ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 4 ฝืนชะตาคนไร้ค่า (4)
พลังวิญญาณที่รวมตัวกันพุ่งสูงขึ้นไปบนฟ้าได้จับตัวเป็นเมฆวิญญาณรวมกลุ่มอยู่ที่ด้านหลังของจวนซู ไม่เพียงแต่ทำให้ทุกคนในตระกูลซูตื่นตระหนก แต่ยังทำให้เหล่าตระกูลใหญ่ในเมืองเหม่ยเท่อต่างมุ่งมาที่ตระกูลซูเช่นกัน
ซูจั้น อัจฉริยะรูปงามที่สุดของตระกูลซู เขาพึ่งอายุยี่สิบปี ก็จะบรรลุถึงนักอัญเชิญอันดับสามแล้วหรือ
ระดับของนักอัญเชิญเริ่มต้นจากระดับที่เก้าเป็นระดับต่ำสุด จากระดับดับเก้าถึงระดับหกเรียกว่านักอัญเชิญระดับต้น และระดับที่ห้าถึงระดับที่สามเรียกว่านักอัญเชิญระดับกลาง เมื่อสูงกว่าขีดจำกัดของระดับสามจะเลื่อนระดับเป็นระดับที่สองและจะเป็นนักอัญเชิญระดับสูง
ในแผ่นดินใหญ่ตงชวน นักอัญเชิญระดับกลางนั้นเป็นเสาเอกแผ่นดินใหญ่ และนักอัญเชิญระดับสูงล้วนเป็นอัจฉริยะที่มีชีวิตอยู่ในระดับสูงส่งเหนือผู้คน และพวกเขาเป็นผู้ที่มาความหวังมากสุดในการบรรลุขึ้นไปในระดับที่สูงกว่านั้น
ที่เหนือกว่านักอัญเชิญระดับสูงขึ้นไปนั้น นั่นเป็นอีกโลกหนึ่ง
เมืองเหม่ยเท่อเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ในแคว้นเอ้าหลิน และแคว้นเอ้าหลินเป็นหนึ่งในแคว้นที่ไม่โดดเด่นซึ่งอยู่ท่ามกลางแคว้นต่างๆ นับไม่ถ้วนในแผ่นดินใหญ่ตงชวน
เวลานี้ ผู้ที่มีระดับสูงที่สุดของทั้งเมืองเหม่ยเท่อก็คือเจ้าเมือง หลงเชียนจั้น แต่ปีนี้เขาก็มีอายุหกสิบกว่าปีแล้ว และเขาก็อยู่ในตำแหน่งนักอัญเชิญระดับหนึ่งมาตลอด และไม่เคยบรรลุระดับไปถึงระดับที่สูงกว่านี้ได้…
โลกที่สูงกว่านักอัญเชิญระดับสูงจะเป็นอย่างไร คนในเมืองเหม่ยเท่อต่างไม่รู้ แต่ตอนนี้พวกเขาเห็นความหวัง
ในเมืองเหม่ยเท่อมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์อยู่สามคน ได้แก่ หลงหลีจากตระกูลหลง เซียวเหยี่ยนจากตระกูลเซียวและ ซูจั้นจากตระกูลซู
สามคนนี้อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ตอนนี้หลงหลีและเซียวเหยี่ยนต่างอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับที่สี่ สามารถบรรลุไปถึงระดับสามเมื่อใดก็ได้ แต่คาดไม่ถึงก็คือ สุดท้าย ซูจั้นของตระกูลซูก็ชิงหน้าไปก่อน
