ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 5 ฝืนชะตาคนไร้ค่า (5)
ข่าวการกลับมาและการบรรลุของซูจั้นกลายเป็นประเด็นร้อนในเมืองเหม่ยเท่อภายในหนึ่งวัน แน่นอนว่าเรื่องที่ตามก็เป็นเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับซูจั้นและเซียวเหยี่ยนผู้ชายสองคนที่แย่งผู้หญิงหนึ่งคน
อดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่าผู้คนในเมืองเหม่ยเท่อให้ความสนใจเรื่องอื้อฉาวประเภทนี้อยู่มาก พอถึงตอนกลางคืนเรื่องราวของสามคนนี้ก็ได้กลายเป็นกวีตำนานรักอันยิ่งใหญ่ที่ถูกเล่าขานไปทั่วเมือง~
ในเวลานี้ ทั้งตระกูลซูก็ยังคงยุ่งวุ่นวาย การบรรลุของซูจั้นทำให้ศิษย์ของตระกูลมีแรงจูงใจมากขึ้น ในความคิดของพวกเขาตระกูลซูกลายเป็นตระกูลที่ใหญ่และเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนามากที่สุดในเมืองเหม่ยเท่อ ในตอนที่หนุ่มสาวยุ่งอยู่กับการฝึกฝน ซูหยาก็ได้ประชุมกับกลุ่มผู้อาวุโสในห้องประชุมเป็นระยะเวลานาน…
นี่เป็นโอกาสสำหรับตระกูลซูที่จะแซงหน้าตระกูลเซียว และในเวลาเดียวกันก็ยังมีอันตรายอยู่อีกด้วย
เมื่อตระกูลเซียวแต่งงานกับตระกูลจ้าว สองตระกูลรวมกัน ความกดดันของตระกูซูก็จะเพิ่มขึ้นในทันที…
ในขณะนี้ ที่เรือนของของซูจั้น
สิ่งที่แตกต่างจากความยุ่งวุ่นวายของทุกคนก็คือ แม่ทัพซูกำลังนอนพักผ่อนตอนกลางวัน และตอนนี้กำลังกอดภรรยาของตนเองอยู่ริมหน้าต่างมองดูดวงจันทร์
ครอบครัวตระกูลซูเห็นเพียงเมืองเหม่ยเท่อเล็กๆ แต่ซูรุ่ยและซูหว่านรู้ดีว่านี่เป็นเพียงสถานที่สำหรับมือใหม่เท่านั้น เมื่อใดที่ระดับของนางเอกเพิ่มขึ้นมา เมืองเหม่ยเท่อก็จะต้องต้อนรับคลื่นอสูรอีกครั้ง ในสงครามสัตว์มาร หลงเชียนจั้นจะต่อสู้จนเสียชีวิต และก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาได้ใช้ตราประทับของเจ้าเมือง อัญเชิญประกาศิตบรรเทาภัยฉุกเฉินที่ราชวงศ์แคว้นเอ้าหลินมอบให้แก่เจ้าเมืองออกมา
เมื่อป้ายประกาศิตนี้ถูกอัญเชิญออกมาแล้ว ราชนิกุลนักอัญเชิญที่อยู่ใกล้เมืองเหม่ยเท่อที่สุดจะรีบเร่งมายังที่นี่เพื่อให้ความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด
และในระหว่างการปฏิบัติการบรรเทาภัยครั้งนี้ ทั้งซูอู่ เซียวเหยี่ยน หลงหลี และซูจั้นทั้งสี่คนจะได้รับความสนใจจากอาจารย์ที่ปรึกษาของสำนักศึกษาการอัญเชิญราชวงศ์เอ้าหลินผู้มาปฏิบัติภารกิจ ดังนั้นหลังจากคลื่นอสูร ทั้งสี่คนก็ออกจากเมืองเหม่ยเท่อและเริ่มต้นชีวิตในสำนักศึกษา
