ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 4 อนุภรรยาขุนศึก (4)
เมื่อเหยาไป๋เซียนและเจินหลานจากไปแล้ว ซูหนิงก็ถลันวิ่งเข้าไปที่ข้างเตียงของซูหว่าน ริมฝีปากสั่นเทา มองดูซูหว่านด้วยความตื่นตระหนก “ท่านสะใภ้ใหญ่ ท่านต้องช่วยบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวไม่อยากตาย ชีวิตนี้บ่าวต้องการเพียงแค่ได้อยู่ข้างกายท่าน”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว”
ซูหว่านลูบหัวซูหนิงเบาๆ “ข้าช่วยเจ้าแน่ เจ้าอย่ากังวลไปเลย เรื่องที่ข้าสั่งเจ้า เจ้าจงจำไว้ว่าไปทำให้ดี ข้าย่อมปกป้องดูแลเจ้าแน่”
ซูหนิงเงยหน้าขึ้นและเห็นแสงสว่างในดวงตาของซูหว่าน นางขบริมฝีปากและพยักหน้าช้าๆ “บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านสะใภ้ใหญ่วางใจเถอะ”
“ดี เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ บอกคนอื่นอย่าเข้ามารบกวนข้า ข้าจะนอนพักสักหน่อย”
ซูหว่านโบกมือขึ้น ชูหนิงก้าวถอยหลังออกไปอย่างเชื่อฟังทันที และหลังจากที่นางจากไป ซูหว่านก็ปลดผ้าม่านของเตียงไม้ลง นั่งขัดสมาธิบนเตียง ค่อยๆ ปรับลมหายใจ
ซูหว่านได้รับความทรงจำของจ่างกงจู่ตอนอยู่ในแคว้นหลวนเฟิ่ง นางย่อมได้เรียนรู้วิทยายุทธ์ของแคว้นหลวนเฟิ่งเป็นธรรมดา จ่างกงจู่ได้เรียนรู้วิทยายุทธ์สำหรับสตรีโดยเฉพาะ หนึ่งในนั้นก็คือการควบคุมลมปราณภายใน ซูหว่านจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ปรับลมปราณทั้งหมดที่ซูรุ่ยถ่ายทอดเข้าไปในร่างกายของตนเองให้มั่นคง ซึ่งมันจะช่วยให้นางสามารถฟื้นฟูร่างกายที่แตกสลายได้อย่างช้าๆ
……
เมื่อซูหว่านลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว หน้าผากของนางมีเหงื่อออกเต็มไปหมด แต่ร่างกายกลับมีกำลังวังชามากกว่าเดิม
ซูหว่านม้วนเก็บผ้าม่านรอบเตียงขึ้น นางจะลุกออกจากเตียงและเช็ดหน้าผากตัวเองด้วยผ้าขนหนู แต่ในขณะนั้นเอง ประตูห้องด้านหลังก็ถูกผลักเปิดออกเป็นช่องว่างเล็กๆ
ซูหว่านหรี่ตาลง แสร้งทำเป็นไม่เห็น นางลุกจากเตียงช้าๆ แต่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว นางใช้ฝีเท้าเดินเหมือนคนใจลอยก่อนจะล้มลงกับพื้น
“สะใภ้ใหญ่!”
ในตอนนั้นเอง ประตูห้องก็ถูกผลักออก ปรากฏเป็นร่างผอมบางรีบพุ่งเข้ามา
เมื่อซูหว่านลืมตาขึ้น ก็พบกับดวงตาใสสะอาดไร้ที่ติแต่ก็มีความกังวลมากเป็นพิเศษ
“สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนโยนน่าฟัง
ซูหว่านยิ้มอ่อนๆ ให้กับหนุ่มน้อยผู้นั้น “เป่ยเชา เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่อีก หากท่านน้าหูรู้เข้าเจ้าได้โดนเฆี่ยนอีกแน่!”
