ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 411 ภารกิจ (1)
บทที่ 411 ภารกิจ (1)
เปลวไฟสีฟ้าลุกไหม้ขึ้นช้าๆ ในชามใส่น้ำ
ในห้องไม้เล็กๆ ห้องหนึ่ง ใต้แสงสีเหลืองมัวซัว เงาคนสูงใหญ่สองสายนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ต่างจ้องมองชามใส่น้ำตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง
ด้านในชามใส่น้ำที่วางอยู่บนโต๊ะบรรจุน้ำร้อนสะอาดที่กระจ่างใสจนเห็นก้น ก้นน้ำมีเปลวไฟสีฟ้าที่ไม่ใหญ่กลุ่มหนึ่งลุกไหม้และลอยอยู่
“นี่คือน้ำแห่งคำสัตย์หรือ” บุรุษทางซ้ายมือถามเสียงทุ้มต่ำ
“ท่านจะเลือกไม่ดื่มก็ได้” คนที่อยู่ตรงข้ามกล่าว
บุรุษอีกคนเงียบขรึมลง ยังคงค่อยๆ ยื่นมือออกไปประคองชามบนโต๊ะขึ้นมา “กายเนื้อของข้าแยกห่างจากจิตวิญญาณมานานเกินไป ท่านก็รู้ว่าข้าจำเป็นต้องดื่ม”
“แน่นอน ท่านเพียงแค่ไม่เชื่อข้าเท่านั้น” คนที่อยู่อีกฝั่งตอบอย่างสงบนิ่ง “ข้าเอาน้ำมาให้ท่านแล้ว ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก พิธีกรรมในครั้งนี้ ท่านกับข้าอย่าคิดจะทำอย่างขอไปที จะผ่านด่านได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าแล้ว
บุรุษอีกคนรู้ว่าเขาพูดเรื่องนี้เพราะอะไร
เงียบงันสักพัก เขาก็ค่อยๆ พยักหน้า
“ข้ารู้ ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น ข้าจะร่วมมือกับท่านเอง”
คนที่อยู่อีกฝั่งเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่อยู่ในความมืดค่อยๆ เผยออกมาใต้แสงจางๆ นั่นคือใบหน้าดุร้ายที่มีหนอนนับไม่ถ้วนคลานไต่เต็มไปหมด
หนอนจำนวนมากมุดเข้ามุดออกจมูก ปาก หู และหางตาของนาง ส่งเสียงเสียดสีลื่นๆ อย่างแผ่วเบาเป็นระยะ
มองออกว่านี่คือสตรีนางหนึ่ง มิหนำซ้ำยังเคยเป็นสตรีที่งดงาม กระนั้นไม่ว่าก่อนหน้านี้นางจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ล้วนเป็นแค่อดีตไปแล้ว
“พวกเราแอบหลบซ่อนมาหลายปี จนถึงตอนนี้ยังตรวจสอบไม่ได้ว่าหัวหน้าพันธมิตรทมิฬเป็นใคร ท่านคิดว่าคุ้มค่าหรือไม่”
บุรุษเม้มริมฝีปาก “ข้าทำเพื่อแก้แค้น ไม่สนว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ ท่านเล่า”
“ข้า…? อาจจะคุ้มค่าก็ได้” สตรีส่ายหน้า “เจ้าแห่งอาวุธห้าคนของต้าอิน สี่เสาของพิภพมาร พันธมิตรทมิฬและสำนักไตรอริยะ สี่กลุ่มนี้คือตัวแทนขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด ปัจจุบันต้าอินเกิดความวุ่นวายภายใน ต่อให้รู้อะไรบ้างก็ทำอะไรไม่ได้ พิภพมารไม่เกี่ยวข้องกับทางด้านนี้ คงจะมองไฟเผาผลาญอยู่อีกฝั่ง ถ้าพันธมิตรทมิฬลงมือจริงๆ ผู้ที่อาจจะลงมือก็มีแต่สำนักไตรอริยะของพวกท่าน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเรา”