ณ เวลานี้ อัจฉริยะทั้งสองคน หลงหลีในชุดสีขาวและเซียวเหยี่ยนในชุดสีเขียว ต่างมารวมตัวกันที่เรือนของตระกูลซู และมองไปยังพลังวิญญาณที่อยู่เต็มฟ้า ในตาของเซียวเหยี่ยนวาบประกายในขณะที่มองดูท้องฟ้า
“พี่ใหญ่เซียว”
หลงหลีเด็กสุดในสามคนนี้ และเป็นเรื่องปกติที่จะเรียกเซียวเหยี่ยนว่าเป็นพี่ใหญ่
“หือ”
เซียวเหยี่ยนหันหน้าไปมองหลงหลี ในฐานะนายน้อยเจ้าเมืองเหม่ยเท่อ หลงหลีมักจะทำท่าเย่อหยิ่งในชุดสีขาว แต่ผู้ที่คุ้นเคยกับเขาเท่านั้นถึงรู้ว่า ภาพลักษณ์ภายนอกที่เย็นชานั้นปิดบังภายในที่เป็นคนตลกขบขันเอาไว้~
“เอ๊ะ นี่…”
หลงหลีมองไปที่เซียวเหยี่ยน แล้วก็มองไปที่เรือนด้านหน้าของเขาพูดว่า “นี่ไม่ใช่เรือนของคู่หมั้นของเจ้าหรือ เหตุใดซูจั้นถึงมาบรรลุที่นี่ได้”
เซียวเหยี่ยน “…”
พ่อหนุ่ม ทำไมจุดที่สนใจถึงได้แปลกพิกลเช่นนี้เนี่ย
แต่จะว่าไปแล้ว เซียวเหยี่ยนก็มองซ้ายมองขวา และยังไม่เห็นเงาของซูหว่านในฝูงชน
โดยปกติแล้วในตอนที่กำลังทะลวงระดับนั้น มักจะไม่ควรให้คนอื่นเข้ามาใกล้ และด้วยความสามารถระดับหกของซูหว่าน ย่อมไม่อาจจะปกป้องซูจั้นได้
นี่…
“ท่านผู้นำตระกูลซู คุณหนูสามล่ะ”
เซียวเหยี่ยนสาบานเลยว่าเพียงแค่ถามด้วยความสงสัยเท่านั้น เพราะซูหว่านเพิ่งจะถอนหมั้นกับเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนั้นซูหยาดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจนัก หรือว่าท่านผู้นำตระกูลซูสั่งลงโทษให้นางไปยังสนามที่ฝึกซ้อมของตระกูลซูในยามที่กำลังโกรธอยู่
ซูหยา “แค่กๆ แค่กๆ เรื่องนี้ ซูหว่านน่ะเหรอ ซูหว่านนาง…”
ตูม!
ในเวลานี้ เมฆวิญญาณโดยรอบทั้งหมดก็ระเบิดออกทันที กระบี่วิเศษที่แผ่พลังสีม่วงไร้พลันพุ่งทะลวงผ่านเมฆวิญญาณทะยานไปในอากาศ ท่าทางร้ายกาจน่าเกรงขาม!
นี่คือ…
กระบี่อำมหิตสะท้านโลกา จื่อหมิง!
ในคำเล่าขาน กระบี่เล่มนี้สร้างโดยช่างตีกระบี่เมื่อหลายหมื่นปีก่อนโดยใช้วิญญาณและกระดูกของสัตว์มารนับไม่ถ้วนหลอมขึ้นมา วันที่สร้างกระบี่สำเร็จ คนทั้งเมืองถูกสังหาร เพลิงอำมหิตท่วมฟ้า มีแต่อัจฉริยะผู้เปี่ยมไปด้วยพลังชั่วร้ายเท่านั้นถึงจะอัญเชิญมันออกมาได้ แต่ผู้ที่ควบคุมกระบี่เล่มนั้นได้อย่างแท้จริง นอกจากช่างตีกระบี่ท่านนั้นแล้ว หมื่นปีมานี้ยังไม่เคยปรากฏคนที่สอง…
กระบี่อำมหิต กระบี่อำมหิตที่สะท้านโลกา!
