ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 529 เวลา (1)
บทที่ 529 เวลา (1)
ท่ามกลางสายลมเย็นเยียบมีควันดำแทรกอยู่หลายสาย
ป่าเขาทั้งผืนเหมือนกับมีละอองน้ำลอยขึ้นจากพื้น หมอกสีดำกับไอน้ำสีขาวผสมกันจนขมุกขมัว คล้ายว่าแม้แต่อุณหภูมิก็สูงขึ้นด้วย
ลู่หลันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มือคล้ายถือสิ่งใดเอาไว้ ดวงตากลับมองไปยังป่าเขาที่อยู่เลยไปด้านหลัง
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น หู่จิ้น ลู่เฟิงโฉว และเต๋อหลินต่างก็จ้องมองทิศทางเดียวกันนี้ด้วยสายตาอึมครึมเช่นกัน
“ดูเหมือนจะเป็นลู่เซิ่งเจ้าสำนักลู่!” ชายชราด้านหลังลู่หลันอดบอกสถานะของผู้มาไม่ได้
“ไป!”
ทันใดนั้นลู่หลันเขวี้ยงแสงสีน้ำเงินจุดหนึ่งออกไป จากนั้นแสงก็ระเบิดออก
แสงสีน้ำเงินพุ่งกระจายออกไป ปล่อยเส้นสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนออกมา พริบตาเดียวก็ยึดครองพื้นที่รัศมีหลายสิบหมี่เอาไว้
เส้นสีน้ำเงินคงอยู่พริบตาเดียว ก่อนจะจางหาย แล้วสลายไป
รอจนเส้นสีน้ำเงินสลาย พวกลู่หลันก็หายไปแล้ว
“หนีไม่รอดหรอก!” เต๋อหลินหัวเราะเสียงเย็นพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ มีคันฉ่องหยกทรงรีที่งดงามใบหนึ่งกลิ้งออกมา ด้านบนแสดงจุดสองจุดอย่างชัดเจน จุดหนึ่งเป็นตำแหน่งของพวกเขา อีกจุดเป็นตำแหน่งของลู่หลัน
“ห่างไปทางเหนือสิบลี้! ตาม!” เต๋อหลินตวาด ทะยานร่างขึ้น แล้วหมุนตัวบินไปยังทิศเหนือ
อีกสองคนที่เหลือไม่ทันคิดมากความ ทะยานร่างบินตามเขาไปถึงกลางอากาศเช่นกัน ทั้งสามคนกลายเป็นจุดแสงสามสายข้ามผ่านระยะทางหลายร้อยหมี่ในพริบตาเดียว
ลู่เซิ่งยืนเอามือไพล่หลังอยู่กลางป่าเขา มองดูอริยะเจ้าสามคนที่ออกห่างไปไกล
เขายื่นมือขวาออกมาช้าๆ ก้อนน้ำแวววาวสีน้ำเงินเข้มสามกลุ่มลอยฉวัดเฉวียนไปมากลางฝ่ามือ
“ในเมื่อมาแล้ว ก็จงอยู่นี่ให้หมดเถอะ”
พรึ่บ!
ก้อนน้ำสามกลุ่มลืมตาสามข้างขึ้นพร้อมกัน
…
เต๋อหลินรู้สึกร่างกายหยุดชะงัก ตอนแรกเขานึกว่าถูกคนลึกลับเมื่อครู่ชิงสภาวะ ทำให้ร่างกายและเส้นประสาทเป็นอัมพาตชั่วคราว แต่ไม่นานเขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
เพราะไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น พวกหู่จิ้นที่อยู่ด้านข้างก็หยุดนิ่งกลางอากาศในพริบตาเหมือนกัน
“พลังนี้…!?” เต๋อหลินคิดตะโกน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ส่งเสียงไม่ออก
พลังงานที่ยิ่งใหญ่หากแต่สงบนิ่ง ค่อยๆ ห่อหุ้มพวกเขาสามคนเอาไว้ แล้วกระชากดึงลงไปบนพื้น
เต๋อหลินเห็นพวกหู่จิ้นแสดงสีหน้าแตกตื่นและร้อนรนออกมาในเวลาเดียวกัน
การบินด้วยความเร็วสูงของทั้งสามคนถูกหยุดเอาไว้ พึงทราบไว้ว่าพวกเขาสามคนเป็นอริยะเจ้าระดับดาวหยก ต่อให้เป็นอริยะเจ้าเทวปัญญา ก็ไม่มีทางหยุดพวกเขาได้นานขนาดนี้
