ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก - ตอนที่ 5 อนุภรรยาขุนศึก (5)
เมื่อได้ยินคำพูดของอินเป่ยเชา และรู้ว่าเขามีความคิดที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ซูหว่านก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“เป่ยเชา อย่านำเรื่องนี้ไปบอกกับท่านพ่อของเจ้าโดยตรง”
ซูหว่านเปลี่ยนความคิดและยกมือขึ้นจับมือเล็กๆ ของอินเป่ยเชาไว้ “อีกไม่กี่วันพี่รองของเจ้าก็จะกลับมาแล้ว เจ้าแอบบอกความต้องการของเจ้าต่อพี่รองอย่างเงียบๆ หากพี่รองรักเจ้า เขาย่อมต้องหาทางช่วยพูดแทนเจ้าแน่ มีเพียงให้พี่รองของเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่พูดแล้วจะไม่โดนฮูหยินใหญ่ขัดขวาง เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน อินเป่ยเชาก็พยักหน้าอย่างเต็มแรงทันที “เข้าใจแล้ว เป่ยเชาจำไว้หมดแล้ว ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่”
“เจ้าเด็กโง่”
ซูหว่านลูบไหล่ของอินเป่ยเชาเบาๆ “ถ้าหากว่าเจ้าได้ออกไปแล้วจริงๆ ก็จงตั้งใจศึกษาร่ำเรียนให้ดี ตั้งใจเรียนรู้สิ่งต่างๆ เสีย ถึงเวลานั้นแล้ว...พี่สะใภ้ใหญ่คงไม่อยู่แล้ว แต่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะคอยมองดูเจ้าจากข้างบนอยู่เสมอ”
“พี่สะใภ้ใหญ่!”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ดวงตาของอินเป่ยเชาก็มีน้ำตาทันที “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านรอข้าก่อนเถอะนะ ข้าจะไปเรียนหมอที่ต่างแดน ท่านรอข้ากลับมา ข้าจะรักษาโรคให้ท่าน ข้าจะดูแลท่านจนแก่เฒ่าจนไปสู่สุขคติ”
เมื่อเห็นแววตาที่แน่วแน่ของหนุ่มน้อยเปล่งประกาย ซูหว่านก็อดยิ้มไม่ได้ “เอาเถอะ เจ้าเด็กดี ข้าจะรอเจ้า”
“อื้มๆ”
อินเป่ยเชาพยักหน้าอีกหลายครั้ง จากนั้นก็เช็ดน้ำตาออกจากตาแล้วรบเร้าให้ซูหว่านเล่าเรื่องในต่างแดนให้เขาฟัง จนกระทั่งถึงเวลาอาหารค่ำ อินเป่ยเชาจึงยอมจากไปอย่างไม่เต็มใจนัก
เขาจากไปได้ไม่นาน ซูหนิงก็ยกสำรับอาหารค่ำเข้ามา อาหารเย็นที่นึ่งร้อนๆ ดูน่าทาน มีกลิ่นหอม และรสชาติดี คงเป็นเพราะเหยาไป๋เซียนคิดว่าซูหว่านคือคนใกล้ตายแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องยักยอกอาหารของนางอย่างสุดกำลังแล้ว ปกติแล้วอาหารและเสื้อผ้าในแต่ละวันนั้นก็เป็นเหมือนกับลูกสะใภ้ในบ้านคนอื่นๆ
“ท่านสะใภ้ใหญ่”
เมื่อซูหนิงเข้ามาแล้ว นางก็จัดวางสำรับอาหารก่อน จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ข้างกายของซูหว่าน หยิบห่อผงยาหลายห่อออกมาจากอ้อมแขนตัวเองอย่างระมัดระวัง
“ข้าซื้อของเรียบร้อยแล้ว เดินไปร้านขายยาใหญ่ๆ อยู่หลายแห่ง ไม่เป็นที่สงสัยของผู้อื่นแน่”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหนิง ซูหว่านก็พยักหน้า นางไม่ได้บอกซูหนิงให้แบ่งซื้อจากหลายร้าน แต่เจ้าเด็กสาวคนนี้กลับรู้ว่าควรแบ่งซื้อแบบนี้ ช่างเป็นคนเรียนรู้ไวจริงๆ
“ลำบากเจ้าแล้ว! ซูหนิง สองสามวันนี้เจ้าเตรียมตัวเสียหน่อยเถอะ หลังจากนั้นก็ให้ไปที่จวนของท่านสาม”
“อะ อะไรนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ซูหนิงก็มึนงงไปในทันที ดวงตาของนางเบิกกว้างและรีบคุกเข่าลงกับพื้นด้วยใบหน้าที่ซีดจาง “ท่าสะใภ้ใหญ่ คุณหนูใหญ่ บ่าวมาจากบ้านสกุลซูพร้อมท่าน บ่าวจงรักภักดีต่อท่านเสมอมา บ่าวขอร้องคุณหนูใหญ่แล้ว อย่าทิ้งบ่าวเลย บ่าว…จะให้บ่าวทำสิ่งใดก็ได้ ขอร้องท่านสะใภ้ใหญ่อย่าส่งบ่าวให้ท่านสามเลย!”
