัยค่ะ เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
ซูหว่านกำโทรศัพท์ในมือของตัวเองแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
“มีคนปลอมตัวเป็นผมไปพบคุณ เขาพูดอะไรกับคุณบ้างครับ? คุณซย่า คุณซย่าครับ?”
ฝานเคอเดินเข้าไปในห้องนอนของซูหว่าน เมื่อเห็นว่าเธอกำลังยืนเหม่อลอยอยู่จึงยื่นมือไปสกิดแขนเธอเบา ๆ
“เอ่อ”
ซูหว่านดึงสติกลับมาและจ้องมองไปที่ฝานเคออย่างจริงจัง “คุณ เป็นตำรวจจริง ๆ หรอคะ?”
“ถ้าปลอมให้เปลี่ยนตัวได้เลยครับ”
ฝานเคอขยับปลายเสื้อที่สวมใส่อยู่ เผยให้เห็นกุญแจมือและปืนตำรวจที่แนบอยู่ข้างเอวของเขา
“คนคนนั้นเขาเคยไปหาฉันที่โรงพยาบาล เขาบอกว่า…เขาบอกว่าเขาชื่อฝานเคอ เขาดูเหมือนตำรวจมาก”
ใช่แล้ว “ฝานเคอ” ทำให้ซูหว่านคิดว่าเขาเหมือนตำรวจมากจริง ๆ เขามีกลิ่นอายพิเศษที่จะมีเพียงตำรวจเท่านั้นที่จะมีได้ ดังนั้นซูหว่านจึงไม่เคยคิดระแวงเลยว่า “ฝานเคอ” คนนั้นจะเป็นตำรวจปลอมหรือไม่
เหมือนตำรวจมาก?
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ฝานเคอถึงกับขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ทางเราจะไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลเองครับ คุณซย่าครับ ที่พวกเรามาในวันนี้เพราะอยากจะขอให้คุณช่วยให้ความร่วมมือในการตรวจสอบคดีหนึ่ง”
“คดีของหลินลู่ลู่กับถงซินเหยาใช่ไหมคะ?”
ซูหว่านได้ยินคำพูดฝานเคอก็อดไม่ได้ที่จะถามกลับไป
“คุณรู้?”
ตำรวจหญิงที่เดินตามฝานเคอเข้ามาได้ยินคำพูดของซูหว่าน จึงมองเธออย่างประหลาดใจ ในสายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
“ฝานเคอ ไม่สิ ฝานเคอตัวปลอมเป็นคนบอกฉัน เขาบอกฉันว่าหลินลู่ลู่กับถงซินเหยาตายไปแล้ว และฉัน…จะกลายเป็นเหยื่อรายที่สาม”
“อ๊ะ!”
ตำรวจหญิงคนนั้นถึงกับอ้ากปากค้างทันทีที่ได้ยินคำตอบของซูหว่าน “หัวหน้าฝาน หัวหน้าฝาน คนคนนั้นจะใช่คนร้ายหรือเปล่า? เขาจะต้องเป็นคนร้ายแน่ ๆ ! คนร้ายปรากฏตัวออกมาแล้วหรอ?”