อินเป่ยเชา ลูกของอนุภรรยาตระกูลอิน ลูกของหูฮุ่ยเย่ว์อนุภรรยาของอินซุ่น ลำดับอาวุโสในบ้านเป็นบุตรชายลำดับสาม
เมื่อได้ยินซูหว่านกล่าวถึงท่านแม่ของตน ใบหน้าของอินเป่ยเชาก็หม่นลง “นางก็รู้จักแต่ดูงิ้ว เล่นไพ่นกกระจอก ไม่เช่นนั้นก็ตีข้าด่าข้าทั้งวัน นางไม่ใช่ท่านแม่ของข้า! สะใภ้ใหญ่ ต่อจากนี้ไปท่านมาเป็นท่านแม่ของข้าดีหรือไม่”
ซูหว่าน “……”
พ่อหนุ่มน้อย นายช่างไร้เดียงสานัก
“เจ้าเด็กโง่ พี่สะใภ้ก็คือพี่สะใภ้ ท่านแม่ก็คือท่านแม่ สองอย่างนี้ต่างกันนะ”
ขณะที่พูด ซูหว่านก็ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างช้าๆ โดยมีอินเป่ยเชาคอยช่วยพยุงไว้ “พี่สะใภ้ร่างกายอ่อนแอและป่วยหนัก ท่านแม่ของเจ้าไม่เต็มใจให้เจ้ามาเยี่ยมข้า ก็เพื่อตัวเจ้าเอง นางกลัวว่าข้าจะแพร่เชื้อให้เจ้า”
“หึ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน อินเป่ยเชาก็หรี่ตาลง เขาทำเสียงพึมพำออกมาเบาๆ “ไม่ใช่เพราะเหตุนี้เสียหน่อย เป็นเพราะนางกลัวท่านแม่ใหญ่ พี่สะใภ้รอง แล้วก็…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ อินเป่ยเชาก็เงยหน้าที่อ่อนวัยขึ้นมา มองหน้าซูหว่านด้วยความโกรธเคือง “พี่สะใภ้ใหญ่ เย่ว์ซิ่วคนในบ้านพี่สะใภ้รองนั่นเลวที่สุด นางพูดกับคนอื่นไปทั่วว่า…นางพูดว่าท่านเป็นนางจิ้งจอกที่ล่อลวงพี่รอง และยังพูดอีกว่าพี่ใหญ่โดนท่านฆ่าตาย! นางทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร เห็นได้ชัดว่าพี่สะใภ้ใหญ่มิได้ทำสิ่งใดเลย ตอนที่พี่ใหญ่ยังอยู่พวกท่านดีกับข้าที่สุดแล้ว ในตอนที่พี่ใหญ่ยังอยู่ก็พูดว่าพี่สะใภ้ใหญ่ดีที่สุดในโลก แต่เหตุใดเมื่อพี่ใหญ่ไม่อยู่แล้วพวกนางถึงรุมรังแกท่านเช่นนี้ หากพี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ละก็ เขาต้องไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกท่านเช่นนี้แน่!”
เมื่อได้ยินคำพูดของอินเป่ยเชา ซูหว่านก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
อินเป่ยเย่ว์
ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม คุณชายตระกูลอินที่ด่วนจากไปตั้งแต่เยาว์วัยนั้นช่างอ่อนโยนมีน้ำใจและมีทรัพย์ปัญญาอันเป็นเลิศ น่าเสียดายที่สวรรค์คงอิจฉา ชายผู้หล่อเหลาและโดดเด่นเช่นนี้จึงได้จากโลกนี้ไปเร็วนัก
เขาช่างเป็นคนแสนดีเสียจริง น่าเสียดายที่คนที่เจ้าของร่างเดิมพบเข้าก่อนไม่ใช่เขา แต่เป็นอินเป่ยเกอ
“เฮ้อ”
ซูหว่านถอนหายใจออกมาเบาๆ โลกของผู้ใหญ่ช่างซับซ้อนยุ่งเหยิงอะไรเช่นนี้
ในสกุลอิน จะมีสักกี่คนที่กล้าพูดว่าตนเองบริสุทธิ์ ไม่ละอายใจหรือ
นอกจากเจ้าของร่างเดิมแล้ว คนที่ใสสะอาดและจริงใจที่สุดในบ้านหลังนี้ก็คืออินเป่ยเชา เด็กชายอายุสิบสามปีที่มีหัวใจที่บริสุทธิ์
หูฮุ่ยเย่ว์แม่ของอินเป่ยเชา เดิมทีนางเป็นเสาหลักในคณะละครแห่งหนึ่งในเมืองเหลียวเฉิง ครั้งหนึ่งมีคนเชิญให้นางไปฉลองวันเกิดแก่อินซุ่น อินซุ่นถูกใจนางตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ต่อมาเขาจึงเก็บสาวงามไว้ข้างกายในฐานะอนุภรรยาของตนอยู่ในจวนสกุลอิน
ในฐานะผู้บัญชาการขุนศึกที่รับผิดชอบดินแดนท่านหนึ่ง อินซุ่นผู้นี้ใจโหดมือเหี้ยมและเจ้าอารมณ์คุ้มดีคุ้มร้าย
เขาเคยพาอนุภรรยาเข้าบ้านมาถึงแปดคน แต่ตอนนี้กลับมีเพียงหูฮุ่ยเย่ว์เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ และยังให้กำเนิดบุตรชายแก่อินซุ่นได้สำเร็จ