“ไตรอริยะจะไม่ลงมือ” บุรุษส่ายหน้า
“เหอะๆ” สตรีหัวเราะ “ท่านว่าข้าจะเชื่อหรือ”
“ท่านเชื่อหรือไม่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือผลลัพธ์จะไม่เปลี่ยนแปลง” บุรุษเงยหน้าขึ้นดื่มน้ำในชามน้ำจนหมด
ตึง
เขาวางชามลงแล้วลุกขึ้น ก่อนจะผลักประตูไม้จากไป
…
ณ เขตจันทราสารท อารามพันอาทิตย์
ลู่เซิ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศ เปลวไฟสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งลอยอยู่ด้านหน้าเขา ในเปลวไฟมีสีทองอ่อนๆ กลุ่มหนึ่งเต้นระริกอยู่
แสงสีทองกลายเป็นเส้นสีทองนับไม่ถ้วน พุ่งไปพุ่งมาด้านในเปลวไฟอย่างต่อเนื่อง ในกระบวนการนี้เส้นสีทองจะเชื่องช้าสุดเปรียบปาน และซึมออกจากไฟสีดำทีละนิดๆ ก่อนจะรวมตัวกันเป็นเส้นขนสีทองเส้นหนึ่งกลางอากาศใกล้ๆ
ตอนแรกเส้นขนมีขนาดเท่าเล็บมือ แต่พร้อมกับที่เส้นสีทองซึมออกมาอย่างต่อเนื่อง ขนาดของเส้นขนสีทองก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็หนาเท่าฝ่ามือ
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าไหร่
ในที่สุดลู่เซิ่งก็แยกอัคคีทองคำแปดเศียรกลุ่มนี้ออกจากไฟหยินได้โดยสมบูรณ์ แต่ก็มีแค่กลุ่มนี้เท่านั้น ในร่างเขายังมีอัคคีทองคำแปดเศียรนับไม่ถ้วนผสมอยู่ด้วย ไฟหยินเป็นกฎเกณฑ์หลักของเขา การผสมกับไฟหยินความจริงบ่งบอกว่าได้ผสมเข้าไปในแก่นหยางทั่วร่างลู่เซิ่งแล้ว
แม้อัคคีทองคำแปดเศียรจะมีอานุภาพไม่เลว อีกทั้งเมื่อผสมกับแก่นหยางกลับมีผลในการเพิ่มอานุภาพให้กับลู่เซิ่ง
แต่ว่านี่กลับทำให้เส้นทางในอนาคตของเขาไปต่อไม่ได้ ไม่อาจก้าวหน้าได้อีกเพราะไม่บริสุทธิ์ นี่จึงกลายเป็นหินที่ขัดขวางการพัฒนาของลู่เซิ่งแล้ว
‘น่าเสียดาย…อัคคีทองคำแปดเศียรไม่ใช่กฎเกณฑ์หลักที่เราใช้ดีปบลูเรียนรู้ ไม่อย่างนั้นเราคงจะดูดพลังเปลวไฟของอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเองได้แล้ว’ ลู่เซิ่งเจ็บปวดใจต่อการดึงอัคคีทองคำแปดเศียรออกมาเช่นกัน
ทว่าสิ่งนี้เป็นของที่ได้มาเหนือความคาดหมาย เนื่องจากไม่มีร่องรอยให้สืบสาว ต่อให้ดีปบลูจะแข็งแกร่งถึงขีดสุด ใช้พลังอาวรณ์เรียนรู้วิชาใดๆ ก็ได้ ทว่าอัคคีทองคำแปดเศียรก็ไม่มีแม้แต่วิชาพื้นฐาน จึงไม่ทราบโดยสิ้นเชิงว่ามันพัฒนามาจากระบบอะไร
ลู่เซิ่งจึงได้แต่ยอมแพ้ด้วยความจนปัญญา
หลังจากเอาอัคคีทองคำแปดเศียรที่ผสมอยู่ในแก่นหยางกลุ่มนี้ออกมา ลู่เซิ่งก็ยกมือขึ้นชี้นิ้วออกไปอีกครั้ง