“หลิวอวี่ ใจเย็น ๆ ก่อน”
ฝานเคอตบไหล่ของหลิวอวี่หลายทีด้วยความรู้สึกเหนื่อยใจ จากนั้นก็หันไปส่งยิ้มปลอบใจให้กับซูหว่าน “เธอเป็นตำรวจฝึกหัดน่ะครับ เพิ่งจบมาใหม่ ๆ ดูพวกหนังจับโจรผู้ร้ายเยอะไปหน่อยก็เลยพูดไปเรื่อย คุณซย่าอย่าถือสาเลยนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็…เตรียมรับมือไว้แล้ว”
ซูหว่านตอบกลับไปอย่างไม่คิดอะไร และหันไปยิ้มให้กับฝานเคอ “ทั้งสองท่านเชิญไปนั่งเล่นที่ห้องรับแขกก่อนสิคะ จะรับเครื่องดื่มอะไรดี เดี๋ยวฉันจะไปหยิบในครัวให้”
“ไม่ต้องยุ่งยากอะไรหรอกครับ ที่พวกเรามาครั้งนี้ หลัก ๆ แล้วก็อยากจะสอบถามคุณซย่าเกี่ยวกับเรื่องราวและข้อมูลของ…สวีจื่อหมิง”
หลินลู่ลู่และถงซินเหยาถูกฆาตรกรรมทีละคน เหยื่อทั้งสองรายต่างก็ถูกกรีดที่ใบหน้าจนเสียหาย บนร่างกายก็มีร่องรอยถูกแทงด้วยมีดหลายครั้ง ลักษณะการตายของทั้งสองนั้นมีความคล้ายคลึงกันมาก จากการสันนิษฐานเบื้องต้นคาดว่าเป็นฝีมือของคนร้ายคนเดียวกัน
ทำไมคนร้ายถึงต้องฆ่าทั้งสองคน? หากไม่นับที่หลินลู่ลู่และถงซินเหยาเป็นดาราสาวเหมือนกันแล้ว สังคมการใช้ชีวิตของทั้งคู่นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ถ้าจะต้องหาจุดที่เหมือนกันของทั้งคู่แล้วล่ะก็ นั่นก็คือทั้งคู่ต่างเคยได้รับการยกย่องจากสวีจื่อหมิงมาก่อน นอกจากนี้ฝานเคอยังพบเจอสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับสวีจื่อหมิงในบ้านของทั้งสองคน จากบันทึกคำให้การของผู้จัดการส่วนตัวและผู้ช่วยของทั้งสองคนแล้ว ยืนยันได้ว่าทั้งคู่ต่างเคยคบหาดูใจกับสวีจื่อหมิงมาก่อน เป็นความสัมพันธ์แบบลับ ๆ ที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
บางทีนี่อาจจะเป็นเบาะแสหนึ่งก็เป็นได้
ฝานเคอติดต่อไปยังครอบครัวตระกูลสวีทันที คนในตระกูลสวีไม่มีใครยอมปริปากพูดเรื่องส่วนตัวของสวีจื่อหมิง สุดท้ายฝานเคอจึงต้องหันไปหาอดีตผู้ช่วยส่วนตัวของสวีจื่อหมิง หยางอี้ ฝานเคอจึงได้ข้อมูลส่วนตัวบางอย่างที่คนภายนอกไม่รู้มาจากหยางอี้ด้วย
อันที่จริงแล้ว คนที่ประกาศต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับดาราในวงการบันเทิงอย่างสวีจื่อหมิง ไม่เพียงแต่เคยคบหากับดาราสาวถึงสามคนเท่านั้น แต่เขายังมีแผนจะแต่งงานกับนักร้องอย่างซย่าอวี่ซานอีกด้วย แน่นอนว่าการแต่งงานในครั้งนี้ได้รับการคัดค้านอย่างรุนแรงจากพ่อแม่ของเขา
หลังจากที่ได้ข้อมูลในส่วนนี้มาแล้ว ฝานเคอก็ไม่ได้มาหาซย่าอวี่ซานในทันทีเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาทำคดีโดยยึดหลักฐานเป็นหลัก ในตอนนี้เขาเพียงสงสัยว่าคดีนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของสวีจื่อหมิงเมื่อครึ่งปีก่อน แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานใดสนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้ของเขาเลย
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ฝานเคอได้ส่งคนไปเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับเหยื่อทั้งสองรายอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันเขาเองก็เปิดดูสำนวนคดีอุบัติเหตุของสวีจื่อหมิงเมื่อครึ่งปีก่อนไปพร้อมกันด้วย
การตายของสวีจื่อหมิง ในตอนนั้นถูกตัดสินว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ รถยนต์ของเขาถูกนำไปตรวจสอบอย่างละเอียดซึ่งไม่พบร่องรอยของบุคคลอื่นแต่อย่างใด ดังนั้นข้อสันนิษฐานที่ว่าเขาอาจถูกลอบฆ่าจึงถูกตัดออกไป
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ฝานเคอก็ยังคงรู้สึกว่าการตายของสวีจื่อหมิงกับคดีฆาตกรรมเหยื่อสองรายนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน ในตอนนี้คดีฆาตกรรมในมือของเขายังไม่คืบหน้าและไม่มีทีท่าว่าจะหาเบาะแสหาตัวคนร้ายได้เลย ทำให้กลายเป็นคดีที่ถูกแขวนอยู่ในทางตัน และตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงลองค้นหาเบาะแสจากตัวของซย่าอวี่ซานเท่านั้น
ถ้าหากว่าเป้าหมายรายต่อไปของฆาตกรคือเธอล่ะก็
……
บรรยากาศภายในห้องรับแขกค่อนข้างอึมครึม
หลิวอวี่มองไปรอบ ๆ ห้องของซูหว่านอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ฝานเคอกลับนั่งยิ้มให้กับซูหว่านอยู่บนโซฟา “คุณซย่าครับ คุณอย่าตื่นตระหนกไปเลยนะครับ พวกเราก็แค่ลองถามไถ่ดูเท่านั้น คำพูดของหลิวอวี่ก็อย่าเก็บไปใส่ใจเลยนะครับ พวกเรากำลังตรวจสอบการตายของหลินลู่ลู่และถงซินเหยากันอยู่ เบื้องต้นหลักฐานที่ได้มายังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการตายของพวกเธอจะเกี่ยวข้องกับสวีจื่อหมิงหรือไม่ แต่ผมอยากจะขออนุญาตล่วงเกินสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวความสัมพันธ์ของคุณกับสวีจื่อหมิง คุณคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ?”