ซูหนิงร้อนใจจนพูดจาตะกุกตะกักอยู่หลายคำ เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวเช่นนั้นของนาง ซูหว่านก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นจับหน้าผาก “พอแล้ว ซูหนิง เจ้าใจเย็นก่อน เจ้าคิดว่าข้าจะทำร้ายเจ้าลงหรือ”
“เจ้าใจเย็นลงหน่อย คืนนี้ให้เจ้าอยู่ที่นี่ทั้งคืน เมื่อถึงกลางคืนแล้ว…ถึงเวลาเจ้าจะเข้าใจความหมายของข้าเอง”
หรือว่า ท่านสะใภ้ใหญ่จะมีแผนอันใด
เมื่อฟังซูหว่านพูดจบแล้ว ซูหนิงก็นั่งลงบนพื้นและยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเอง เมื่อเห็นซูหว่านจะลุกขึ้นมาทานอาหาร นางจึงรีบลุกขึ้นตามไปช่วยซูหว่านลุกออกจากเตียงลงมาทันที…
ค่ำคืนอันเหน็บหนาวและยาวนาน
เมื่ออีกหนึ่งวันหมดลง ครอบครัวสกุลอินทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบงัน
ห้องนอนของซูหว่านยังคงมีแสงสลัวด้วยตะเกียงน้ำมัน ซูหนิงนั่งอยู่ข้างเตียงของซูหว่าน จ้องมองแสงเทียนอย่างง่วงงุน และในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงพึมพำเล็กน้อยดังมาจากหน้าประตู ซูหนิงกะพริบตาและกำลังจะลุกขึ้น และแสงเทียนในห้องก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ทันใดนั้นร่างสูงโปร่งก็ปรากฏกายต่อหน้านาง
นี่คือ…
ท่าน… ท่านสาม?
ซูหนิงปิดปากของตนด้วยความตกใจ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“มาแล้วหรือ”
ในเวลานี้เอง ซูหว่านที่อยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ และปัดผ้าห่มออกจากร่างกายอย่างไม่สนใจไยดี “ซูหนิง ช่วยข้าลุกขึ้นสิ”
“เอ๊ะ โอ โอ้ๆ”
ซูหนิงรู้สึกตัวกลับมาอีกครั้ง ขณะที่นางโน้มตัวและกำลังจะยกมือขึ้นเพื่อช่วยซูหว่านอย่างกล้าๆ กลัวๆ นั้น กลับมีมือใหญ่คู่หนึ่งยื่นตัดหน้านางไป “ข้าช่วยเอง”
ซูรุ่ยเดินเข้าไปช่วยประคองซูหว่านอย่างระมัดระวัง เขากดนิ้วลงไปจับชีพจรนางอยู่สองสามครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชานั้นกลับอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว “ดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง”
“ก็ดี”
ซูหว่านยิ้มแล้วหันไปมองซูหนิงที่ตะลึงตาค้างอยู่ข้างกาย “ร่างกายนี้ของข้าอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ถ้าข้าไม่อยู่แล้ว ซูหนิงคงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในจวนสกุลอินแห่งนี้แน่ ท่านสาม วันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ท่านไปขอนายพลให้นางไปอยู่ที่จวนของท่านเถอะ ให้ไปเป็นสาวรับใช้ในบ้าน วันข้างหน้า…หากวันข้างหน้าท่านจะแต่งงานมีภรรยาเข้ามา ก็สามารถใช้นางได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูหว่าน ดวงตาของซูรุ่ยก็เกิดประกายขึ้น ดวงตาเรียวยาวจ้องมองไปยังใบหน้าของซูหนิง “ซูหนิง เจ้าเต็มใจไปอยู่ที่จวนของข้าไหม”
“บ่าว…”
ซูหนิงลังเลเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยเห็นท่านสามปฏิบัติตนอย่างระมัดระวังและอ่อนโยนเช่นนั้นกับผู้ใดมาก่อน
หรือว่า คุณหนูใหญ่กับท่านสาม…
ไม่ คุณหนูใหญ่ไม่ใช่คนเยี่ยงนั้น แต่ว่า…
ในตอนที่ซูหนิงลังเลอยู่นั้น ซูหว่านก็เริ่มไอขึ้นมาอีกครั้งโดยควบคุมตัวเองไม่อยู่
“แค่กๆๆ แค่กๆๆ”
เมื่อได้ยินเสียงไอของนาง ดวงตาของซูรุ่ยก็เยือกเย็นลง เขายกมือขึ้นและเอามือวางลงไปบนหลังของซูหว่านบริเวณที่ตรงกับหัวใจ และปล่อยกำลังภายในของเขาเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างไม่ขาดสาย
เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องอีกครั้ง ซูหนิงกลั้นหายใจและไม่กล้าพูดสักคำ ทำได้เพียงจ้องมองไปยังซูรุ่ยและซูหว่าน
พรวด!