ไฟหยินสีดำสนิทที่เหลืออยู่ลุกไหม้ขึ้นมา แล้วหมุนวนอย่างรวดเร็วตามวิชาพื้นฐานของวิชาอาวรณ์แปดเศียร
‘ทำได้แล้ว…’ ลู่เซิ่งคิดในใจ กรอบของวิชาไร้ขอบเขตบนอินเตอร์เฟซของดีปบลูกะพริบเล็กน้อย แล้วแยกวิชาอาวรณ์แปดเศียรอันเป็นฉบับพัฒนาของไฟหยินออกมาชั่วคราว ก่อนจะกลายเป็นกรอบอีกกรอบหนึ่ง
‘ตอนนั้นเราจะพัฒนาสิ่งนี้ไปถึงขั้นกฎเกณฑ์ แต่มีพลังไม่พอ ครั้งนี้มาดูกันอีกครั้งว่าจะไปถึงขั้นไหน’ ลู่เซิ่งสูดหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วกดความคิดบนปุ่มปรับเปลี่ยนด้านล่างวิชาอาวรณ์แปดเศียรทันที
พรึ่บ
ดีปบลูสั่นเล็กน้อย มีปุ่มเรียนรู้โผล่ขึ้นมาด้านหลังพลังอาวรณ์ ลู่เซิ่งตั้งสมาธิและกดลงบนปุ่มนั้นโดยไม่เสียเวลาแม้แต่น้อย
ฉับพลันนั้นดีปบลูสั่นไหว เปลวไฟสีดำด้านหน้าลู่เซิ่งเริ่มเต้นระริกอย่างรุนแรง
จากนั้นเปลวไฟสีดำก็หดตัวจนมีขนาดเท่าปลายเล็บ ตรงกลางค่อยๆ ปรากฏงูมีปีกสีแดงเข้มหลายตัวขึ้นมา
พลังอาวรณ์อันมหาศาลระเบิดในห้วงสมองของลู่เซิ่ง แล้วกลายเป็นพลังงานไร้รูปร่างชนิดหนึ่ง ทำให้ไฟหยินที่อยู่ในระดับไข่มุกอาวรณ์แปดเศียรเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์บางอย่าง
พลังอาวรณ์เหมือนเป็นเชื้อเพลิง ไฟหยินเหมือนกับเป็นวัตถุที่ถูกอบ ในอากาศรอบๆ คล้ายมีสิ่งที่มองไม่เห็นบางอย่างกำลังเข้าไปในไฟหยินอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ไฟหยินมีสีดำสนิทเหมือนกับน้ำหมึก เต้นระริกอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งอุณหภูมิยังสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ลวดลายบนค่ายกลกันความร้อนที่ติดตั้งในห้องลับจากที่เรืองแสงอ่อนๆ ก็ค่อยๆ ดับลงทีละส่วน
ความร้อนอันน่าสะพรึงกลัวเริ่มทำให้ผนังและพื้นที่อยู่รอบๆ หลอมละลาย
ขณะที่พลังอาวรณ์นับไม่ถ้วนหมดลง ดีปบลูก็ใช้ระบบความรู้และระบบมรรคายุทธ์ในสมองของลู่เซิ่งเพื่อพัฒนาสภาพที่แข็งแกร่งกว่าเดิมของไฟหยินในขั้นต่อไป
ไฟหยินบิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับค่อยๆ กลายเป็นวังวนสีดำสนิทกลุ่มหนึ่ง ตรงกลางวังวนยุบตัวลงด้านในไม่หยุด ก่อนจะกลายเป็นทางเชื่อมล้ำลึกสีดำสนิทซึ่งไม่ทราบว่าเชื่อมต่อไปยังที่ใด
ทั่วร่างลู่เซิ่งมีควันสีขาวลอยขึ้นมาเป็นระยะ กายเนื้อในตอนนี้ของเขาทนรับไม่ไหวเล็กน้อย อุณหภูมิของไฟไต่ระดับไปถึงหนึ่งแสนกว่าองศา มิหนำซ้ำยังเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วสูงด้วย