นี่ถึงจะเป็นหนทางเริ่มต้นที่แท้จริงของนางเอก ในเมืองหลวงของแคว้นเอ้าหลินรวบรวมผู้มีพรสวรรค์อัจฉริยะไว้มากมาย และยังมีสัตว์มารระดับสูงอีกมากมาย ตราบใดที่เจ้ามีเงิน เจ้าก็จะสามารถซื้อสัตว์มารตัวโปรดของตนได้ และแน่นอนว่าเจ้าจะสามารถควบคุมมันได้หรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง
และซูอู่ผู้ครอบครองวิชาบรรพกาลที่พยัคฆ์ขาวจันทร์เงินเป็นผู้สอน นางสามารถใช้วิชาของตนกำราบสัตว์มารและศาสตราเทพทั้งหมดได้ จากนั้นค่อยเปลี่ยนมันให้เป็นศาสตราวิเศษและอสูรวิเศษของตนเอง วิธีการสุดโกงฝืนลิขิตสวรรค์แบบนี้ อยากจะถ่อมตนก็ยากหน่อยนะ~
หลังจากเหตุการณ์ของสวินหรานตู ซูหว่านไม่ต้องการให้พระนางมีโอกาสได้เริ่มต้นอะไรอีก…
ภยันตรายทั้งหมดจำเป็นต้องกำจัดออกไปในตอนที่กำลังแตกหน่อเติบโต
อำนาจทั้งหมดจะต้องอยู่ในกำมือของตนเองตลอดกาล
“คุณจะจัดการกับซูอู่ยังไง”
ซูรุ่ยนั้นไม่เห็นเซียวเหยี่ยนอยู่ในสายตาอยู่แล้ว เพราะตัวเอกอันดับหนึ่งของโลกนี้คือซูอู่
“อย่าพูดให้มันฟังดูแย่ขนาดนั้น นั่นมันน้องสาวคุณนะ สิ่งมีชีวิตอย่างน้องสาวประเภทนี้ ต้องการความรักอย่างมาก”
ซูหว่านลืมตาขึ้นในอ้อมแขนของซูรุ่ย มองดูรูปซูบผอมแต่สง่งามของเขา พลันพูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้านว่า “ฉันคิดว่า พวกเราต้องให้ความรักกับเธอให้ดีๆ ดูแลธอให้ดีๆ อืม เมืองเหม่ยเท่อก็ดีนะ ถ้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตก็ไม่เลว คุณว่าไหม”
“คุณอยากเลี้ยงเธอไว้เหรอ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน แววตาของซูรุ่ยก็วาบประกาย “ชาติก่อนเธอเป็นนักฆ่าหญิง เลือดเย็นไร้ความรู้สึก ระแวดระวังคน และตอนนี้เธอก็มีความสามารถที่คนอื่นไม่มี เธอมีความทะเยอทะยานและความสามารถ จะอยู่ในเมืองเหม่ยเท่อเล็กๆ ได้ยังไง”
“ตอนนี้ดรรชนีทองคำที่ใหญ่ที่สุดของเธอก็คือเสือขาวตัวนั้น พวกเราเริ่มลงมือจากเสือขาวตัวเล็กนั่นก่อนเถอะ!”
สำหรับการจัดการเทพอสูรอะไรพวกนั้น แม่ทัพซูมีประสบการณ์มากที่สุด~
“สามี ภารกิจที่ยิ่งใหญ่นี้มอบให้คุณแล้วนะ~ จุ๊บ~”
ซูรุ่ย “…”
วันที่สอง พระอาทิตย์ส่องแสงจ้า
ซูอู่ตื่นขึ้นมา ยกมือกวาดไปข้างเตียงตามความเคยชินของตน หือ ว่างเปล่า
ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้น ดวงตาของนางสั่นไหว แล้วเสี่ยวไป๋ล่ะ
เสี่ยวไป๋ไอ้หมอนี่ทั้งตะกละทั้งบ้ากาม วันๆ ก็คิดแต่หาวิธีมุดเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของซูอู่ แน่นอนว่าการลอบโจมตีกลางดึกประเภทนี้มันเก่งที่สุด แรกๆ ซูอู่ก็ไม่คุ้นชินที่มีคนมานอนเคียงข้าง แต่เสี่ยวไป๋ตัวกลมๆ เล็กๆ ขนปุกปุยบนตัวก็อบอุ่น เมื่อเวลาผ่านไปนานนางก็คุ้นชินแล้วที่มีสิ่งมีชีวิตมานอนข้างเตียงด้วย แต่วันนี้เสี่ยวไป๋กลับไม่อยู่
“เสี่ยวไป๋? เสี่ยวไป๋!”