หลังจากนั้นไม่นาน ซูหว่านก็อาเจียนเลือดสีดำออกมาเต็มปาก
“ว๊าย!”
ซูหนิงที่อยู่ข้างเตียงกรีดร้องด้วยความตกใจออกมาทันที “ท่านสะใภ้ใหญ่ เลือดนี้…เหตุใด เหตุใดจึงดำเยี่ยงนี้ ท่านคงไม่ได้…โดนวางยาพิษใช่หรือไม่”
ขณะที่พูดซูหนิงก็ลุกลี้ลุกลนจะวิ่งออกไปข้างนอก “บ่าวจะรีบไปตามหมอซุนเดี๋ยวนี้!”
“กลับมา!”
ซูหว่านและซูรุ่ยพูดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองท่าน เท้าของซูหนิงก็หยุดอยู่กับที่ มองพวกเขาแตกต่างออกไปเล็กน้อย
“นี่ เจ้าคิดจะไปหาหมอซุนจริงหรือ”
ซูรุ่ยยิ้มอย่างเย็นชาให้ซูหนิง “แม้ว่าซุนฉางอี้จะไม่ใช่คนวางยาพิษใส่ซูหว่าน แต่เขาก็ถูกฮูหยินใหญ่ซื้อตัวไปแล้ว พูดโกหกคำโตและขาดจิตสำนึก เจ้าไปหาเขาแล้วจะมีประโยชน์อันใด เจ้าอยากฆ่าเจ้านายตัวเองให้ตายรึ”
อย่าง อย่างไรกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย ซูหนิงก็เบิกตากว้างขึ้นมองซูหว่านทันที “ท่านสะใภ้ใหญ่ นี่…”
“ซูหนิง เจ้าก็เห็นแล้วนี่ สกุลอินไม่ใช่สถานที่สำหรับคนทั่วไป ถ้าข้าตายไปแล้ว ฮูหยินใหญ่จะต้องฝังเจ้าให้ตายไปพร้อมกับข้าแน่ แต่หากข้ายังไม่ตาย อย่างไรเสียนางก็ต้องหาวิธีมาฆ่าข้าให้ตายอีก”
ซูหว่านยิ้มเยาะขณะที่พูด “ผู้คนภายนอกต่างก็อิจฉาในความงามของสตรีในตระกูลอิน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ถึงความชั่วร้ายภายในนี้ ซูหนิง ข้าทำทั้งหมดก็เพื่อตัวเจ้า เจ้าติดตามท่านสามไปเป็นสาวรับใช้เสีย ท่านสามจะช่วยปกป้องเจ้าเอง”
ขณะที่พูด ซูหว่านก็หันหน้ากลับไปมองซูรุ่ยที่อยู่ข้างกายตนเอง “ท่านรับซูหนิงไว้เถอะ ในบ้านสกุลอินนางไม่มีทางรอดอื่นแล้ว”
ในเนื้อเรื่องเดิม หลังจากที่ซูหว่านตายจากไปแล้ว ชีวิตของซูหนิงในจวนสกุลอินนั้นยากลำบากมาก นางไม่เพียงแต่ต้องทนต่อการกดขี่ข่มเหงโดยตรงจากฮูหยินใหญ่ แต่ยังไปจนถึงฮูหยินใหญ่ให้สัญญาต่อชายที่แก่กว่าซูหนิงถึงยี่สิบปีว่าจะยกนางให้เป็นอนุภรรยาของเขา สุดท้าย ซูหนิงที่ทนไม่ไหวต่อการดุด่าทุบตีของสามีก็ได้แขวนคออยู่ในบ้านนั้น
นี่ก็คือชะตากรรมของสาวรับใช้ข้างกายนาง
เดิมที เจ้าของร่างเดิมได้ขอให้อินเป่ยเกอช่วยดูและสาวใช้ส่วนตัวของตนเอง แต่หลังจากนางเสียชีวิต อินเป่ยเกอก็ลืมซูหนิงไปเพราะเขาจมอยู่กับทุกข์ระทมใจ หลังจากนั้นเขาก็มีกวนหลีอีก เขาจะจำคำสัญญาที่ตัวเองให้ไว้กับซูหว่านหน้าเตียงคนป่วยวันนั้นได้อย่างไรกัน
เหมือนที่ว่ากันว่าหลงรักหนุ่มหล่อไปมันก็เท่านั้น