พึงทราบว่านี่คือไฟหยิน ไม่ใช่ไฟหยินที่อาศัยความร้อนแผดเผาศัตรูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในไฟหยิน อุณหภูมิเป็นแค่อานุภาพส่วนหนึ่ง สิ่งที่เหี้ยมหาญกว่าความจริงเป็นการเผาจิตวิญญาณ เดิมทีเปลวไฟอันน่าอัศจรรย์ที่ตอนแรกสุดกำเนิดในความนึกคิดชนิดนี้เป็นไฟแห่งจิตวิญญาณ จึงมีพลังทำลายล้างที่รุนแรงต่อของที่เป็นประเภทวิญญาณ การเผาไหม้วัตถุกลับอยู่ในระดับรองลงไป
ในที่สุด หลังจากพลังอาวรณ์สองหมื่นกว่าหน่วยหายไป ไฟหยินก็ค่อยๆ หยุดการเปลี่ยนแปลง ไฟหยินในตอนนี้กลายเป็นสีม่วงอมดำ มีเค้าโครงหน้าคนปรากฏขึ้นเลือนรางด้านใน ด้านหลังมีหางยาวสีดำ นั่นคือรอยยุบของเปลวเพลิงสีดำสนิทที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้า
ไฟหยินคล้ายกับผลพิเศษของร่างมารซึ่งปรากฏในตอนที่ฝึกฝนวิชามารช่วงแรกสุด
‘อานุภาพเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้ามาก’ ลู่เซิ่งผุดสีหน้ายินดี เขายื่นมือออกมา มือที่มีควันสีขาวลอยอยู่ ลูบไล้ไปที่ไฟสีดำที่มีรูปหน้าคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา
ในตอนที่ผิวของลู่เซิ่งสัมผัสโดน ความร้อนเกือบสองแสนองศาก็หายไป ไฟสีดำที่มีรูปหน้าคนเก็บความร้อนเอาไว้เองเหมือนกับสิ่งมีชีวิต และปล่อยให้ลู่เซิ่งลูบไล้อย่างสงบ
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงการเชื่อมโยงพิเศษระหว่างเขากับวังวนสีดำรูปหน้าคนตรงหน้า
‘เสียพลังอาวรณ์ไปมากเกินไป ไม่พอจะเรียนรู้พื้นฐานต่อไปแล้ว ตอนนี้เริ่มกำจัดภัยแฝงของอัคคีทองคำแปดเศียรดีกว่า’ เขายื่นมือไปจับไฟหยินรูปหน้าคนเบาๆ พร้อมกับใช้ความคิด
ไฟสีดำกลุ่มนี้มุดเข้าไปในกลางฝ่ามือของเขาในทันที แล้วเคลื่อนไหวไปตามเส้นเลือดและเส้นชีพจรบนแขนอย่างรวดเร็ว เส้นชีพจรและเส้นเลือดที่ไฟสีดำเคลื่อนผ่านรับภาระไม่ไหว ถึงขั้นส่งความเจ็บปวดที่เหมือนถูกเผามารางๆ
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังอาวรณ์เริ่มหายไปด้วยความเร็วสูงอีกครั้ง มันฟื้นฟูความเสียหายที่ร่างกายของเขาได้รับ นี่เป็นเพราะว่าการเรียนรู้เมื่อก่อนหน้ายังไม่จบลงโดยสมบูรณ์ ไฟหยินที่ได้จากการเรียนรู้เป็นแค่ส่วนเล็กๆ ที่แยกตัวออกมา การจะใช้ไฟหยินกลุ่มนี้จำเป็นต้องดำเนินการเปลี่ยนแปลงกายเนื้อ กระบวนการนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ลู่เซิ่งใช้ทำลายอัคคีทองคำแปดเศียร
แก่นหยางทั้งหมดในร่างถูกไฟสีดำรูปหน้าคนเผาไหม้กัดกร่อนตลอดกระบวนการ จนปนเปื้อนกลายเป็นไฟสีดำสนิทเหมือนกัน
แก่นหยางหลังจากยกระดับแตกต่างจากไฟดำรูปหน้าคนอย่างชัดเจนถึงขีดสุด แทบไม่มีพลังต่อต้านแม้แต่น้อย แก่นหยางทั่วร่างลู่เซิ่งได้รับการปรับปรุงรอบหนึ่ง
“เปิด!”