ทันใดนั้น บรรยากาศของเรือนตระกูลซูพลันเปลี่ยนไปทั้งหมด สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม แม้แต่หลงเชียนจั้นก็เตรียมพร้อมจะอัญเชิญศาสตราวิเศษของตนออกมาได้ทุกเมื่อ…
หากซูจั้นไม่สามารถควบคุมกระบี่อำมหิตได้ มันจะเป็นหายนะสำหรับเเมืองเหม่ยเท่ออย่างแน่นอน
ในเวลานี้ กระบี่อำมหิตจื่อหมิงราวกับถูกอัญเชิญออกมาอย่างไรอน่างนั้น ยังแผ่พลังสีม่วงอันดุร้าย เมื่อกระบี่ร่อนลงมา ชั่วขณะนั้นพลังกระบี่พลันแผ่กระจายไปทุกทิศ เศษหินดินทรายต่างปลิวว่อน
เมื่อทุกคนลืมตาขึ้นอีกครั้ง เรือนที่อยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นเศษซาก และสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาคือภาพฉากนี้…
ซูจั้นสวมเสื้อบาง ถือกระบี่จือหมิงในมือข้างหนึ่ง และอีกมือหนึ่งก็โอบเอวหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ไว้
“ภรรยา คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
ขณะที่ฝุ่นกระจายไปทั่ว ซูรุ่ยอดไม่ได้ที่จะใช้พลังของเขาที่กระจายอยู่รอบๆ ปัดฝุ่นออกจากตัวซูหว่าน ในเวลานี้ ผมของนางค่อนข้างยุ่ง ทั้งตัวที่ไร้เรี่ยวแรงก็พิงแขนของซูรุ่ย แต่ร่างกายกลับห่อหุ้มด้วยอาภรณ์อย่างชิด เห็นได้ชัดว่าฝีมือของแม่ทัพซูรวดเร็วแค่ไหน…
ถอดเสื้อผ้าได้จะนับเป็นอะไร รู้จักการสวมใส่เสื้อผ้าสิถึงเรียกว่ามีทักษะ
ข้างนอกมีผู้ชายตั้งมากมาย แม่ทัพซูจะไม่ยอมปล่อยให้ภรรยาของเขาเผยผิวออกมาแม้แต่นิดเดียว
……
ในเวลานี้ ทุกคนที่มารวมตัวกันต่างอึ้งไปหมด ซูจั้นควบคุมกระบี่จื่อหมิงได้จริงๆ ไม่ พูดให้ถูกก็คือ กระบี่จื่อหมิงยอมจำนนให้ซูจั้นอย่างเชื่อฟัง ผู้คนจากตระกูลอื่นในเมืองเหม่ยเท่อต่างรู้สึกไม่ค่อยจะดีนัก…
นั่นคือกระบี่อำมหิตที่สะท้านโลกานะ! ไม่ใช่มีดที่ใช้หั่นเนื้อในครัว!
ในระยะเวลาสามปีนี้ซูจั้นฆ่าสัตว์มารที่เทือกเขาลั่วรื่อไปกี่ตัวกัน พลังชั่วร้ายบนร่างของเขากำราบกระบี่จื่อหมิงได้จริงๆ หรือ นี่มันฝืนลิขิตฟ้าเกินไปหรือเปล่า
ในขณะที่ทุกคนตกตะลึง มีแต่หลงหลีคนเดียวเท่านั้นที่กะพริบตามองไปที่ซูรุ่ยทีหนึ่งซูหว่านทีหนึ่ง…
ไม่มีใครสังเกตเห็นความแปลกปะหลาดระหว่างคุณชายใหญ่กับคูรหนูสามเลยหรือ
“ยินดีด้วยท่านผู้นำตระกูลซู ขอแสดงความยินดีกับท่านผู้นำตระกูลซูด้วย!”
ยังคงเป็นหลงเชียนจั้นที่แสดงปฏิกิริยาแรกต่อหน้าทุกคน เขาพุ่งไปแสดงความยินดีกับซูหยาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มไปทั้งดวง
“ยินดีด้วย! ยินดีด้วย!”