ซูอู่กระโดดลงจากเตียง ตะโกนเสีงสูงสองสามครั้ง ก็มีคำตอบเสียงดังฟังชัดลอยมาจากนอกประตูในทันที “คุณหนู เสี่ยวไป๋ถูกนายน้อยใหญ่อุ้มไปแล้ว”
หือ
พี่ใหญ่หรือ
ซูอู่ตกตะลึง ตั้งแต่ซูจั้นกลับมา พี่น้องยังไม่ได้คุยกันอย่างเป็นทางการ ซูอู่ก็กลัวว่าซูจั้นจะรู้ว่านางเป็นตัวปลอม จึงอยู่เงียบๆ มาโดยตลอด ถ้าซูจั้นไม่มาหานาง นางก็ไม่เป็นฝ่ายเป็นคนไปหาผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายคนนั้นแน่
แต่กลับกันกับคนรับใช้ในเรือนเหล่านั้น เมื่อเห็นซูจั้นกลับมา ท่าทีของพวกนางที่มีต่อซูอู่ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
อย่างไรก็ตาม จะว่าไปแล้ว เหตุใดพี่ใหญ่ถึงได้เอาตัวเสี่ยวไป๋ไปเล่า
ซูอู่คิดไปคิดมาก็ปล่อยวางไม่ได้ นางจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าและรีบไปที่เรือนของซูจั้น ยังไม่ทันได้เข้าประตู นางก็เห็นควันลอยขึ้นมาตรงลานบ้าน คิดไม่ถึงว่าซูเลี่ยงจะก่อกองไฟย่างเนื้อที่ลานบ้านตั้งแต่เช้า
เดี๋ยวนะ ย่างเนื้อ?
ซูอู่มองไปยังวัตถุน่าสงสัยที่ทาน้ำมันบนกองไฟ อดไม่ได้ที่จะนิ่งไป “ซูเลี่ยง เจ้ากำลังย่างอะไรอยู่”
“ย่างเนื้อของสัตว์มารขอรับ นายน้อยใหญ่อยากกิน คุณหนูอยากกินไหมขอรับ”
ซูเลี่ยงได้ยินคำถามของซูอู่ ก็ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น ต้องบอกว่าการย่างเนื้อมันเป็นทักษะที่พิถีพิถันมาก ในช่วงสามปีที่เทือกเขาลั่วรื่อตนได้ย่างเนื้อของสัตว์มารจำนวนไม่น้อย สัตว์มารระดับยิ่งสูงเนื้อยิ่งอร่อยถูกปาก ในเนื้อยังมีพลังวิญญาณแฝงอยู่ด้วยสุดยอดไปเลย~
สัตว์มาร?
“ใช่เสี่ยวไป๋ใช่หรือเปล่า พี่ใหญ่บอกให้เจ้าย่างเสี่ยวไป๋หรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูเลี่ยง ซูอู่ก็รีบวิ่งเข้าไปทันที พลันคว้าคอเสื้อซูเลี่ยงเอาไว้ ในดวงตาทรงผลซิ่ง (แอปริคอต) เต็มไปด้วยความอาฆาต
ซูเลี่ยง “…”
เสี่ยวไป๋คือตัวอะไร หรือว่าเป็นสุนัขที่นายน้อยใหญ่พากลับเรือนมาเมื่อเช้านี้
“เสียงเอะอะอะไรกันตั้งแต่เช้า”
และในเวลานี้ ทันใดนั้นประตูห้องนอนของซูจั้นก็ถูกผลักเปิดออก ซูรุ่ยในชุดสีดำยืนอยู่ที่ประตูด้วยใบหน้าเย็นชา ในมืออุ้มเสี่ยวไป๋อยู่
“นายน้อยใหญ่ ฮืออออ นายน้อยใหญ่ช่วยด้วย~”
เมื่อเห็นร่างของซูรุ่ย ซูเลี่ยงก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา จู่ๆ คุณหนูใหญ่ก็กลายเป็นคนน่ากลัวนัก นายน้อยใหญ่ช่วยข้าด้วย~
ในเวลานี้เอง ซูอู่เห็นเสี่ยวไป๋นอนอยู่ในอ้อมแขนของซูรุ่ยอย่างเชื่อฟัง นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก “พี่ใหญ่ เสี่ยวไป๋อยู่ที่นี่กับพี่นี่เอง ข้ามาตามหามัน”
“หือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูอู่ ซูรุ่ยก็ลืมตาขึ้นพูดว่า “ซูอู่ ข้าได้ยินซูหว่านบอกว่า ตอนนี้เจ้าสามารถอัญเชิญกระบี่เหล็กได้แล้วหรือ เจ้าก็นับว่าเป็นนักอัญเชิญระดับต้นแล้ว จากนี้ไปพี่ใหญ่จะค่อยๆ ฝึกเจ้า สัตว์อสูรระดับต่ำตัวนี้ไม่เหมาะกับเจ้า พี่ใหญ่ช่วยเจ้าหาตัวที่ดีกว่ามาให้แล้ว พอถึงเวลาข้าจะใช้พลังวิญญาณช่วยเจ้าทำพันธะสัญญาอัญเชิญให้สำเร็จ จากนี้ไปจะไม่มีใครในตระกูลซูกล้าดูถูกเจ้าอีก”
ซูอู่ “…”
ข้าขอบคุณท่านมากจริงๆ~
“พี่ใหญ่ ข้า ข้าชอบเสี่ยวไป๋มาก ข้าไม่อยากได้อสูรอัญเชิญตัวอื่น ข้าต้องการแค่มัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ดวงตาของซูอู่ก็วาบประกาย พลันแสร้งทำเป็นไม่เต็มใจในทันที
ทักษะการแสดงของนักฆ่ายังคงยอดเยี่ยมและไม่มีข้อบกพร่องใดๆ เมื่อเห็นท่าทางอาลัยอาวรณ์ของซูอู่ ซูรุ่ยพลันโกรธทันที “นางหนูน้อย ไยเจ้าถึงไม่เข้าใจความหวังดีของพี่ชายเจ้า เจ้ายอมถูกผู้อื่นรังแกหรือ น้องสาวของข้าซูจั้นจะทำตัวไร้ค่าได้เยี่ยงไร สัตว์วิเศษระดับต่ำเช่นนี้เจ้ายังอาลัยอาวรณ์ เป็นมีเมตตาอะไรเยี่ยงนี้ สัตว์วิเศษไร้ประโยชน์เช่นนี้ เจ้าจะเอามันมาทำอะไร ข้าจะฆ่ามันเดี๋ยวนี้!”
ขณะพูด ฝ่ามือของซูรุ่ยก็เริ่มรวบรวมพลังวิญญาณ และเมื่อเห็นเขากำลังจะอัญเชิญกระบี่จื่อหมิง ซูอู่ก็เกิดความรู้สึกประหม่าขึ้นทันที นางรู้ว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูจั้นเลย และนางก็ไม่กล้าเผยตัวต่อหน้าเขา ดังนั้น ณ เวลานี้ นางทำได้แค่แสดงความอ่อนแอให้เห็น
“พี่ใหญ่ อย่านะ! พี่ใหญ่ ข้าสำนึกผิดแล้ว!”
ซูอู่ตะโกนออกขัดจังหวะการเคลื่อนไหวของซูรุ่ย “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการจัดการของพี่ใหญ่ ได้โปรดอย่าทำร้ายเสี่ยวไป๋เลย ถึง ถึงแม้ว่ามันจะไร้ประโยชน์ แต่ข้าก็ชอบมันมาก พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ดีที่สุด พี่ให้ข้าเก็บมันไว้เป็นสัตว์เลี้ยงได้หรือเปล่า”
“แค่ของเล่นก็ถึงขั้นเสียใจขนาดนี้ ตอนนี้ข้ายังคืนให้เจ้าไม่ได้ รอให้เจ้าเลื่อนระดับเป็นนักอัญเชิญระดับกลางเมื่อใด ค่อยมาคุยกับข้า”
พูดพลาง ซูรุ่ยก็หันหลังกลับด้วยความเย็นชา และอุ้มเสี่ยวไป๋กลับไปที่ห้องของเขาโดยตรง
เมื่อเห็นพี่ชายพูดกับนางอย่างเฉียบขาด ซูอู่ที่ลานบ้านก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และคิดได้ว่าตอนนี้นางเป็นนักอัญเชิญระดับแปดแล้ว แม้ว่าจะต้องใช้เวลาสักระยะในการเลื่อนระดับเป็นระดับห้า แต่นั่นก็ไม่ใช้เรื่องยุ่งยากอะไร