ทันใดนั้นลู่เซิ่งส่งเสียงตวาด ระเบิดไฟสีดำหลายกลุ่มออกมารอบๆ ตัว เปลวไฟครอบคลุมเขาไว้ ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็สลายหายไป
ร่างกายที่เผยออกมาใต้เปลวไฟเปลี่ยนเป็นสภาพสัตว์ประหลาดร่างคนที่หยินหยางรวมเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์แล้ว
ภายใต้การเผาไหม้และเปลี่ยนแปลงของไฟหยิน ลู่เซิ่งเข้าสู่สภาพหยินหยางรวมเป็นหนึ่งอย่างไม่อาจควบคุม เขาใช้คุณสมบัติฟื้นตัวด้วยความเร็วสูงที่สมบูรณ์แบบที่สุดของสภาพนี้ต้านทานการปรับเปลี่ยนต่อร่างกายของไฟสีดำรูปหน้าคน
เวลาผ่านไปทีละนิดๆ ลู่เซิ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ พร้อมกับอดกลั้นต่อความเจ็บปวดรวดร้าว ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่งจะมีเส้นด้ายสีทองหลายสายลอยออกมาจากจมูกของเขา
เส้นด้ายสีทองเหล่านี้รวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง แล้วสานกันเป็นเส้นขนสีทองที่เจิดจรัสหลายเส้น
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม สองชั่วยาม…
เวลาเลื่อนไหลอย่างรวดเร็ว ในที่สุดการปรับปรุงของไฟสีดำก็จบลงโดยสมบูรณ์เมื่อถึงกลางดึก
โครม
ลู่เซิ่งตกลงไปคุกเข่าข้างเดียวอยู่กับพื้นอย่างแรง
เขาสัมผัสได้ว่าแก่นหยางในร่างตัวเองเปลี่ยนเป็นไฟสีดำสนิทโดยสมบูรณ์แล้ว แต่เป็นเพราะการปลอมแปลงของวิชาไร้ขอบเขต ไฟสีดำจึงกลับเป็นสีทอง
อวัยวะภายใน กายเนื้อ กล้ามเนื้อ และกระดูกทั่วร่างของเขาได้รับการปรับเปลี่ยนโดยสมบูรณ์ อย่างไรวิถีแปดมารสูงสุดก็ใช้ไฟหยินเป็นพื้นฐาน เมื่อไฟหยินยกระดับขึ้น ระบบทั้งหมดของลู่ซิ่งก็พลอยได้รับการยกระดับอย่างใหญ่หลวงไปด้วย
‘ฮ่า…สำเร็จแล้ว…กายเนื้อแข็งแกร่งกว่าเดิม คุณสมบัติทนไฟดีขึ้นกว่าเดิม มิหนำซ้ำยังมีอวัยวะอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา…’ ลู่เซิ่งยื่นมือไปลูบข้างลำคอสองด้าน ไม่ทราบว่าตรงนั้นมีสิ่งที่ดูเหมือนถุงสองถุงงอกออกมาตั้งแต่ตอนไหน
ด้านในมีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอันตรายถึงขีดสุดกลิ้งอยู่
ตัวถุงไม่ใหญ่นัก แค่เขาก้มหน้าก็ปกปิดได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซ่อนได้ง่ายถึงขีดสุด
‘อานุภาพของไฟหยินที่เรียนรู้ได้ในครั้งนี้หลุดออกจากขอบเขตของไฟหยินโดยสมบูรณ์ ทั้งๆ ที่เกิดจากไฟหยิน กลับเทียบกับความร้อนอันน่ากลัวของไฟหยินได้ด้วย ไฟสีดำนี้เปลี่ยนชื่อเป็น อัคคีอนธการ ก็แล้วกัน’
แสงและความมืดมีความเชื่อมโยงกัน ลู่เซิ่งยิ้มในตอนที่เห็นผลพิเศษของวิชาไร้ขอบเขตบนอินเตอร์เฟซดีปบลูเปลี่ยนเป็นอัคคีอนธการ
ฟื้นฟูร่างกายสักพัก เขาก็ปรับท่านั่งใหม่ จากนั้นค่อยมองอัคคีทองคำแปดเศียรที่ถูกบีบออกมา
เส้นขนสีทองทั้งหมดสี่เส้นลอยอยู่ตรงหน้าเขาช้าๆ บวกกับเส้นหนึ่งที่ได้มาเมื่อก่อนหน้านี้ ทั้งหมดมีอัคคีทองคำแปดเศียรห้าเส้น
ในเส้นขนสีทองทุกเส้นแฝงซ่อนความร้อนที่น่ากลัวและอันตรายเอาไว้ ลู่เซิ่งไม่รู้ว่ามันมีอานุภาพขนาดไหน แต่ในเมื่อมาจากอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรตัวนั้น อานุภาพคงจะต้องไม่ทำให้เขาผิดหวังอย่างแน่นอน
……………………………………….