ไม่นาน พอทั้งสามตกถึงพื้น บุรุษร่างสูงใหญ่กำยำคนหนึ่งก็ค่อยๆ เข้าสู่ทัศนวิสัยของพวกเขา
“ลู่เซิ่ง!? เจ้านี่เอง…เป็นไปได้อย่างไรกัน!?” เต๋อหลินพลันส่งเสียง
ก่อนที่จะมาพวกเขาได้ตรวจสอบสถานการณ์ของที่นี่แล้ว สำนักพันอาทิตย์มีแค่อริยะเจ้าคนเดียวคอยดูแลที่นี่ หรือก็คือลู่เซิ่งที่เพิ่งเลื่อนเป็นอริยะเจ้าได้ไม่นาน แต่ว่าคนผู้นี้เพิ่งเลื่อนระดับมา การวินิจฉัยช่วงแรกอย่างมากสุดก็เป็นระดับใบไม้ทองคำ ไม่มีทางมาถึงระดับในตอนนี้ได้
อีกสองคนแสดงสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน มาถึงเวลานี้ ความจริงพวกเขาสังหรณ์ไม่ดีบ้างแล้ว คล้ายกับครั้งนี้ดันมาเหยียบใส่กับระเบิดเข้าจริงๆ
ทันใดนั้นหู่จิ้นก็สังเกตเห็นตราประทับเทวลักษณ์วารีลี้ลับที่เปล่งแสงบนหลังมือ กับก้อนน้ำพิสดารสามก้อนที่ลอยอยู่กลางฝ่ามือของลู่เซิ่ง
“นั่นมัน…!?”
“ไป!” เต๋อหลินตวาด แล้วดิ้นหลุดจากพันธนาการไร้รูปร่าง แสงสีแดงห่อหุ้มทั่วตัว ก่อนจะพุ่งไปยังที่ไกลทันที
ทางหู่จิ้นก็พลิกมือโยนกระบี่ลงอักขระออกไป ปล่อยให้มันระเบิดตัวเองกลายเป็นกระบี่ลงอักขระสีขาวอมเทาเหมือนกับกระแสน้ำพุ่งใส่ลู่เซิ่ง
ส่วนลู่เฟิงโฉวท่องคาถา แล้วสลัดพันธนาการอย่างแรง พร้อมกับหยิบมีดออกมาเฉือนข้อมือของตัวเอง
เลือดสาดกระจาย ตัวเขาค่อยๆ กลายเป็นเงาเลือด ก่อนจะจางหายไป
อริยะเจ้าดาวหยกสามคนย่อมไม่เสียชื่อ ต่างใช้ความสามารถและไพ่ตายในพริบตา เพื่อระเบิดพลังทำลายล้างและความสามารถในการหลบหนี แค่ดูปริมาณจิตวิญญาณที่เสียไปก็เหนือกว่าระดับดาวหยกไปมากโขจนสูงถึงระดับเทวปัญญาแล้ว
ความสามารถของทั้งสามคนที่ใช้ในพริบตานี้เร็วกว่าผู้ถืออาวุธธรรมดาไม่ทราบกี่เท่า จากความลังเลละล้าละลังในตอนแรก จนตัดสินได้ว่าสถานการณ์เลวร้ายมาก สุดท้ายก็หมุนตัวหลบหนี ใช้เวลาทั้งหมดไม่เกินหนึ่งวินาที
ความเร็วตอบสนองเช่นนี้สุดที่ยอดฝีมือทั่วไปจะไล่ตามทัน
น่าเสียดายที่ลู่เซิ่งไม่ใช่ยอดฝีมือธรรมดาเช่นกัน
ตูม ตูม ตูม!
ดวงตาแห่งเก๋อซังน่าสามดวงระเบิดออกพร้อมกัน
แทบจะในเวลาเดียวกัน หลังจากเกิดเสียงระเบิดเงาคนสามสายร่วงตกจากกลางอากาศลงมาบนพื้น ต่างก็กระอักเลือด สีหน้าซีดขาวในบัดดล
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า จิตวิญญาณของทั้งสามกำลังปั่นป่วนอย่างรุนแรง ก่อนจะอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว
แสดงให้เห็นชัดว่าดวงตาแห่งเก๋อซังน่ามีผลลัพธ์พิเศษในต้าอิน วิชาลับที่ส่งผลแค่จิตวิญญาณชนิดนี้เหมือนกับมีอยู่เพื่อเขา ด้วยปริมาณจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของเขา แค่แบ่งออกมาโจมตีส่วนหนึ่งเป็นการหยั่งเชิง ก็ทำให้อริยะเจ้าดาวหยกสามคนได้รับบาดเจ็บสาหัสในพริบตาได้แล้ว
ถ้าหากว่าใช้อานุภาพระดับนี้กับผู้ถืออาวุธทั่วไป หรือยอดฝีมือปฐพีกำเนิดธรรมดา เกรงว่าจะมีอานุภาพน่ากลัวยิ่งกว่า
“มังกรทะยานคุมพิรุณ!”
แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เต๋อหลินยังคงไม่ยอมแพ้ อ้าปากแลบลิ้นออกมา ลิ้นของเขาขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นมังกรสีแดงชาดตัวหนึ่ง ส่งเสียงคำรามและขย้ำเข้าหาลู่เซิ่งอย่างดุร้าย
“วงแหวนหยก! ไป!” หู่จิ้นใช้อาวุธเทพของตัวเอง วงแหวนสีเหลืองเข้มปรากฏขึ้นด้านหน้า มันหมุนติ้วๆ กลางอากาศรอบหนึ่ง รอบๆ มีแสงสีขาวสว่างขึ้น ก่อนจะพุ่งใส่ลู่เซิ่งเช่นกัน
สุดท้ายลู่เฟิงโฉวกลับระเบิดร่างกลายเป็นแสงสีดำ แล้วพุ่งไปยังที่ไกล ถึงกับยังคิดจะหนีจากเงื้อมมือของลู่เซิ่งอยู่อีก
ในฐานะอริยะเจ้า ไม่ใช่แค่มีจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ถึงขีดสุดเท่านั้น แม้แต่กายเนื้อก็ได้รับการฝึกฝนมานับพันนับร้อยครั้งเช่นกัน ถึงจะน่ากลัวไม่เท่าลู่เซิ่ง แต่คุณสมบัติกับความสามารถในการคืนชีพของผู้ถืออาวุธทั่วไป ได้ไปถึงขั้นเหนือจินตนาการแล้ว
อริยะเจ้าดาวหยกสามคนสามารถเป็นตัวทดลองผลลัพธ์ของสิ่งที่ลู่เซิ่งเพิ่งได้มาเมื่อไม่นานมานี้ได้พอดิบพอดี
ลู่เซิ่งยื่นมือซ้ายออกไปแตะใส่ศีรษะมังกรสีแดงของเต๋อหลินเบาๆ ขณะเดียวกันก็ปัดวงแหวนหยกสีเหลืองเข้มที่บินมาด้านข้างอย่างแผ่วเบาเช่นกัน
เปรี้ยง!
ทั้งสองสิ่งถูกพละกำลังทางกายเนื้ออันน่าสะพรึงกลัวของลู่เซิ่งกดดันกลับไป
เขาจึงค่อยสังเกตเห็นว่า อาวุธเทพของเต๋อหลินเป็นหมุดชิ้นหนึ่งที่เจาะอยู่บนลิ้น ส่วนอาวุธเทพของหู่จิ้นเป็นวงแหวนหยกที่ถูกเขากระแทกลอยไป
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าวงแหวนได้ระเบิดพลังที่ยิ่งใหญ่เป็นสามเท่ากว่าๆ ของก่อนหน้าออกมาในทันทีที่แตะกับฝ่ามือของเขา
บางทีอริยะเจ้าทั่วไปอาจถูกมันที่เพิ่มพลังอย่างกะทันหันเล่นงานจนมือไม้ปั่นป่วน แต่กลับไร้ความหมายต่อลู่เซิ่งโดยสิ้นเชิง
แค่พละกำลังทางกายเนื้อ เขาก็เหนือกว่าทุกคนในสามคนนี้หลายสิบเท่าแล้ว นี่เป็นความแตกต่างของผู้ใหญ่กับเด็กชัดๆ
และแม้ว่าอาวุธเทพของทั้งสามจะต่างมีความสามารถพิเศษ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ใช้พึ่งพาเวลาต่อสู้ นอกจากกายเนื้อแล้ว ก็คือจิตวิญญาณและทักษะ
ความสามารถในอาวุธเทพของเต๋อหลินคือการควบคุมกายเนื้อของตัวเอง เขาทำให้กายเนื้อของตัวเองเปลี่ยนไปเป็นแบบไหนก็ได้ และยังควบคุมเลือดในตัวคู่ต่อสู้ได้ในพริบตาที่สัมผัสอีกฝ่ายด้วย