และตอนนี้มีซูจั้นก็จัดหาทรัพยากรให้กับตัวนางเอง การที่ตนเองจะเลื่อนระดับก็เป็นเพียงเรื่องที่ใช้แรงแค่ครึ่งเดียวก็ประสบความสำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ
หลังจากคิดไปคิดมา ซูอู่ยังคงเชื่อฟังคำพูดของซูรุ่ย และหันหลังเดินออกจากเรือนของเขา
หลังจากที่ซูอู่จากไป ซูรุ่ยและซูหว่านก็อุ้มเสี่ยวไป๋มาวางไว้บนโต๊ะ และแม่ทัพซูก็ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ “เก็บมันไว้ก็เป็นภัยเปล่าๆ ภรรยา ถ้าอย่างนั้นเราย่างกินมันดีไหม ฝีมือการย่างเนื้อของซูเลี่ยงสุดยอดมากนะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ซูหว่านยังไม่ทันได้ตอบ เสี่ยวไป๋ที่อยู่บนโต๊ะก็ลืมตาขึ้นทันที “พวก พวกเจ้าฆ่าข้าไม่ได้ พวกเจ้ารู้ไหใว่าข้าเป็นใคร”
“แล้วเจ้าเป็นใครล่ะ”
ซูหว่านก้มลง ใช้นิ้วลูบหัวเล็กๆ ของเสี่ยวไป๋ “หรือว่าเจ้าจะเป็นอสูรเทพที่ถูกผนึกไว้ตัวหนึ่ง ในหัวของเจ้ามีเคล็ดวิชาบรรพกาลที่สาบสูญแล้วล่ะ”
เสี่ยวไป๋ “…”
เจ้ารู้ได้อย่างไร
ในเวลานี้ ดวงตาของเสี่ยวไป๋ก็เริ่มตื่นตระหนกทันที “เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงรู้ตัวตนอสูรเทพของข้า”
“แหม”
ซูหว่านอดไม่ได้ที่จะออกแรกตบหัวเล็กๆ ของเสี่ยวไป๋เบาๆ “คิดว่าตัวเองเป็นอสูรเทพจริงหรือ เจ้าฟังนิทานจากเหล่ากวีเยอะไปแล้ว พอแล้วๆ เจ้าดูไปแล้วก็น่ารัก จากนี้ไปก็อยู่ที่นี่เฝ้าประตูให้เราเถอะ~ ก็ถือว่ายังเป็นสัตว์ที่มีประโยชน์”
เสี่ยวไป๋ “…”
ข้าเป็นถึงอสูรเทพผู้ยิ่งใหญ่ กล้าเอาข้าไปเปรียบกับสุนัขเฝ้าประตูอย่างนั้นหรือ
“ข้าไม่เฝ้า ข้าไม่ใช่หมา”
อสูรเทพตัวหนึ่งรู้สึกว่าเขาถูกทำร้ายศักดิ์ศรีของตนเองแล้ว แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็ขึงขังขึ้นมา
“ใช่ เจ้าไม่ใช่สุนัข เจ้าเป็นแค่อสูรวิเศษระดับต่ำที่รูปลักษณ์เหมือนสุนัข”
ซูหว่านอดไม่ได้ที่จะดูถูกมันอีกครั้ง “เอ้อ จะว่าไปเจ้าก็เป็นสัตว์แปลกตัวหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะพูดได้ด้วย ทุกวันนี้มีอสูรวิเศษที่พูดได้ไม่มากนัก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าเป็นสัตว์ชนิดไหน ถ้าอย่างนั้นเรามาผ่าท้องดูกันเถอะ”
“เอ้ยๆ พวกเจ้าอย่าเข้ามานะ! ข้า ข้า…ข้าจะไปเฝ้าประตู พอใจแล้วหรือยัง”
อสูรเทพบางตัวถึงกับพูดไม่ออก ที่เรียกว่า ‘เสือออกจากป่าไปอยู่ตามบ้านเรือนจะถูกสุนัขรังแก’ นั้นเป็นอย่างนี้หรือเปล่านะ!
ตอนนี้พลังวิญญาณของมันถูกผนึกเอาไว้ หึหึหึ รอให้ซูอู่เลื่อนระดับเป็นนักอัญเชิญระดับห้าเมื่อใด ก็จะสามารถใช้พลังวิญญาณของนางปลดผนึกแรกของอสูรเทพอย่างข้าได้ พอถึงเวลาพวกเจ้าก็จะรู้สึก~