คนอื่นๆ ก็รวมตัวกันเพื่อแสดงความยินดีกับซูหยา ซูหยายิ้มตอบไปพลาง แอบขยิบตาส่งสัญญาณให้ซูเลี่ยงไปพลาง
ซูเลี่ยงรีบลากซูเพ่ยไปข้างซูหว่าน “คุณหนูสามท่านดู…”
“ทำไมหรือ ข้ายืนอยู่ตรงนี้ขวางสายตาหรือ”
ซูหว่านย่อมเข้าใจความหมายของซูหยา ก็แค่กลัวว่าทุกคนจะสังเกตเห็นความสัมพันธ์ของนางกับซูจั้น แล้วจะไม่ส่งผลไม่ดีต่อเขาไม่ใช่หรืออย่างไร
นี่นับเป็นอะไร งานแต่งนางกับเซียวเหยี่ยนก็ถูกยกเลิกไปแล้ว หรือว่านางยังต้องกลัวว่าตระกูเซียวอยู่อีก
“ไสหัวไป”
ซูรุ่ยโบกมือขึ้นทีหนึ่งก็เหวี่ยงซูเลี่ยงและซูเพ่ยออกไปห่างตัวไม่ไกลนัก
“ภรรยา อย่าไปสนใจพวกเขา พวกเรายังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะ หรือเราควรไปที่ห้องของผมต่อ”
ซูรุ่ยวางมือใหญ่บนไหล่ของซูหว่านแล้วกระซิบที่หูของนาง
ว่ากันว่ามีแต่วัวที่เหนื่อยตาย ไม่ใช่นาที่ถูกไถจนเหนื่อย แต่แม่ทัพซูนายเพิ่งจะทะลวงระดับเลยฟื้นเรี่ยวแรงกลับมาได้ แต่นายไม่คิดว่านี่มันผิดกฎเหรอ
“ไม่ ไม่ ไม่”
ซูหว่านส่ายศีรษะอย่างสุดชีวิต “ฉันยอมแพ้ไม่ได้เหรอ”
นางเหนื่อยมาก ไม่ได้หลับมาสามวันสามคืน แทบจะรู้สึกว่าชีวิตนี้จะฟื้นคืนเรี่ยวแรงกลับมาอีกไม่ได้แล้ว
“เด็กดี ยอมแพ้เร็วแบบนี้มันไม่ใช่สไตล์ของคุณนะ”
“ตั้งแต่วันนี้ฉันจะเปลี่ยนสไตล์ไม่ได้รึไง”
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุข และทันใดนั้นบรรยากาศรอบๆ ก็เริ่มแปลกไป
ที่แท้หลังจากที่ทุกคนแสดงความยินดีกับซูหยาแล้วก็นึกถึงเจ้าของเหตุการณ์ที่แท้จริง แต่เมื่อทุกคนหันกลับมามอง ก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง…
คุณชายใหญ่กำลังกอดซูคุณหนูสามใช่ไหมนั่น
นั่นไม่ใช่คู่หมั้นของเซียวเหยี่ยนหรือ
เรื่องที่เซียวเหยี่ยนและซูหว่านกำลังจะถอนหมั้น ในเวลานี้มีเพียงสายตระกูลของสกุลซูเท่านั้นที่รู้ข่าวนี้ และแม้แต่เซียวเหยี่ยนก็ยังไม่มีเวลาพูดคุยกับบิดาของเขาเอง ดังนั้นในเวลานี้คนส่วนใหญ่ในเมืองเหม่ยเท่อต่างก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนยกเลิกแต่งงานแล้ว
ดังนั้น สถานการณ์จึงเปลี่ยนเป็นอีหลักอีเหลื่อในฉับพลัน
ทุกคนต่างมองไปยังซูจั้นที่ทำเหมือนว่าข้างกายไม่มีผู้ใดอยู่ และมองไปที่เซียวเหยี่ยนที่มีสีหน้าซับซ้อน…
ยอดอัจฉริยะทั้งสอง กับสตรีหนึ่งคน
นี่คือการเปิดโหมดมหาสงครามศัตรูความรักครั้งใหญ่ใช่ไหม
“ท่านพ่อ”
ในความเงียบ ซูรุ่ยพูดกับซูหยาว่า “ข้ากับเสี่ยวหว่านไม่ได้หลับกันมาสามวันแล้ว พวกข้าขอกลับห้องไปนอนสักตื่น พวกท่านต่อเถอะ”
ขณะพูด ซูรุ่ยก็ยกมือขึ้นวาดวงเวทอัญเชิญขึ้นมาบนอากาศ และอัญเชิญอินทรีล่าสายลมของตนออกมาทันที สายลมพัดวูบหนึ่ง อินทรีล่าสายลมก็พาซูรุ่ยกับซูหว่านจากไป และหายไปจากสายตาของทุกคน
ผู้คนที่มุงดู “…”
นายน้อยใหญ่ ท่านไม่เล่นตามกติกาอีกแล้วนะ~
ตัวเอกอย่างเจ้าไปแล้ว พวกเราต่อเถอะ ต่อเถอะบ้าต่อไรล่ะ~