“ฉันไม่ถือสาหรอกค่ะ จื่อหมิงเขาก็ไม่อยู่แล้ว ฉันจะยังถือสาอะไรได้อีกล่ะคะ?”
ซูหว่านหลับตาลง น้ำเสียงฟังดูเศร้าสร้อย “จริง ๆ แล้ว ฉันกับเขาคบกันได้ไม่นาน จื่อหมิงเองก็ไม่ค่อยเล่าเรื่องที่บ้านกับที่ทำงานให้ฉันฟัง เขาชอบฟังฉันร้องเพลง ตอนนั้นเขาไปเช่าสตูดิโออัดเสียงที่หนึ่งเอาไว้โดยเฉพาะ พวกเราไปเดทกันที่นั่นบ่อย ๆ เขาเล่นเปียโน ฉันร้องเพลง มันเป็น…เรื่องราวที่สวยงามที่สุดแล้วล่ะมั้ง”
เอาเถอะ ซูหว่านยอมรับว่านี่เป็นเรื่องราวที่ซย่าอวี่ซานเขียนไว้ในไดอารี่ ตอนนี้เธอก็เป็นแค่คนเล่าเรื่องคนหนึ่งเท่านั้น
เรื่องราวของชายหนุ่มและสาวสวย ช่างเป็นเรื่องที่โรแมนติกเสียจริง แต่น่าเสียดายที่ตอนจบก็เป็นได้แค่เรื่องน่าเศร้าอย่างเรื่องทั่ว ๆ ไปเท่านั้น
ขณะที่ฟังซูหว่านเล่าเรื่องราว ฝานเคอก็เผลอพยักหน้าตามอย่างไม่รู้ตัว เขาได้รู้เรื่องของสวีจื่อหมิงกับซย่าอวี่ซานมาบ้างแล้วจากปากของหยางอี้ สิ่งที่เธอเล่าในตอนนี้กับสิ่งที่ได้ฟังมาจากหยางอี้นั้นค่อนข้างจะตรงกัน
ฝานเคอคิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายใหญ่แห่งไป๋ชวน จะเป็นคนที่มีอารมณ์ศิลปินถึงขนาดนี้
“คุณซย่าครับ สวีจื่อหมิงเขาเคยพูดถึงประสบการณ์ด้านความรักของเขาให้ฟังบ้างไหมครับ อย่างเช่นเรื่องราวของเขากับหลินลู่ลู่ หรือว่า ตอนที่คุณอยู่กับเขามีใครมาหาเขาบ่อย ๆ หรือระรานเขาบ้างไหมครับ?”
“ไม่มีค่ะ”
ซูหว่านส่ายหัวช้า ๆ “ปีนี้ฉันงานยุ่งมาก ทุกครั้งที่อยู่กับเขาก็แค่เวลาสั้น ๆ อีกอย่าง จื่อหมิงเขาไม่อยากให้ใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเราด้วย”
“เอ๊ะ?”
ได้ฟังคำพูดของซูหว่าน ฝานเคอก็ยกมือขึ้นมาลูบคางของเขาด้วยความเคยชิน ในเมื่อตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่กับคนรักคนนี้แล้ว ทำไมเขายังจะต้องกลัวว่าคนอื่นจะรู้เรื่องราวของพวกเขาอีกล่ะ?”
ใครกันคือคนที่เขากลัวและพยายามหลบเลี่ยง?
สวีจื่อหมิงซ่อนความลับอะไรเอาไว้กันแน่?
แล้วความลับนี้จะถูกฝังกลบไปพร้อมกับการตายของเขาจริง ๆ อย่างนั้นน่ะหรอ?