กว่าจะได้ลูกชายคนนี้มานั้นไม่ง่าย ถึงแม้ว่าอินเป่ยเชาจะเป็นลูกของอนุภรรยาของตระกูลอิน แต่ก็ไม่เป็นที่โปรดปราน แต่ในช่วงครึ่งหลังของชีวิตหูฮุ่ยเย่ว์ก็หวังจะพึ่งพาบุตรชายของนาง
ที่เรียกกันว่ารักวัวให้ผู้รักลูกให้ตีนั้น หูฮุ่ยเย่ว์คาดหวังว่าบุตรชายของนางจะสามารถเอาชนะบุตรชายทั้งสองของฮูหยินใหญ่ได้ แต่ลูกของนางกลับจงใจไม่สนใจ ไม่ยอมเรียนรู้สิ่งใดเลย
ด้วยเหตุนี้ การทุบตี ด่าทอ และการลงโทษ ก็กลายมาเป็นเรื่องปกติในชีวิตของอินเป่ยเชา
เมื่อเจ้าของร่างเดิมแต่งงานเข้ามาในสกุลอิน ก็มีครั้งหนึ่งที่นางไปเจอหูฮุ่ยเย่ว์กำลังเฆี่ยนอินเป่ยเชาด้วยแส้ หญิงสาวผู้มีจิตบริสุทธิ์ดีงามย่อมก้าวเข้าไปปกป้องทันที เมื่อได้รู้ว่าหูฮุ่ยเย่ว์สั่งสอนลูกชายของนางเพราะเรื่องการบ้าน ซูหว่านจึงเสนอตัวช่วยชี้แนะให้อินเป่ยเชาด้วยตัวเอง
ในตอนที่อินเป่ยเย่ว์ยังคงมีชีวิตอยู่นั้น ซูหว่านยังนับว่ามีสถานะอยู่ในสกุลอิน หูฮุ่ยเย่ว์รู้ว่าซูหว่านกลับมาจากเรียนรู้วิชาต่างแดน มีความรู้ก็มาก นางจึงยินดีให้อินเป่ยเชาและเหล่าพี่ชายพี่สะใภ้ของนางใกล้ชิดด้วย
และก็ในเวลานั้นเช่นกัน ที่เจ้าของร่างเดิมและอินเป่ยเชาได้สร้างมิตรภาพระหว่างพี่สาวน้องชายขึ้นมา
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าอินเป่ยเย่ว์ตายไปและทิ้งให้ซูหว่านต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีผู้ใดเหลียวแลอยู่ที่เรือนข้าง แต่อินเป่ยเชาก็มักจะมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ
“เป่ยเชา เจ้ามาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
ซูหว่านหาผ้าขนหนูพบก็หยิบขึ้นมาเช็ดใบหน้า จากนั้นจึงหันกลับไปมองอินเป่ยเชาที่อยู่ข้างหลัง
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ใบหน้าของอินเป่ยเชามีความลังเลเล็กน้อย “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเคยเล่าให้ข้าและพี่ใหญ่ฟังเรื่องที่ท่านอยู่เรียนที่ต่างแดนมาก่อน พี่ใหญ่บอกว่าที่นั่นกับพวกเราอยู่ที่นี่นั้นแตกต่างกันราวกับโลกอีกใบ ข้า…ข้าก็อยากออกไปท่องเที่ยวดูบ้าง แต่ว่า…ท่านแม่ข้าไม่อนุญาต”
เมื่อมาถึงจุดนี้ ดวงตาของอินเป่ยเชาก็หม่นแสงลงอีกครั้ง “ข้าไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ถ้าหากข้าไปหาท่านพ่อเองแล้วบอกเขาว่าข้าอยากไปร่ำเรียนต่างแดนเหมือนพี่รอง ท่านพ่อจะเห็นด้วยหรือไม่”
ร่ำเรียนวิชาที่ต่างแดน…
เมื่อได้ยินคำพูดของอินเป่ยเชา ซูหว่านก็หลับตาลง
ในโครงเรื่องที่นางรู้มานั้น อินเป่ยเชาได้เดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่แล้ว…ก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ยังไม่ควรเกิดขึ้นในเวลานี้ แต่ควรจะเป็นอีกสามปีให้หลัง…
ในตอนนั้น กวนหลีได้ผ่านเข้ามาในสกุลอินแล้ว และการต่อสู้กันในเรือนหลังของตระกูลอินก็ค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น ท่านรองอินเฉิงมั่วก็แย่งอำนาจกับนานยพลอินซุ่น ปู้หนิงซานฮูหยินรองก็ต่อสู้กับเหยาไป๋เซียนอย่างเอาเป็นเอาตายกันไปข้างหนึ่ง แล้วในเวลานี้เองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องหูฮุ่ยเย่ว์เป็นชู้กับคนในคณะละครออกมา ด้วยเหตุนี้อินซุ่นจึงให้คนส่งอินเป่ยเชาออกไปนอกประเทศ หลังจากนั้นก็ใช้กฎภายในบ้านลงโทษหูฮุ่ยเย่ว์ด้วยการถ่วงให้จนน้ำตาย
เมื่อคำนวณวันเวลาแล้ว ตอนนี้หูฮุ่ยเย่ว์คงคบหากับคนในคณะละครมาได้สักระยะแล้ว ที่นางบอกว่าออกไปเล่นไพ่นอกกระจอกนั้น ที่จริงแล้วนางออกไปเล่นชู้ต่างหาก