แต่เนื่องจากความแตกต่างอันมหาศาลด้านจิตวิญญาณ อย่างมากสุดเขาจึงได้แต่ส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียนโลหิตของลู่เซิ่งแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ลู่เฟิงโฉวหมุนตัวหลบหนี แต่ไม่นานก็กลับมาเข้าร่วมการรุมโจมตีลู่เซิ่งใหม่ อาวุธเทพของเขาคือกระบี่ที่มีเปลวไฟลุกไหม้ ซึ่งแม้มองดูธรรมดามาก แต่ในเปลวไฟนั้นมีสีทองจุดหนึ่งโดดออกมา มันมีผลกดข่มปราณมารและความมืด สิ่งที่เขาฝึกฝนเป็นหลักคือทักษะกระบี่ หรือก็คือการใช้วิชากระบี่ออกอย่างต่อเนื่อง
ส่วนของหู่จิ้นคือวิชาหมัด วงแหวนหยกอาวุธเทพของเขาเป็นเหมือนกับผู้ช่วย คอยช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง เหมือนกับสหายสองคนลงมือพร้อมกัน
ลู่เซิ่งรักษาสภาพกายเนื้อไว้ แม้ถูกสามคนรุมโจมตีก็ไม่สับสนแม้แต่น้อย
วรยุทธ์ของอริยะเจ้าสามคนไปถึงขั้นใช้งานได้จริงที่ไม่อาจเพิ่มหรือลดได้อีกแล้ว แถมยังไม่มีลูกเล่นแพรวพราว ทุกสิ่งทุกอย่างมีหน้าที่สังหารศัตรูเท่านั้น
ลู่เซิ่งสัมผัสวิธีการ พลัง และความเร็วที่ทั้งสามใช้ลงมืออย่างละเอียด
เมื่อมาถึงระดับอริยะเจ้า โดยเฉพาะอริยะเจ้าระดับดาวหยก สถานการณ์ก็จะแตกต่างจากผู้ถืออาวุธที่อาศัยอาวุธเทพเป็นหลัก ทั้งสามคนเหมือนกับใช้อาวุธเทพเป็นอาวุธธรรมดามากกว่า แต่จะใช้พลังของตนเองเป็นหลัก แล้วใช้อาวุธเทพเพิ่มพลัง ขณะเดียวกันก็ใช้กฎเกณฑ์หลักหรือความสามารถของอาวุธเทพเป็นตัวสนับสนุน
ความสามารถฟื้นคืนชีพอันน่าสะพรึง คุณสมบัติกายเนื้อที่แข็งแกร่งกว่าผู้ถืออาวุธ การควบคุมความสามารถของอาวุธเทพอย่างสมบูรณ์แบบ วรยุทธ์อันสมบูรณ์ที่ผ่านการฝึกฝนมานับร้อยนับพันครั้ง และวิชาลับอันเหี้ยมหาญน่าอัศจรรย์หลากหลายที่รับสืบทอดมาหลายปีอีก
ความแข็งแกร่งของอริยะเจ้าดาวหยกทำให้ลู่เซิ่งได้เปิดโลก
เขาไม่ได้สู้กับอริยะเจ้าบ่อยนัก ครั้งนี้กลับได้สู้พร้อมกันถึงสามคน สามารถชดเชยความเข้าใจต่อวิธีการต่อสู้ในระดับอริยะเจ้าของเขาได้อย่างใหญ่หลวงพอดี
ขอแค่ไม่ใช่วิชาลับอย่างการทำลายจิตวิญญาณ ต่อให้อริยะเจ้าสามคนถูกทุบศีรษะจนแหลก ก็ยังลงมืออย่างบ้าคลั่งได้ต่อไปเหมือนไม่เป็นอะไร
มีครั้งหนึ่งลู่เซิ่งทดลองใช้พลังอันมหาศาลสับร่างครึ่งท่อนของหู่จิ้นเป็นหมูบะช่อ
แต่เพราะการสนับสนุนจากจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ ทั้งยังมีอาวุธเทพคอยป้อนสารกายให้เพื่อฟื้นฟูกายเนื้อ หู่จิ้นใช้เวลาสามอึดใจก็รักษาอาการบาดเจ็บได้ทั้งหมดแล้ว แถมความเร็วในการคืนชีพ แม้แต่ลู่เซิ่งก็ยังรู้ตัวว่าสู้ไม่ได้อีก
หลังจากมาถึงขอบเขตอริยะเจ้าระดับดาวหยก นอกจากการทำลายจิตวิญญาณ หรือการทำลายกายเนื้อทิ้งทั้งหมดแล้ว การดำรงอยู่ระดับนี้สามารถคืนชีพกายเนื้อได้อย่างง่ายดาย พวกเขาไปถึงขอบเขตอมตะอันแปลกพิสดารในความหมายหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
ลู่เซิ่งเข้าใจบ้างแล้วว่า ทำไมในประวัติศาสตร์จึงมีการบันทึกว่าหากอริยะเจ้าสู้กัน ฟ้าจะถล่มดินจะทลาย แถมยังกินเวลานาน เวลาแค่หลายวันหลายคืนเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ยังมีระยะเวลาหลายเดือนหลายปีด้วย
เมื่อมาถึงขั้นนี้ ถ้าหากไม่มีความสามารถทำลายจิตวิญญาณกับอาวุธเทพที่ทรงอานุภาพและมีความพิเศษ วิธีการเพียงหนึ่งเดียวคือการผลาญพลังกันและกัน
การทำลายจิตวิญญาณทั่วไป สำหรับอริยะเจ้าระดับดาวหยก ไม่ถือว่าเป็นอาการบาดเจ็บหนักหนาอะไรอีกแล้ว
มิหนำซ้ำสามคนนี้ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าสวีฉีที่ลู่เซิ่งเคยสู้ด้วยเมื่อตอนนั้นเสียอีก พวกเขามีวิชาพิสดารมากมายนับไม่ถ้วน มีหลายครั้งที่การโจมตีถูกลดอานุภาพลงไม่น้อยเหมือนกับปลาไหลที่ลื่นจนจับไม่อยู่
แถมบนตัวยังมีสมบัติลับไม่น้อยที่ป้องกันจุดตายและเปลี่ยนสภาวะการโจมตีได้ ทำให้สู้ยากถึงขีดสุด
การต่อสู้ของทั้งสี่คนกลับไม่ได้รุนแรงเท่าตอนที่เต๋อหลินฟันดาบลงเมื่อก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างก็รวมเอาอานุภาพทั้งหมดไว้ในอาณาเขตเล็กๆ ระหว่างพลังกับพลังนอกจากจะถูกเบี่ยงเบนจนเฉออกไปเป็นบางครั้งแล้ว ก็แทบเหมือนกับยอดฝีมือสี่คนในยุทธภพกำลังเข่นฆ่ากันอยู่โดยสิ้นเชิง
ลู่เซิ่งใช้ฝ่ามือสองข้างป้องกันสภาวะโจมตีดุจกระแสน้ำที่มาจากสามทิศทางดุจสายฟ้าแลบ เขาวูบไหวร่างไปบนล่างซ้ายขวา ราวกับเคลื่อนที่ในพริบตาในอาณาเขตเล็กๆ ทุกการโจมตีล้วนเร็วสุดขีด พละกำลังก็เหนือกว่าจินตนาการของทั้งสามคนเช่นกัน
ต่อให้ทั้งสามคนร่วมมือกัน ก็ถูกลู่เซิ่งโจมตีจนแตกพ่ายอยู่หลายครั้ง ทั้งสามค่อยๆ เรียนรู้แล้วว่า ได้แต่ลงมือจากด้านข้าง ไม่อาจปะทะซึ่งหน้ากับลู่เซิ่ง
“เจ้าสำนักลู่มีพลังเหี้ยมหาญ ข้าผู้แซ่เต๋อเลื่อมใส! แต่พวกเราสามคนได้รับหน้าที่สำคัญจากราชวงศ์ เดินทางมาจากอินตู แม้เจ้าสำนักลู่จะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องคิดด้วยว่าสามารถรับเพลิงโทสะของเจ้าแห่งอาวุธหยินสุดขั้วได้หรือไม่” เต๋อหลินเคลื่อนร่างดุจสายฟ้า ใช้วิชาดาบยาวบนมือที่ประณีตซับซ้อนอย่างต่อเนื่องเพื่อต้านพละกำลังอันน่ากลัวที่ลู่เซิ่งส่งมาอย่างชาญฉลาด
ขณะเดียวกันเขาก็เริ่มร้อนใจเช่นกัน ถูกลู่เซิ่งถ่วงเวลาขนาดนี้ เกิดว่าหวงเฟยหนีไปได้ ภารกิจครั้งนี้จะลำบากอย่างแท้จริงแล้ว
……………………………………….